WRITER: ลี ยูน ยี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR : ศุภิสรา เจริญศรีศิลป์
EDITOR: ฤกษ์สิน เขมสุนทร
เราทุกคนต่างมีประสบการณ์กับพระคุณของพระเจ้าในชีวิตของเราในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น การไถ่บาปของพระองค์บนที่บนกางเขน การเยียวยารักษาให้เราหายดี การปกป้องคุ้มครองเรา ไม่ว่าเราจะทำอะไรหรือไปไหนมาไหน… แต่บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนผมเป็นคนที่ล้มเหลว ไม่คู่ควรที่จะได้รับพระคุณของพระองค์ แต่กระนั้นพระเจ้าก็ไม่เคยจดบันทึก “ความล้มเหลว” ของผมในสมุดบัญชีของพระองค์ แทนที่จะเป็นแบบนั้น พระองค์กลับทำอีกอย่าง ซึ่งแมกซ์ ลูคาโด้ ได้บอกไว้ในหนังสือ Come Thirsty (มาเถิด ผู้ที่หิวกระหาย) ของเขาว่า “พระเจ้าเรียกผมให้เข้าไปหาเพื่อที่จะให้ผมได้ดื่มด่ำกับพระคุณของพระองค์ให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น”
มีคนหนึ่งในกลุ่มย่อยของผมเคยกล่าวไว้ว่า การลงลึกในพระคุณของพระเจ้าก็เหมือนกับการฝึกดำน้ำลึกในทะเล ทุกๆ ครั้งที่นักดำน้ำมืออาชีพฝึกดำน้ำ พวกเขาพยายามที่จะดำลงไปให้ลึกขึ้นและนานขึ้นเพื่อที่จะลงไปสู่ดินแดนที่ไม่มีใครรู้ว่าจะมีอะไรอยู่ด้านล่าง ในเวลาต่อมา ทักษะที่จำเป็นและความทนทานของสภาพร่างกายของพวกเขาจะพัฒนาขึ้น และลงไปสำรวจใต้ท้องมหาสมุทรได้มากขึ้น
เมื่อนำการเอาเปรียบเทียบนี้มาใช้ในชีวิตจริง คำถามก็คือ ผมจะสามารถรู้จักฤทธิ์อำนาจแห่งพระคุณของพระเจ้าอย่างแท้จริงและเต็มเปี่ยมได้อย่างไร ถ้าสิ่งที่ผมรู้มีเพียงแค่วิธีที่จะรับเอาพระคุณนั้นมาอย่างเดียวเท่านั้น? สาระสำคัญที่แท้จริงของความสัมพันธ์นั้นคือความสัมพันธ์ที่เป็นสองทาง พระคัมภีร์กล่าวอย่างชัดเจนว่า “คนที่ได้รับมาก จะต้องเรียกเอาจากคนนั้นมาก” (ลูกา 12:48) โดยปกติเรามักจะคิดถึง “การให้” ว่าเป็นการช่วยเหลือด้วยเงินทอง การให้เวลา การใช้ความสามารถ และการกระทำต่างๆ แต่ครั้งนี้ ผมก็ได้เห็นว่าการให้นั้นรวมไปถึงการส่งต่อพระคุณของพระเจ้าให้กับคนอื่นๆ ด้วย
“ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ‘ตาแทนตา และฟันแทนฟัน’ ส่วนเราบอกพวกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าใครตบแก้มขวาของท่านก็จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย” (มัทธิว 5:38-39)
เมื่อหลายปีก่อน ผมได้เริ่มทำงานที่บริษัทที่ประกอบธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มแห่งหนึ่ง ตอนนั้นผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับงานของผมเลย แต่รุ่นพี่ในที่ทำงานของผมก็ช่วยเหลือผมอย่างดี วันหนึ่ง เจ้านายของผม (ซึ่งเป็นหัวหน้าของหัวหน้าแผนกของผมอีกที) ได้มอบหมายงานให้ผมดูแลโปรเจกต์หนึ่ง ด้วยความเป็นมือใหม่ไร้เดียงสาที่ไม่ประสีประสากับวัฒนธรรมองค์กรของบริษัท ผมคิดว่าแค่รายงานผลการดำเนินงานที่ผมรับผิดชอบของผมกับเจ้านายซึ่งเป็นหัวหน้าสูงสุดเท่านั้นก็เพียงพอ โดยไม่ได้คิดว่าต้องรายงานต่อหัวหน้าแผนกของผมด้วย
หัวหน้าแผนกของผมโกรธที่ผมไม่ได้ปรึกษาเธอก่อน และหลังจากนั้นเธอก็เริ่มมอบหมายงานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของผมมาให้ เธอบอกคนอื่นๆ ว่าผมไม่มีความสามารถในการทำงาน และถึงกับเลิกคุยกับผมไปเลยอีกด้วย แม้เธอจะบอกว่าเธอไม่ได้โกรธ แต่ผมก็ยังขอโทษเธออยู่ดี และในคืนหนึ่ง ในห้องที่เต็มไปด้วยพนักงานและเด็กฝึกงานของบริษัท เธอก็ได้ตวาดเสียงดังใส่ผมต่อหน้าทุกคนถึงสิ่งที่ (เธออาจจะคิดไปเองว่า) ผมทำผิดพลาด ส่งผลให้ในเวลาต่อมาเจ้านายของผมก็ได้ลบผมออกจากกลุ่มไลน์บริษัทด้วยตัวของเขาเอง ข้อความตรงนั้นมันดังชัดเจนมาก “ออกไปเถอะ” ผมอยากจะหายตัวไปซะดื้อๆ และไม่กลับมาที่นี่อีกเลย แต่นั่นคงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น ผมจึงรอเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เพื่อที่จะพบกับเจ้านายของผมก่อน เพื่อที่จะบอกกับเขาว่าผมจะลาออก
พระคุณของพระเจ้าอยู่กับผมตลอดทั้งสัปดาห์นั้น พระองค์เสริมกำลังในการไปทำงานของผมให้ทำงานได้เป็นอย่างดี
และเมื่อเร็วๆ นี้เอง ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมได้ลาออกจากงานในอีกตำแหน่งหนึ่ง คราวนี้ผมได้แจ้งล่วงหน้าก่อนออกเป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี จนกระทั่งผมก้าวพลาดไปในบางขั้นตอน ผมทำบางอย่างที่คิดว่าถูกต้องแล้วก่อนที่ผมจะออกไป แต่ด้วยวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่ได้ระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน ทำให้สิ่งที่ผมทำนั้นดันไม่ถูกต้องขึ้นมาซะนี่
หัวหน้าแผนกของผมในงานนี้ให้โอกาสผมที่จะได้ออกจากงานเร็วกว่าช่วงเวลาที่ผมได้ทำเรื่องลาออกไว้ บางทีอาจเป็นเพราะว่าเขาได้รับคนใหม่เข้ามาทำงานแทนในตำแหน่งของผมแล้ว เขาใช้คำพูดที่รุนแรงและผลักผมให้จนมุม โดยการให้ผมเลือกว่าจะลาออกเลยภายในวันนั้น (ซึ่งเร็วกว่าที่กำหนดถึง 7 สัปดาห์) หรือจะออกจากแผนกของเขาและไปทำแผนกอื่นแทน เขาหวังว่าผมคงจะทนความอับอายไม่ไหวและยอมออกไปเอง แต่กลับกัน ผมเลือกที่จะขึ้นไปรายงานตัวต่อกรรมการผู้จัดการของบริษัท และทำงานในอีกตำแหน่งตลอดช่วงเวลาของผมที่เหลืออยู่ในบริษัทนี้
เป็นอีกครั้งที่พระคุณพระเจ้าได้ช่วยผมไว้ ตอนนั้นผมกลัวว่าบรรดาเพื่อนร่วมงานคงจะมีท่าทีเย็นชากับผมจากการที่ผมปกป้องตัวเองและย้ายแผนกไป แต่พวกเขากลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย ถึงแม้ว่า หัวหน้าแผนกของผมจะทำเหมือนผมไม่มีตัวตนทุกครั้งเวลาที่เจอผม แต่ผมก็อธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะช่วยผมไม่ให้นินทาหรือพูดอะไรลับหลังเขา
ผมยังอธิษฐานขอพระคุณพระเจ้าที่จะปกป้องผมจากการซุบซิบนินทา เวลาที่เพื่อนร่วมงานมาบ่นเรื่องต่างๆ ให้ผมฟัง เพราะผมอยู่ในตำแหน่งที่คนอื่นๆ มักจะมาระบายอะไรต่อมิอะไรให้ผมฟังเสมอ
ดังนั้นแทนที่ผมจะโดดไปร่วมวงนินทาด้วย ผมก็ได้พยายามที่จะรับฟังความอึดอัดของเพื่อนร่วมงานและแนะนำทางออกที่เป็นไปได้ให้กับพวกเขาแทน
พระคุณของพระเจ้าได้สำแดงให้ผมได้เห็นในหลายๆ ทางตลอดช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อผมทำงานหนักเพื่อจะช่วยผลักดันโปรเจกต์ที่ผมรับผิดชอบอยู่ แต่ลืมที่จะชื่นชมยินดีในงานที่ผมทำ พระคุณพระเจ้าก็ได้ย้ำเตือนผมว่าผมไม่ได้ทำงานเพื่อแลกกับการได้รับเกียรติจากมนุษย์ แต่กลับกัน ให้ผมทำทุกอย่างเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า (1โครินทร์ 10:31) เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกเหมือนถูกผลักไสให้ไปทำงานของเด็กฝึกงาน แต่ผมก็ได้ตั้งใจทำงานนั้น ๆ อย่างสุดความสามารถของผมเท่าที่จะทำได้
ในงานตำแหน่งใหม่ของผม ทำให้ผมสามารถเลิกงานได้ตรงเวลา และสามารถไปเดินออกกำลังได้อย่างสม่ำเสมอในทุกเย็น ผมสามารถใช้เวลากับพระเจ้าได้มากขึ้นโดยไม่มีโทรศัพท์มือถือมาคอยกวนใจ ผมใช้เวลาดื่มด่ำไปกับความเขียวสดงดงามของต้นไม้ และชื่นชมแสงทองของอาทิตย์อัสดงที่งดงามจับใจ และในวันสุดท้ายของการทำงาน ผมก็ได้ไปขอบคุณทุก ๆ คนเช่นเคย รวมถึงหัวหน้าแผนกของผมด้วย และจบงานของผมลงด้วยดี
มันง่ายที่จะพูดว่า “ฮาเลลูยา” เมื่อพระเจ้าได้จัดเตรียมทุกอย่างที่ตรงตามความต้องการและความปรารถนาของเรา แต่เมื่อเราอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก หรือต้องรับมือกับคนที่ไม่น่ารัก การที่จะพูดแบบนั้นออกมาก็ช่างยากเย็น แต่เมื่อเราส่งต่อพระคุณให้กับคนอื่นๆ พระคุณของพระเจ้าจะโอบอุ้มเราให้ผ่านพ้นไปได้ เราสามารถเลือกได้ว่าจะแบกเอาภาระแห่งความเจ็บปวดนี้ไว้กับตัว หรือเลือกที่จะปล่อยอัตตาแห่งความหยิ่งผยองของเราไว้ที่หน้าประตูและเดินก้าวเข้าไปสู่อิสรภาพด้วยฤทธานุภาพแห่งพระคุณของพระเจ้า
YOU MAY ALSO LIKE
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน
WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ สะสางงานต่างๆ ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...
ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?
WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...
เสียงที่ดังพอ
WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...