fbpx
WRITER: ลี ยูน ยี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR : ศุภิสรา เจริญศรีศิลป์
EDITOR: ฤกษ์สิน เขมสุนทร

เราทุกคนต่างมีประสบการณ์กับพระคุณของพระเจ้าในชีวิตของเราในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น การไถ่บาปของพระองค์บนที่บนกางเขน การเยียวยารักษาให้เราหายดี การปกป้องคุ้มครองเรา ไม่ว่าเราจะทำอะไรหรือไปไหนมาไหน… แต่บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนผมเป็นคนที่ล้มเหลว ไม่คู่ควรที่จะได้รับพระคุณของพระองค์ แต่กระนั้นพระเจ้าก็ไม่เคยจดบันทึก “ความล้มเหลว” ของผมในสมุดบัญชีของพระองค์ แทนที่จะเป็นแบบนั้น พระองค์กลับทำอีกอย่าง ซึ่งแมกซ์ ลูคาโด้ ได้บอกไว้ในหนังสือ Come Thirsty (มาเถิด ผู้ที่หิวกระหาย) ของเขาว่า “พระเจ้าเรียกผมให้เข้าไปหาเพื่อที่จะให้ผมได้ดื่มด่ำกับพระคุณของพระองค์ให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น”

มีคนหนึ่งในกลุ่มย่อยของผมเคยกล่าวไว้ว่า การลงลึกในพระคุณของพระเจ้าก็เหมือนกับการฝึกดำน้ำลึกในทะเล ทุกๆ ครั้งที่นักดำน้ำมืออาชีพฝึกดำน้ำ พวกเขาพยายามที่จะดำลงไปให้ลึกขึ้นและนานขึ้นเพื่อที่จะลงไปสู่ดินแดนที่ไม่มีใครรู้ว่าจะมีอะไรอยู่ด้านล่าง ในเวลาต่อมา ทักษะที่จำเป็นและความทนทานของสภาพร่างกายของพวกเขาจะพัฒนาขึ้น และลงไปสำรวจใต้ท้องมหาสมุทรได้มากขึ้น

เมื่อนำการเอาเปรียบเทียบนี้มาใช้ในชีวิตจริง คำถามก็คือ ผมจะสามารถรู้จักฤทธิ์อำนาจแห่งพระคุณของพระเจ้าอย่างแท้จริงและเต็มเปี่ยมได้อย่างไร ถ้าสิ่งที่ผมรู้มีเพียงแค่วิธีที่จะรับเอาพระคุณนั้นมาอย่างเดียวเท่านั้น? สาระสำคัญที่แท้จริงของความสัมพันธ์นั้นคือความสัมพันธ์ที่เป็นสองทาง พระคัมภีร์กล่าวอย่างชัดเจนว่า “คนที่ได้รับมาก จะต้องเรียกเอาจากคนนั้นมาก” (ลูกา 12:48) โดยปกติเรามักจะคิดถึง “การให้” ว่าเป็นการช่วยเหลือด้วยเงินทอง การให้เวลา การใช้ความสามารถ และการกระทำต่างๆ แต่ครั้งนี้ ผมก็ได้เห็นว่าการให้นั้นรวมไปถึงการส่งต่อพระคุณของพระเจ้าให้กับคนอื่นๆ ด้วย

“ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ‘ตาแทนตา และฟันแทนฟัน’ ส่วนเราบอกพวกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าใครตบแก้มขวาของท่านก็จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย” (มัทธิว 5:38-39)

เมื่อหลายปีก่อน ผมได้เริ่มทำงานที่บริษัทที่ประกอบธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มแห่งหนึ่ง ตอนนั้นผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับงานของผมเลย แต่รุ่นพี่ในที่ทำงานของผมก็ช่วยเหลือผมอย่างดี วันหนึ่ง เจ้านายของผม (ซึ่งเป็นหัวหน้าของหัวหน้าแผนกของผมอีกที) ได้มอบหมายงานให้ผมดูแลโปรเจกต์หนึ่ง ด้วยความเป็นมือใหม่ไร้เดียงสาที่ไม่ประสีประสากับวัฒนธรรมองค์กรของบริษัท ผมคิดว่าแค่รายงานผลการดำเนินงานที่ผมรับผิดชอบของผมกับเจ้านายซึ่งเป็นหัวหน้าสูงสุดเท่านั้นก็เพียงพอ โดยไม่ได้คิดว่าต้องรายงานต่อหัวหน้าแผนกของผมด้วย

หัวหน้าแผนกของผมโกรธที่ผมไม่ได้ปรึกษาเธอก่อน และหลังจากนั้นเธอก็เริ่มมอบหมายงานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของผมมาให้ เธอบอกคนอื่นๆ ว่าผมไม่มีความสามารถในการทำงาน และถึงกับเลิกคุยกับผมไปเลยอีกด้วย แม้เธอจะบอกว่าเธอไม่ได้โกรธ แต่ผมก็ยังขอโทษเธออยู่ดี และในคืนหนึ่ง ในห้องที่เต็มไปด้วยพนักงานและเด็กฝึกงานของบริษัท เธอก็ได้ตวาดเสียงดังใส่ผมต่อหน้าทุกคนถึงสิ่งที่ (เธออาจจะคิดไปเองว่า) ผมทำผิดพลาด ส่งผลให้ในเวลาต่อมาเจ้านายของผมก็ได้ลบผมออกจากกลุ่มไลน์บริษัทด้วยตัวของเขาเอง ข้อความตรงนั้นมันดังชัดเจนมาก “ออกไปเถอะ” ผมอยากจะหายตัวไปซะดื้อๆ และไม่กลับมาที่นี่อีกเลย แต่นั่นคงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น ผมจึงรอเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เพื่อที่จะพบกับเจ้านายของผมก่อน เพื่อที่จะบอกกับเขาว่าผมจะลาออก

พระคุณของพระเจ้าอยู่กับผมตลอดทั้งสัปดาห์นั้น พระองค์เสริมกำลังในการไปทำงานของผมให้ทำงานได้เป็นอย่างดี

และเมื่อเร็วๆ นี้เอง ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมได้ลาออกจากงานในอีกตำแหน่งหนึ่ง คราวนี้ผมได้แจ้งล่วงหน้าก่อนออกเป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี จนกระทั่งผมก้าวพลาดไปในบางขั้นตอน ผมทำบางอย่างที่คิดว่าถูกต้องแล้วก่อนที่ผมจะออกไป แต่ด้วยวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่ได้ระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน ทำให้สิ่งที่ผมทำนั้นดันไม่ถูกต้องขึ้นมาซะนี่

หัวหน้าแผนกของผมในงานนี้ให้โอกาสผมที่จะได้ออกจากงานเร็วกว่าช่วงเวลาที่ผมได้ทำเรื่องลาออกไว้ บางทีอาจเป็นเพราะว่าเขาได้รับคนใหม่เข้ามาทำงานแทนในตำแหน่งของผมแล้ว เขาใช้คำพูดที่รุนแรงและผลักผมให้จนมุม โดยการให้ผมเลือกว่าจะลาออกเลยภายในวันนั้น (ซึ่งเร็วกว่าที่กำหนดถึง 7 สัปดาห์) หรือจะออกจากแผนกของเขาและไปทำแผนกอื่นแทน เขาหวังว่าผมคงจะทนความอับอายไม่ไหวและยอมออกไปเอง แต่กลับกัน ผมเลือกที่จะขึ้นไปรายงานตัวต่อกรรมการผู้จัดการของบริษัท และทำงานในอีกตำแหน่งตลอดช่วงเวลาของผมที่เหลืออยู่ในบริษัทนี้

เป็นอีกครั้งที่พระคุณพระเจ้าได้ช่วยผมไว้ ตอนนั้นผมกลัวว่าบรรดาเพื่อนร่วมงานคงจะมีท่าทีเย็นชากับผมจากการที่ผมปกป้องตัวเองและย้ายแผนกไป แต่พวกเขากลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย ถึงแม้ว่า หัวหน้าแผนกของผมจะทำเหมือนผมไม่มีตัวตนทุกครั้งเวลาที่เจอผม แต่ผมก็อธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะช่วยผมไม่ให้นินทาหรือพูดอะไรลับหลังเขา

ผมยังอธิษฐานขอพระคุณพระเจ้าที่จะปกป้องผมจากการซุบซิบนินทา เวลาที่เพื่อนร่วมงานมาบ่นเรื่องต่างๆ ให้ผมฟัง เพราะผมอยู่ในตำแหน่งที่คนอื่นๆ มักจะมาระบายอะไรต่อมิอะไรให้ผมฟังเสมอ

ดังนั้นแทนที่ผมจะโดดไปร่วมวงนินทาด้วย ผมก็ได้พยายามที่จะรับฟังความอึดอัดของเพื่อนร่วมงานและแนะนำทางออกที่เป็นไปได้ให้กับพวกเขาแทน

พระคุณของพระเจ้าได้สำแดงให้ผมได้เห็นในหลายๆ ทางตลอดช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อผมทำงานหนักเพื่อจะช่วยผลักดันโปรเจกต์ที่ผมรับผิดชอบอยู่ แต่ลืมที่จะชื่นชมยินดีในงานที่ผมทำ พระคุณพระเจ้าก็ได้ย้ำเตือนผมว่าผมไม่ได้ทำงานเพื่อแลกกับการได้รับเกียรติจากมนุษย์ แต่กลับกัน ให้ผมทำทุกอย่างเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า (1โครินทร์ 10:31) เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกเหมือนถูกผลักไสให้ไปทำงานของเด็กฝึกงาน แต่ผมก็ได้ตั้งใจทำงานนั้น ๆ อย่างสุดความสามารถของผมเท่าที่จะทำได้

ในงานตำแหน่งใหม่ของผม ทำให้ผมสามารถเลิกงานได้ตรงเวลา และสามารถไปเดินออกกำลังได้อย่างสม่ำเสมอในทุกเย็น ผมสามารถใช้เวลากับพระเจ้าได้มากขึ้นโดยไม่มีโทรศัพท์มือถือมาคอยกวนใจ ผมใช้เวลาดื่มด่ำไปกับความเขียวสดงดงามของต้นไม้ และชื่นชมแสงทองของอาทิตย์อัสดงที่งดงามจับใจ และในวันสุดท้ายของการทำงาน ผมก็ได้ไปขอบคุณทุก ๆ คนเช่นเคย รวมถึงหัวหน้าแผนกของผมด้วย และจบงานของผมลงด้วยดี

มันง่ายที่จะพูดว่า “ฮาเลลูยา” เมื่อพระเจ้าได้จัดเตรียมทุกอย่างที่ตรงตามความต้องการและความปรารถนาของเรา แต่เมื่อเราอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก หรือต้องรับมือกับคนที่ไม่น่ารัก การที่จะพูดแบบนั้นออกมาก็ช่างยากเย็น แต่เมื่อเราส่งต่อพระคุณให้กับคนอื่นๆ พระคุณของพระเจ้าจะโอบอุ้มเราให้ผ่านพ้นไปได้ เราสามารถเลือกได้ว่าจะแบกเอาภาระแห่งความเจ็บปวดนี้ไว้กับตัว หรือเลือกที่จะปล่อยอัตตาแห่งความหยิ่งผยองของเราไว้ที่หน้าประตูและเดินก้าวเข้าไปสู่อิสรภาพด้วยฤทธานุภาพแห่งพระคุณของพระเจ้า

YOU MAY ALSO LIKE

ความผิดพลาด 3 อย่างที่สอนผมเรื่องพระปัญญาและเวลาของพระเจ้า

ความผิดพลาด 3 อย่างที่สอนผมเรื่องพระปัญญาและเวลาของพระเจ้า

WRITER: ราฟาเอล ชาง ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: กาญจนา​ กาญจนพาทีEDITOR: ปวีณา นิลบุตร เมื่อตอนอายุประมาณ 20 ต้นๆ ผมได้วางแผนชีวิตว่าจะต้องเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เป็นนักดนตรี และเป็นผู้รับใช้ในคริสตจักรก่อนอายุ 25 ปี...

จากโรคบูลิเมียสู่โรคซึมเศร้า: พระเยซูทรงจับฉันไว้แน่นท่ามกลางความเจ็บป่วยทางจิตใจ

จากโรคบูลิเมียสู่โรคซึมเศร้า: พระเยซูทรงจับฉันไว้แน่นท่ามกลางความเจ็บป่วยทางจิตใจ

WRITER: เชวอง ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: ปาลีญา ธนาวัฒนเจริญEDITOR: สรสิทธิ์ ฑัมมารักขิตานนท์ เมื่อฉันมาเป็นคริสเตียนตอนอายุ 16 ไม่นานฉันก็ตระหนักได้ว่าชีวิตมันตรงข้ามกับคำสอนหลายๆ อย่างของเหล่าศิษยาภิบาล ชีวิตมันไม่ได้ง่ายเลย ความจริง...

พระเจ้าช่วยฉันผ่านประสบการณ์เลวร้าย (ถูกล่วงละเมิดทางเพศ)

พระเจ้าช่วยฉันผ่านประสบการณ์เลวร้าย (ถูกล่วงละเมิดทางเพศ)

WRITER: แคทเธอรีน ฟลินน์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ในปี 2003 ฉันอายุ 24 ปี และอาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษตอนที่ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยเพื่อนร่วมห้องของฉัน...

Share This