fbpx
WRITER: ราเชล มอร์แลนด์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ปาลีญา ธนาวัฒนเจริญ
EDITOR: ธนากร พูลสินกูล

ฉันไม่มีทางลืมครั้งแรกที่ฉันเริ่มมีอาการตื่นตระหนกได้ (ความรู้สึกกลัวหรือไม่สบายใจอย่างมาก) เกิดขึ้นในปีที่ 2 ของชีวิตมหาลัยและฉันก็กำลังทำในสิ่งที่หญิงสาวอเมริกันอายุ 19 ปี มักจะทำกันในช่วงเย็นของวันพฤหัสบดีคือ การซื้อไอศกรีม Ben & Jerry ในซุปเปอร์มาร์เก็ต

ฉันมีอาการในขณะที่ฉันกำลังมองของในตู้แช่ ราวกับอะดรีนาลีนมันพุ่งพล่านขึ้นทั่วร่างกายของฉัน จนทำให้ฉันต้องหยุดและค่อยๆ พยายามกำหนดลมหายใจ ปลายนิ้วของฉันรู้สึกเจ็บ มือและเท้าของฉันก็เริ่มชา และฉันรู้สึกว่ารอบๆ ห้องนั้นเริ่มหมุน “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน?”

หัวใจของฉันเริ่มเต้นแรงถึง 100 ครั้งต่อนาที ขาของฉันเริ่มอ่อนกำลังลง และรู้สึกว่าจะล้มลงได้ในทุกเวลา ฉันพยายามเอาตัวของฉันไปพิงไว้กับประตูตู้แช่และพยายามหายใจ “หายใจเข้าลึกๆ ราเชล หายใจเข้าและออก เข้าและออก พยายามหายใจเข้า”

และฉันก็พบว่า ตัวเองกำลังนั่งอยู่บนพื้นทางเดิน โดยหลังของฉันกำลังพิงอยู่ที่ประตูของตู้แช่ที่เต็มไปด้วยไอศกรีมและทุกอย่างก็ม้วนกลิ้งลงเหมือนลูกบอล ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา สภาพของฉัน ณ ตอนนั้นต้องดูน่าสมเพชมากๆ

เกิดอะไรขึ้นกับฉันกัน? ฉันร้องไห้โดยที่เข่าของฉันก็ชันขึ้นมาที่หน้าอก หัวของฉันตกลงและไหล่ของฉันก็ยกขึ้นลงทุกๆ ครั้งที่ฉันสะอื้นออกมา นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

ทุกวินาทีที่ผ่านไป ฉันรู้สึกถึงอะดรีนาลีนที่สูบฉีดผ่านเส้นเลือดของฉัน ราวกับมีไฟฟ้าไหลผ่านอยู่บนแขน ความรู้สึกมันเหมือนคลื่นที่กระทบชายฝั่ง จนคลื่นลูกแรกพัดผ่านไป หลังจากนั้นก็มีเวลาเพียงชั่วครู่ เพื่อให้รู้สึกโล่งชั่วขณะหนึ่ง เพียงเพื่อจะถูกกลืนกินด้วยคลื่นแห่งความหวาดกลัวลูกต่อไป

และในขณะนั้น ฉันก็รู้สึกถึงการสัมผัสที่แตะลงมาบนไหล่ “หนูโอเคไหม ที่รัก?” เสียงหนึ่งของหญิงที่อายุเยอะกว่าฉันได้แทรกเข้ามาท่ามกลางช่วงเวลาโกลาหลของกระแสลม ด้วยตาที่แดงก่ำและมาสคาร่าที่กำลังไหลอาบแก้มของฉัน ฉันมองกลับไปยังเธอที่น่าจะอายุราวๆ 50 ปี ซึ่งในมือถือกล่องขนมและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอยู่ เธอซึ่งจ้องมองมาที่ฉันและเห็นได้ถึงความกังวลบนสีหน้าของเธอและถามฉันว่า “หนูโอเคไหม ที่รัก? มีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า?” “ไม่ค่ะ หนูรู้สึกไม่โอเคเลย” ฉันตอบกลับด้วยเสียงที่สั่นคลอน

สิ่งที่ฉันจะพูดต่อไปนี้คือสิ่งสำคัญมากในชีวิต ราวกับว่ามันคือจุดเปลี่ยนในชีวิตของฉัน “แต่ว่าฉันไม่เคยบอกกับใครเลยนะ ฉันเพียงแค่ต้องบอกออกไปกับใครสักคน และฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ผิด และมันเป็นเรื่องที่ผิดจริงๆ”

ฉันทุกข์ทรมานจากความวิตกกังวลตั้งแต่อายุ 19 ปี และเป็นหนึ่งในหลายล้านคนที่ต้องเผชิญกับการต่อสู้ทางด้านสุขภาพจิต ในขณะที่คนอื่นๆ ในวัย 20 ปี เขากำลังวุ่นวายกับการเลือกเสื้อผ้าเพื่อที่จะออกไปเที่ยวในคืนวันศุกร์ ส่วนฉันกลับต้องหนีออกมาที่ห้องของฉันเพื่อที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับอาการที่ฉันกำลังเป็นอยู่ และคิดไปเองว่าฉันต้องเป็นมะเร็งที่ไหนสักแห่งแน่ๆ (และแน่นอนว่ามันจะต้องอยู่ในระยะที่สาม) หรือฉันจะกระวนกระวายที่จะคอยเช็คข้อความทุกๆ วินาทีเพื่อรอคอยให้เพื่อนของฉันตอบกลับมา “แน่นอน พวกเธอไม่ได้ตอบกลับมาหรอก เพราะเธอได้เจอฉันอยู่แล้วนิ และคงคิดว่าไม่จำเป็นต้องตอบกลับมา”

ตอนนี้ฉันอายุ 26 ปี ฉันอยากที่จะประกาศออกไปว่าฉันได้เอาชนะอาการเหล่านี้ ฉันมีชัยอยู่เหนือความซับซ้อนของโรคนี้ และฉันสามารถพูดได้ว่าความวิตกกังวลที่เคยมีมานั้นเป็นอดีตไปแล้ว และมันไม่สามารถเข้ามาเคาะประตูเพื่อที่จะปลุกฉันในตอนเช้าหรือเข้ามารบกวนในขณะที่ฉันกำลังจะเอนกายลงนอนในยามค่ำคืนได้ แต่ความเป็นจริงคือ ฉันยังไม่สามารถเอาชนะมันได้ และมันยังไม่กลายเป็นเรื่องราวในอดีต

บางครั้งสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกท้อใจที่สุดเกี่ยวกับอาการวิตกกังวลคือการที่ต้องต่อสู้กับมันในขณะที่ยังเป็นคริสเตียน การยอมรับว่าตัวเองนั้นมีความวิตกกังวลนั้นเป็นเหมือนกับการยอมรับว่าตนเองกำลังติดแอลกอฮอล์ ติดยา เสพติดการมีเพศสัมพันธ์ หรือการกินบิ๊กแมคที่ห้องในตอนดึก มันเป็นความบาปที่ร้ายแรง “เป็นนิสัยบาป” และนำเราไปสู่ขอบเหว อยู่นอกสายตา และอยู่นอกความสนใจจากชนชั้นกลางของชาวอเมริกันที่ไปโบสถ์

หรืออย่างน้อย นี่คือสิ่งที่หลายๆ โบสถ์ทำให้ฉันรู้สึก ความรู้สึกผิดที่อยู่ลึกๆ ภายในได้ถูกรวบรวมเข้ามา ราวกับเป็นของขวัญที่ถูกห่อมาและส่งมาให้ฉันในทุกๆ เช้าของวันใหม่ เมื่อฉันกำลังเดินเข้าไปในโบสถ์ และในวินาทีนั้นที่ฉันไม่เชื่อว่าโบสถ์จะเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบ ฉันคาดหวังว่าจะได้รับการตอบรับด้วยความรักและการยอมรับมากกว่าที่ฉันเคยได้รับมา

นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่น่าอับอายในซุปเปอร์มาร์เก็ต ฉันจึงได้เริ่มสำรวจตัวเองในฐานะคริสเตียนที่มีความวิตกกังวล ฉันต้องเริ่มกระบวนการอย่างช้าๆ ในความเจ็บปวดที่จะต้องหา “บางสิ่ง” ที่ทำให้ฉันได้พักสงบและแยกออกจากความเหนื่อยล้าที่มาจากความวิตกกังวล

ในที่สุดฉันก็ได้ค้นพบการนมัสการ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พิเศษที่ทำให้ฉันได้เข้าพบกับพระบิดาและได้รับสันติสุขจากพระเจ้า เป็นสันติสุขที่เกินความเข้าใจที่ อ.เปาโล ได้กล่าวไว้ในพระธรรมฟีลิปปีบทที่ 4 และนี่คือเหตุผลว่าทำไมการนมัสการถึงได้กลายเป็นยาถอนพิษในช่วงเวลาที่ฉันวิตกกังวล

1. การนมัสการคือช่วงเวลาที่จิตใจได้พบสันติสุข

การนมัสการเป็นสภาวะของจิตใจ ไม่ใช่ความรู้สึกเหนือธรรมชาติ ในทุกๆ เช้าวันอาทิตย์ ตอนแรกฉันคิดว่าการนมัสการในเช้าวันอาทิตย์นั้นเป็นเพียงช่วงเวลาที่ฉันสามารถได้รับสันติสุขจากพระเจ้า แต่อย่างไรก็ตาม ฉันได้รับรู้ว่าการนมัสการนั้นไม่ได้หมายถึงการรวมตัวกันเยอะๆ ของผู้คนหรือเป็นแค่กลุ่มเล็กๆ การนมัสการพระบิดานั้นขึ้นอยู่กับสภาวะของจิตใจ การระลึกถึงความแสนดีและพระคุณของพระเจ้าที่มีผ่านชีวิตของฉัน ในการเตรียมหัวใจสำหรับการนมัสการนั้น ไม่ว่าจะเป็นการอธิษฐานระหว่างการเดินทางไปทำงานหรือการฟังเพลงในเพลย์ลิสต์ของคริสตจักรเบธเอลในขณะที่ฉันกำลังทำความสะอาดที่พัก ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสิ่งสำคัญในการเยียวยาอาการวิตกกังวลของฉันเสมอมา

2. การนมัสการเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัย

การจัดการกับความวิตกกังวลของฉันนั้นคือ การที่ฉันจำเป็นจะต้องจริงจังกับพระเจ้า หรือก็คือการติดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้นและใช้เวลาเป็นส่วนตัวกับพระองค์ โดยการเปิดเผยความสงสัยและความลับต่างๆ ต่อพระองค์ เช่นเดียวกับการที่คุณพูดคุยกับเพื่อนสนิทของคุณตอนนั่งดื่มกาแฟ การสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยที่ฉันสามารถพูดคุยกับพระบิดานั้นเป็นส่วนสำคัญในการเยียวยาฉัน โดยเฉพาะเมื่อยามที่ฉันหยิบกีตาร์ขึ้นมาร้องบทเพลงแห่งพระคำของพระเจ้าระหว่างฉันและครอบครัว ฉันเชื่อว่าฤทธานุภาพในการประกาศพระคำแห่งชีวิตนั้นจะเข้ามาทำลายความวุ่นวายในชีวิตของฉัน และการนมัสการเป็นอาวุธที่เต็มไปด้วยอานุภาพในการขจัดความกังวล

3. การนมัสการคือการเตรียมให้เราไปถึงพระเจ้า

ฉันชอบประโยคที่กล่าวโดยนักเขียนชาวอเมริกัน John Paul Jackson ว่า “สันติสุขคือดินแห่งการเปิดเผย” ฉันพบว่าหลายครั้งในช่วงเวลาที่ฉันตกอยู่ในความหวาดกลัว ดูเหมือนว่าช่องทางการติดต่อสื่อสารระหว่างฉันกับพระเจ้านั้นจะขาดหายไป แต่ฉันรู้ว่าในช่วงเวลาเหล่านั้น เมื่อฉันรู้สึกอ่อนแอที่สุด การนมัสการนั้นเป็นสิ่งแรกๆ ที่ฉันจะเริ่มทำ การสร้างพื้นที่ที่พระองค์สามารถตรัสกับเราได้ในช่วงเวลาที่ความกลัวเข้าปกคลุมนั้นคือ ก้าวสำคัญในการสลัดความวิตกกังวลไว้ที่ประตู และใน “ที่ส่วนตัวนั้น” เป็นสถานที่ที่เราจะได้ยินเสียงของพระเจ้า และความเชื่อที่เกิดขึ้นมานั้นจะมีชัยอยู่เหนือความกลัว

ฉันอาจจะต้องกล่าวอย่างระมัดระวัง เพราะว่าฉันไม่ต้องการแสดงให้คุณเห็นว่าฉันเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดนี้แล้ว การเดินทางในความวิตกกังวลบางครั้งดูเหมือนเป็นเรื่องราวที่เป็นไปไม่ได้ บ่อยครั้งที่มันรู้สึกเหมือนกำลังจมดิ่งลงไปยังจุดที่ลึกที่สุดของสระน้ำ ในขณะที่คุณไม่เคยเรียนว่ายน้ำสักครั้งในชีวิตของคุณ และไม่มีใครอยู่รอบตัวคุณที่จะโยนเสื้อชูชีพให้คุณได้ในนาทีที่คุณกำลังจมลงไป

พระเจ้าเตรียมสิ่งต่างๆ มากมายให้เรามากกว่าแค่การต่อสู้กับความกลัวในแต่ละวัน และฉันอธิษฐานว่าเมื่อเราปลูกฝังชีวิตแห่งการนมัสการ เราจะพบว่าตัวเองได้เป็นอิสระจากโซ่ตรวนแห่งความวิตกกังวลที่ขัดขวางเราไว้จากการก้าวไปสู่สิ่งที่พระองค์ทรงเรียกให้เราได้ทำ

YOU MAY ALSO LIKE

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน

WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ  สะสางงานต่างๆ  ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...

เสียงที่ดังพอ

เสียงที่ดังพอ

WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...

Share This