
WRITER: ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ปาลีญา ธนาวัฒนเจริญ
EDITOR: สุพิชชา จันทสุทธิบวร
หลังจากที่ฉันได้เข้าร่วมงานรับใช้ในมหาวิทยาลัย ทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นกับการประกาศข่าวประเสริฐมากขึ้น และทำให้การประกาศข่าวประเสริฐมีความสำคัญเป็นอันดับแรกในชีวิตของฉัน ฉันเริ่มที่จะวางแผนและนัดเจอเพื่อนๆ ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนเพื่อมาใช้เวลาร่วมกัน และคิดว่าใครในชีวิตของฉันที่จะได้รับพระพรจากการได้ยินข่าวประเสริฐบ้าง ซึ่งการนัดใช้เวลาร่วมกันกับเพื่อนๆ มีทั้งการกินข้าวเย็น เล่นเกม ออกกำลังกาย เป็นกิจกรรมง่ายๆ ที่ฉันและเพื่อนๆ สามารถพบเจอกันและสนุกสนานร่วมกันได้
แต่บ่อยครั้ง ระหว่างที่อยู่บนรถไฟขณะเดินทางกลับบ้าน ที่ฉันมักจะตั้งคำถามกับตัวเองว่า วันนี้ฉันได้ทำอย่างดีที่สุดในการแบ่งปันเรื่องราวของพระเยซูให้กับเพื่อนๆ หรือไม่
ทำไมการประกาศข่าวประเสริฐเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ถึงยากจัง? ในความรู้สึกของฉันมันง่ายกว่ามากที่เราจะพยายามสร้างตัวเองให้เป็นคริสเตียนที่ดี ห่วงใยเพื่อนๆ และชีวิตของพวกเขา และมันก็ง่ายกว่ามากที่เราพยายามเป็นคริสเตียนที่เปี่ยมด้วยความรัก เมื่อเทียบกับการพูดเรื่องราวของพระเยซู ฉันหวังว่าการกระทำต่างๆ ของฉันจะทำให้พวกเขาได้รู้จักพระเยซู โดยที่ไม่ต้องพูดหรืออธิบายเรื่องราวของข่าวประเสริฐ หรือการที่พวกเขาเป็นคนบาปและต้องการพระเยซู
ฉันสงสัยว่าทำไมฉันถึงรู้สึกแบบนี้เกี่ยวกับการประกาศข่าวประเสริฐ และนี่คือเหตุผลที่ฉันค้นพบ
1. ฉันไม่รู้ว่าฉันจะประกาศข่าวประเสริฐไปทำไม
ฉันรู้มาตลอดว่าการประกาศข่าวประเสริฐเป็นสิ่งสำคัญของชีวิตคริสเตียน ซึ่งโบสถ์ของฉันสอนฉันมาตั้งแต่เด็กๆ ว่านี่คือหัวใจของชีวิตคริสเตียน ดังนั้นฉันจึงชวนเพื่อนๆ ให้มาร่วมงานประกาศและสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขาเมื่อมีโอกาส เพื่อนของฉันรู้ว่าฉันอยากให้พวกเขาได้ยินเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ และบางครั้งพวกเขาก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต แต่บางครั้งพวกเขาก็ไม่เปิดใจ ฉันถือว่างานของฉันได้เสร็จสิ้นแล้วและถือว่าฉันไม่ใช่คนที่มีหน้าที่นำพวกเขาให้รู้จักพระเยซู
จริงๆ แล้ว ถ้าฉันนั่งลงและค่อยๆ คิดว่าทำไมฉันถึงประกาศข่าวประเสริฐ ฉันกลับไม่มีคำตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถามนี้ ฉันทำไปแค่เพราะทุกคนทำกัน และเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ดีที่ควรจะทำ และดูเหมือนว่าเป็นการทำไปอย่างไม่มีเหตุผล
เมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้อ่านบันทึกประจำวันของ Jim Elliot ปี 1952 ในหนังสือ The Shadow of the Almighty ฉันรู้สึกประทับใจในความกระตืนรือร้นในการประกาศข่าวประเสริฐของเขา เขาเขียนไว้ว่า ถึงแม้จะมีคนแค่ 100 คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนห่างไกลในอเมริกาใต้ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า แต่เขาก็อยากที่จะหาทางไปหาพวกเขาเพราะ “เรา (คริสเตียน) ได้รับคำสั่งเช่นนั้น”
ฉันคิดว่า Elliot พูดถูก ในพระธรรมลูกา 24:46-47 พระเยซูอธิบายพระวจนะให้สาวกฟังและบอกพวกเขาให้ประกาศพระนามของพระองค์ถึงการอภัยโทษบาปและให้เกิดการกลับใจในทุกประชาชาติ นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมเราถึงประกาศเรื่องราวของพระเยซู? เพราะพระเยซูทรงบอกให้พวกเราทำเช่นนั้น
แล้วทำไมพวกเราถึงไม่อยากเชื่อฟังพระเยซู?
ถ้าเราได้สัมผัสและรู้ว่าข่าวประเสริฐดีอย่างไร และรู้ว่าเราได้รับสิทธิพิเศษในการแบ่งปันข่าวประเสริฐนั้น ทำไมเราจะไม่อยากแบ่งปันข่าวประเสริฐไปยังคนอื่นๆ เพื่อถวายเกียรติแด่พระเยซู?
บางที ถ้าข่าวประเสริฐมีความสำคัญต่อชีวิตของเรามาก การแบ่งปันข่าวประเสริฐอาจเป็นเรื่องธรรมชาติมากกว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราประกาศข่าวประเสริฐ? ในพระธรรมมัทธิว พระเยซูได้บอกถึงวันสุดท้าย ในพระธรรมมัทธิว 24:14 พระองค์ตรัสว่า ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า จะได้ประกาศไปทั่วโลก ให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง หมายความว่า พระเยซูจะกลับมา
ทุกครั้งที่เราประกาศ เราจะได้รู้ว่าวันที่พระเยซูจะเสด็จกลับมานั้นใกล้เข้ามาแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นและผลักดันให้ฉันยิ่งอยากที่จะแบ่งปันและประกาศเรื่องการอภัยโทษและข่าวประเสริฐของพระคริสต์ ที่เราจะมีชีวิตนิรันดร์อยู่กับพระองค์ ในข้อพระธรรมวิวรณ์20 พระเจ้าจะทรงสถิตอยู่กับคริสเตียนทุกคน พระองค์จะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยด ความตายจะไม่มีอีกต่อไป การคร่ำครวญ การร้องไห้และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป
ถึงแม้จะรู้ถึงเหตุผลของการประกาศข่าวประเสริฐ แต่ในบางครั้งฉันก็ไม่สามารถทำได้ …
2. ฉันไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คือเวลาที่ดีที่สุดในการแบ่งปันข่าวประเสริฐ
เวลาที่ฉันนัดเจอเพื่อนๆ ฉันจะเริ่มจากการพูดคุยถามไถ่เรื่องราวต่างๆ กับพวกเขาก่อน และเมื่อเวลาผ่านไปสักหนึ่งชั่วโมง ทั้งหมดก็เหมือนระเบิดเวลาที่ค่อยๆ นับถอยหลัง
ฉันรอคอยช่วงเวลาที่ดีที่สุดเพื่อจะแบ่งปันพระกิตติคุณของพระเจ้า แต่เราสามารถใช้เวลาเป็นชั่วโมงพูดคุยเรื่องอื่นๆ และเมื่อทุกคนกำลังมีช่วงเวลาที่ดีในการพูดคุย ฉันมักจะเป็นคนที่ทำลายบรรยากาศ เมื่อฉันเริ่มพูดถึงอะไรที่เกี่ยวกับพระเจ้า แล้วถ้าฉันไม่ได้รับความสนใจอีกละ? หรือไม่มีใครชวนฉันไปงานหรือร่วมกลุ่มอีกแล้ว?
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คริสเตียนจะรู้สึกแบบนี้ เพราะในความเป็นจริง คุณพยายามอย่างมากที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นๆ และคุณกลัวว่าพระกิตติคุณจะทำลายความสัมพันธ์เหล่านั้น
ฉันกลับพบว่ามันเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น เมื่อฉันจะตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิตหรือศาสนาเวลาที่ฉันอยู่กับเพื่อนๆ กลุ่มใหญ่ ซึ่งอาจจะเริ่มจากการพูดคุยเรื่องอะไรก็ได้และเสนอถึงมุมมองที่แตกต่างกันของแต่ละคน และเมื่อถึงเวลาที่ฉันต้องแบ่งปัน ฉันก็มีโอกาสที่จะแบ่งปันสิ่งที่ฉันคิด หรือว่าทำไมฉันถึงคิดแบบนั้น ฉันพบว่าการบอกกับเพื่อนๆ ว่าฉันเป็นคริสเตียนตั้งแต่แรกของการเริ่มแบ่งปันนั้นช่วยได้มาก ซึ่งทำให้เกิดคำถามอื่นๆ ตามมา และบางครั้งพวกเขาถามว่าฉันคิดอย่างไรในฐานะคริสเตียน
บางครั้งฉันก็มีโอกาสประกาศส่วนตัวกับเพื่อน เมื่อฉันเห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม เช่น เมื่อเพื่อนของฉันกำลังผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในความสัมพันธ์ และกำลังต่อสู้กับภาวะซึมเศร้าหรือเมื่อพ่อแม่ของเพื่อนกำลังป่วยอยู่ในระยะสุดท้าย เวลาเหล่านี้คือเวลาที่เพื่อนๆ จะมองหามากกว่าคนที่เข้าใจ แต่เขากำลังพบคำถามของชีวิตที่ใหญ่กว่านั้น แต่ในช่วงเวลาเหล่านี้เอง ฉันก็ต่อสู้กับตัวเองในหัวว่าฉันควรถามคำถามอะไร
ฉันควรจะถามคำถามง่ายๆ เกี่ยวกับความเชื่อของคนอื่นหรือเปล่า? หรือความเชื่อฝ่ายจิตวิญญาณของเขานั้นเป็นอย่างไร? บางวัน ฉันก็จบด้วยคำถามและการประกาศ แต่บางครั้งก็ไม่ได้พูดอะไร (และก็ไม่เป็นไร) แต่บางวันฉันก็พูดไม่ออกและนิ่งเงียบ
ในวันที่ฉันไม่ได้พูดอะไร ฉันจะนึกถึงคำพูดของผู้รับใช้คนหนึ่งที่ทำงานในพันธกิจในมหาวิทยาลัยพูดไว้ เพื่อให้ทุกคนมีกำลังใจในการประกาศ เธอบอกกับพวกเราว่า “สิ่งที่เรากำลังทำอยู่เพื่อเพื่อนๆ มันเป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับพวกเขา”
บางครั้งการประกาศพระกิตติคุณอาจทำให้เพื่อนๆ ของเรารู้สึกรำคาญหรืออึดอัดในขณะหนึ่ง แต่สิ่งที่คริสเตียนต้องแบ่งปันคือความรักนิรันดร์ให้แก่พวกเขา นี่เป็นความรักนิรันดร์เพราะถึงแม้ว่ามันจะเหมือนการจู่โจม แต่เพราะเรารักและห่วงใยในชีวิตนิรันดร์ของพวกเขามากกว่าความสุขสบายของพวกเขาบนโลกใบนี้ ดังนั้นฉันจึงลองแบ่งปันใหม่อีกครั้งด้วยใจและความคิดที่ถูกต้อง
แต่เมื่อฉันเริ่มประกาศพระกิตติคุณ หรือเพื่อนของฉันเริ่มสนใจที่จะเรียนรู้มากขึ้น ฉันจึงเริ่มเข้าใจว่า…
3. ฉันลืมไปว่า ใครคือคนที่เคลื่อนไหวในจิตใจของคนที่ได้ยินข่าวประเสริฐ
บางครั้งเราประสบความสำเร็จในการพูดคุยแบ่งปันกับเพื่อนที่พร้อมจะฟังเรา แต่เราจะพัฒนาการพูดคุยเรื่องราวของพระเจ้าต่อไปอย่างไร?
เพื่อนของฉันมักจะยิ้มอย่างสุภาพให้กับสิ่งที่ฉันพูด บางครั้งอาจจะถามเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย และท้ายที่สุดบทสนทนาของเราก็จบลงที่การรับประทานอาหารเย็น และเราก็หยุดพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ พอฉันกลับบ้านและคิดว่าฉันได้ลองแล้ว และบางครั้งฉันก็ได้แต่ปลอบใจตัวเอง
อาทิตย์ต่อมา ฉันจะไม่ค่อยสนใจเพื่อนคนนั้นหรือน้อยมากที่จะติดตามผล เพราะฉันคิดว่าการที่ได้แบ่งปันเรื่องราวของพระเจ้าแล้วหนึ่งครั้งและหวังให้ออกมาดีที่สุดเป็นวิธีที่ง่ายกว่าการที่จะติดตามให้เขามาสามัคคีธรรม อ่านพระคัมภีร์ หรือพูดคุยแบ่งปันด้วยกัน
นอกจากนั้นสำหรับฉันการติดตามผลยังทำได้ยาก ฉันมักไปพบเพื่อนๆ ด้วยใจที่ว่างเปล่าและไม่มีกำลัง และฉันคิดว่าความรู้เกี่ยวกับข่าวประเสริฐและพระคัมภีร์สามารถนำพวกเขามารู้จักพระเยซูคริสต์ได้ และเพียงแค่บางครั้งเท่านั้น ที่ฉันอธิษฐานอย่างรวดเร็วระหว่างการเดินทางไปพบเพื่อนๆ เพื่อให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี แต่ฉันไม่เคยตั้งใจที่จะอธิษฐานเผื่อเพื่อนอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นก่อนพบเจอหรือหลังจากที่เจอกัน
มันเป็นเรื่องน่าอาย เพราะการอธิษฐานเป็นสิ่งพิเศษที่เราได้รับจากพระบิดาบนสวรรค์ เป็นเครื่องเตือนใจว่านี่คืองานของพระองค์ไม่ใช่ของเรา
เมื่อจบวันนั้น ระหว่างทางกลับบนรถไฟ ฉันนึกถึงทุกสิ่งที่ฉันทำให้ยุ่งเหยิงจากความพยายามของฉันที่จะแบ่งปันพระกิตติคุณของพระเจ้า ฉันรู้สึกเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบฉันรู้สึกเหมือนฉันมีหน้าที่รับผิดชอบความรอดของเพื่อนๆ ของฉัน และเมื่อมันล้มเหลวหรือเพื่อนของฉันไม่ได้รับเชื่อ มันเป็นเพราะฉันเอง ที่ไม่มีความสามารถหรือไม่พยายามให้มากพอ
แต่ให้เรารู้ไว้ว่า ในพระธรรมยอห์น 10:27 พระเยซูบอกว่า แกะของพระองค์ย่อมฟังเสียงของพระองค์และติดตามพระองค์ ในความเป็นจริง สิ่งที่เราต้องทำคือบอกเรื่องราวของพระองค์ให้กับคนอื่นๆ พระเยซูมีหน้าที่ทำให้ใจของเขาอ่อนลงและช่วยให้พวกเขาเชื่อ
และแน่นอนว่า การประกาศเป็นงานที่ยาก แต่จงทำต่อไป บางครั้งเราเรียนรู้สิ่งที่ทำให้เราประกาศง่ายขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราต้องจำไว้คือสิทธิพิเศษในการเป็นลูกของพระเจ้า พระองค์ทรงใช้เราในแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ในการรวบรวมทุกสิ่ง ทั้งที่อยู่ในสวรรค์ และในแผ่นดินโลกไว้ในพระคริสต์ (เอเฟซัส 1:9-10)
YOU MAY ALSO LIKE
ความผิดพลาด 3 อย่างที่สอนผมเรื่องพระปัญญาและเวลาของพระเจ้า
WRITER: ราฟาเอล ชาง ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: กาญจนา กาญจนพาทีEDITOR: ปวีณา นิลบุตร เมื่อตอนอายุประมาณ 20 ต้นๆ ผมได้วางแผนชีวิตว่าจะต้องเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เป็นนักดนตรี และเป็นผู้รับใช้ในคริสตจักรก่อนอายุ 25 ปี...
จากโรคบูลิเมียสู่โรคซึมเศร้า: พระเยซูทรงจับฉันไว้แน่นท่ามกลางความเจ็บป่วยทางจิตใจ
WRITER: เชวอง ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: ปาลีญา ธนาวัฒนเจริญEDITOR: สรสิทธิ์ ฑัมมารักขิตานนท์ เมื่อฉันมาเป็นคริสเตียนตอนอายุ 16 ไม่นานฉันก็ตระหนักได้ว่าชีวิตมันตรงข้ามกับคำสอนหลายๆ อย่างของเหล่าศิษยาภิบาล ชีวิตมันไม่ได้ง่ายเลย ความจริง...
พระเจ้าช่วยฉันผ่านประสบการณ์เลวร้าย (ถูกล่วงละเมิดทางเพศ)
WRITER: แคทเธอรีน ฟลินน์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ในปี 2003 ฉันอายุ 24 ปี และอาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษตอนที่ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยเพื่อนร่วมห้องของฉัน...