fbpx
WRITER: เคลวิน วู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ศุภิสรา เจริญศรีศิลป์
EDITOR: ฤกษ์สิน เขมสุนทร

ผมจะทำอะไรดีหลังเรียนจบ? ผมจะหางานอะไรทำดี?ผมควรจะเริ่มทำอะไรที่เป็นของตัวเองไหม? ผมควรจะเรียนต่อรึเปล่า? ตอนนี้เหมาะหรือยังที่จะเริ่มมีความสัมพันธ์กับใครสักคน?

คำถามเหล่านี้เป็นคำถามธรรมดาๆ ที่เราทุกคนจะต้องถามตัวเองในจุดๆ หนึ่งของชีวิต แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร คำถามเหล่านี้กลับสร้างปัญหาให้กับผมอย่างหนัก มันกระทบสุขภาพจิต ร่างกาย และความรู้สึกของผม

ในตอนนั้น ผมเหมือนกำลังยืนอยู่ที่สี่แยกและพยายามที่จะตัดสินใจเลือกทางเดินของชีวิต ผมวิตกกังวลและเหนื่อยใจมากเกี่ยวกับอนาคตจนจิตใจของผมมันฟุ้งซ่านจนไม่ได้หยุดพัก ผมรู้สึกไร้ประโยชน์เพราะผมไม่สามารถควบคุมอะไรในชีวิตได้เลย และผมก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองและความสามารถของตัวเอง

ตั้งแต่ผมเริ่มพยายามที่จะหาคำตอบให้กับคำถามเหล่านี้ของตัวเอง ผมก็รู้สึกเครียดมากจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ผมปรึกษาเพื่อนๆ และครอบครัวเพื่อที่จะตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้ เพื่อที่ใจของผมจะได้พักผ่อนและมีหลักมั่นคงสักที แต่คำถามเหล่านี้ก็มาๆ ไปๆ เหมือนกับน้ำขึ้นน้ำลง เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมหยุดจดจ่อที่ตัวเอง คนที่ผมรัก หรือพระเจ้า คำถามเหล่านี้จะเข้ามาแทนที่ในความคิดของผม และจะมาหยุดการพัฒนาและชีวิตของผมทันที ผมพยายามอย่างหนักในการต่อสู้และต้านทานกับคำถามพวกนี้โดยเปลี่ยนความสนใจของผมไปที่อื่น เช่น ไปดูหนัง ดูซีรี่ย์ ไปเที่ยวทะเลในวันหยุด ผมพยายามที่จะหนีความคิดของตัวเอง แต่ยังไงก็ตามคำถามพวกนี้มันก็คลืบคลานกลับมาอยู่เสมอ

คืนหนึ่ง ผมอยู่คนเดียวในห้องนอนกำลังปล้ำสู้กับความคิดของตัวเอง และผมได้ตัดสินใจร้องเรียกหาพระเจ้า

“พระเจ้าครับ ผมเหนื่อยจนหมดแรงแล้ว ได้โปรดดึงผมออกจากปัญหานี้ด้วยเถอะ โปรดพูดกับผมและเปิดเผยทางของพระองค์ให้ผมได้รู้ด้วยเถอะครับ”

น้ำตาค่อยๆ ไหลอาบลงบนหน้าผม ผมหลงทางและไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ผมอยากจะรู้เส้นทางที่ผมจะเดินต่อไป

จงนิ่งเสีย

สองสามสัปดาห์ต่อมา ผมเดินทางไปที่แคลิฟอร์เนีย ใจของผมยังคงหนักอึ้ง ผมรู้สึกอยากไปเดินป่าที่ป่าไม้สนแดงและต้นสนใหญ่ ความคิดของผมก็จัดแจงวางแผนอย่างรวดเร็วและพร้อมที่จะไปเดินป่าในวันพรุ่งนี้ทันที

เมื่อผมเดินผ่านทางเข้าป่ามา มันเหมือนกับว่าผมได้เดินทางเข้ามาในอีกมิติหนึ่ง ความสูงตระหง่านของบรรดาไม้สนแดงและต้นสนใหญ่ทำให้ผมทึ่งจนพูดไม่ออก แสงอาทิตย์งดงามที่ลอดตัดผ่านช่องฟ้าเข้ามากระทบกับใบหน้าของผม ผมหลับตาลง เฝ้าฟังเสียงรินไหลของลำธาร และเป็นครั้งแรกในหลายเดือน ที่ผมหายใจเข้าได้อย่างเต็มปอดจริงๆ

ผมเดินต่อเข้าไปลึกขึ้นในใจกลางป่า เดินข้ามไปสู่กอไม้อันเงียบสงบข้างลำธาร จนป่าไม้สนแดงและต้นสนใหญ่เหลือเป็นเพียงฉากหลัง

ผมนั่งอยู่คนเดียวข้างลำธารและหลับตาลงดื่มด่ำความงดงามของสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง และเมื่อผมได้ผ่อนพักหลีกหนีจากเสียงรบกวนรอบข้างมากมายที่พบในชีวิตประจำวัน…

ผมก็ได้ยินเสียงกระซิบที่ดังขึ้นเตือนใจของผมว่า
“จงสงบเงียบ!จงนิ่งเสีย!”(มาระโก 4:39)

ณ ขณะนั้น ตาที่ยังปิดสนิทของผมก็มีน้ำตานองไหลลงอาบแก้ม ผมรู้สึกได้ถึงสันติสุขที่มากล้นและอิสรภาพจากโซ่ตรวนแห่งความเหนื่อยล้าและวิตกกังวล ผมรู้สึกได้ถึงการปลดปล่อยและอิสรภาพที่เกินคำบรรยายและมันสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกนี้ได้แค่เพียงน้ำตาแห่งความซาบซึ้งและความชื่นชมยินดีเท่านั้น

ในกอไม้ที่เงียบสงบนั้น ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าและขอบคุณพระองค์สำหรับความรักยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงมีต่อผม จุดประสงค์ที่พระเจ้านำผมมายังป่าไม้สนแดงนี้ก็เพื่อจะเตือนใจผมถึงความยิ่งใหญ่และฤทธานุภาพของพระองค์ผ่านสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ผมรู้สึกเหมือนผมได้ถูกโอบกอดโดยต้นไม้เหล่านี้และผมก็สัมผัสได้ถึงความรักของพระเจ้าที่ไหลผ่านอยู่ในหัวใจของผม

ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาผมใช้เวลาไปกับการเที่ยวเสาะหาคำตอบสำหรับคำถามในชีวิต แต่ความพยายามของผมกลับทำได้แค่เพียงก่อให้เกิดพายุแห่งความปั่นป่วนที่ทำให้ใจของผมไม่ได้หยุดพัก

แต่ในที่สุด ผมก็ได้ยินเสียงของพระเจ้าท่ามกลางพายุแห่งชีวิต

ผมยังคงเดินตามเส้นทางในป่านั้นต่อไป ในขณะเดียวกันผมก็ได้ใคร่ครวญถึงประสบการณ์อันน่าอัศจรรย์ที่ผมได้พบ และผมก็รีบจดบันทึกห้วงเวลานั้นไว้ทันทีเพื่อจะได้เตือนใจตัวเองถึงความรักอันยิ่งใหญ่และความดีงามของพระเจ้า ขณะที่ผมมองดูไม้สนแดงที่มีแสงอาทิตย์สาดส่องลอดลงมาตามร่องระหว่างใบไม้ ผมก็ตระหนักได้ถึงความยิ่งใหญ่และฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าในสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์ และในชีวิตของผมเองด้วย

ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของพระเจ้า

การเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นในชีวิต แต่เรารู้ว่าอุปสรรคปัญหาที่เราพบเจอนั้นเป็นกระบวนการที่จะเสริมสร้างความเชื่อในพระคริสต์ของเรา(ยากอบ 1:2-4) ความท้าทายและความยากลำบากในการเดินไปกับพระเจ้าของเราจะเสริมสร้างความเชื่อของเราและช่วยเราให้เรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระเจ้าในยามยากลำบาก ว่ากันง่าย ๆ ก็คือ อุปสรรคปัญหาบางครั้งก็เป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะช่วยให้เรายึดมั่นอยู่กับพระองค์ และเมื่อมีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นกับเรา เราก็รู้ว่าเรามีที่พึ่งพิงหลบภัยได้ในพระเจ้า

เมื่อปัญหา ความเหนื่อยล้า ความกังวล และความยากลำบากถาโถมเข้ามาในหัวของเรา มันง่ายมากที่จะปล่อยให้อารมณ์และความรู้สึกกำหนดการกระทำของเรา แต่เราทุกคนจำเป็นที่จะต้องรู้ว่าเราสามารถ สงบนิ่งและรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าได้(สดุดี 46:10) เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าที่สามารถทำให้คลื่นลมและท้องทะเลเชื่อฟังได้ และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พระองค์ก็มีชัยชนะเหนือทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว แต่เราจะไม่สามารถได้ยินเสียงแห่งการปลอบโยนของพระองค์ได้เลย หากเรายังรีบเร่งและพยายามที่จะแก้ปัญหาของเราด้วยตัวเอง เหมือนอย่างที่ผมพยายามทำมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา

มีแค่ช่วงเวลาแห่งการเงียบและสงบนิ่งของเราเท่านั้น ที่จะทำให้เราได้ยินเสียงของพระเจ้าว่าพระองค์กำลังพูดอะไรกับเราได้อย่างแท้จริง

ผมไม่ได้หมายความว่าให้คุณทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและมุ่งไปยังป่าไม้สนแดงนะ…
แต่เราทุกคนสามารถใช้เวลาและหาที่เงียบสงบเพื่อที่จะเข้าเฝ้าและใช้เวลากับพระเจ้าได้ แทนที่จะพยายามที่จะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเราเอง เราจำเป็นที่จะต้องทำอะไรให้ช้าลงบ้าง

ลองพยายามที่จะอุทิศเวลาสัก 15-20 นาทีแรกในตอนเช้าเพื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้าและอธิษฐานต่อพระองค์(แน่นอนว่าต้องวางมือถือเอาไว้ไกลๆ!) นี่เป็นเวลาที่ดีที่จะเริ่มต้นในการใช้เวลากับพระองค์ ช้าๆ ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ หารูปแบบหรือวิธีต่างๆ แล้วคุณจะพบว่าวิธีไหนที่เหมาะสำหรับคุณในการใช้เวลาส่วนตัวกับพรเองค์

บ่อยครั้งเอง เราก็วิตกกังวลและเหนื่อยล้าเวลาที่เราไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ในชีวิตได้ เมื่อพายุแห่งความเหนื่อยล้าถาโถมเข้ามา เราต้องช้าลง หยุดพัก หายใจเข้าลึกๆ และอธิษฐาน เราจำเป็นที่จะต้องถ่อมตัวลงและแสวงหาพระเจ้าโดยการมอบชีวิตของเราเองให้พระองค์อีกครั้ง และให้พระองค์เป็นที่หนึ่งในทุกๆ เรื่อง ทุกๆ มุมของชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของพระองค์ และพระองค์ก็อยู่ข้างๆ เราในทุก ๆก้าวที่เราเดินไป เมื่อเราปล่อยให้พระองค์เข้ามาเป็นผู้ควบคุม เป็นผู้นำทางในชีวิตของเรา เราจะรู้ได้ว่า ไม่ว่าทางไหนที่พระองค์จะนำเราไป เราจะปลอดภัยเสมอ

เมื่อพระเจ้าเตือนใจของผมที่ป่าไม้สนแดงนั้น ผมได้เรียนรู้ที่จะปล่อยมือจากการควบคุมชีวิตตัวเอง และปล่อยให้พระเจ้าเป็นผู้ควบคุมแทน นี่ไม่ใช่ขั้นตอนที่ง่ายเลย แต่ถึงแม้ว่าผมจะยังคงรอคอยคำตอบสำหรับอนาคตของผม ผมก็ได้รู้ว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่สัตย์ซื่อและพระองค์จะทรงนำผมไปยังทางเดินที่ดีที่สุดในชีวิตของผมอยู่ดี และความจริงนี้ทำให้หัวใจของผมได้พบกับการพักสงบ

YOU MAY ALSO LIKE

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน

WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ  สะสางงานต่างๆ  ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...

เสียงที่ดังพอ

เสียงที่ดังพอ

WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...

Share This