fbpx
WRITER: บรี รอสทิค ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ชลิดา สุภาแสน
EDITOR: Mustard Seed Team

ฉันไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ จำไม่ได้แล้วว่าเด็กผู้หญิงคนแรกที่ฉันมองไปที่เขาแล้วรู้สึกกับตัวเองว่าเขาช่างน่ารักกว่าฉันจัง แน่นอนว่ามันเกิดขึ้นก่อนที่ฉันจะบ่นเกี่ยวกับความสามารถของตัวเองเสียอีก

ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน อาจเป็นตอนที่ฉันยังเป็นเด็กในชั้นเรียนเต้นบัลเลต์ แล้วคนอื่นๆ ก็เต้นกันเก่งมาก หรือตอนที่ฉันเป็นเชียร์ลีดเดอร์ ฉันสามารถทำท่ากระโดดแตะปลายเท้า (Toe touch) ได้สูงที่สุดและเต้นได้เป๊ะที่สุดในทีม แต่กลับต้องนั่งอยู่ข้างสนามเพราะน้ำหนักตัวของฉัน หรืออาจจะเป็นตอนมัธยมที่ฉันแอบชอบผู้ชายคนหนึ่ง เขาบอกกับฉันว่าฉันไม่น่ารักพอที่จะเป็นแฟนของเขา

และแล้วการเปรียบเทียบก็ปรากฏตัวขึ้นในชีวิตของฉัน และมันอยู่ยังรอบๆ ตัว และก่อนที่ฉันจะรู้ตัว ฉันก็ได้ตัดสินใจทำอะไรหลายๆ อย่างตามสิ่งที่คนรอบข้างมักจะทำกัน

การเปรียบเทียบได้กลายมาเป็นเรื่องปกติในสังคมของเรา วัฒนธรรมของเราให้ความสำคัญกับความงามภายนอก และหลงลืมคุณค่าแท้จริงจากความงามที่อยู่ภายใน เป็นเรื่องปกติที่จะเห็นภาพตัดต่อมากกว่าภาพต้นฉบับที่ไม่ได้ปรับแต่งอะไรเลย ทุกอย่างดูแย่ลงเมื่อเราต้องการหรือเรียกร้องให้ผู้อื่นใช้ชีวิตอยู่บนมาตราฐานทางวัฒนธรรม เช่น คนส่วนมากพากันใส่กางเกงยีนส์ไซซ์เล็กๆ หรือทำสีผมให้เข้ากับเทรนด์ที่กำลังมาแรง เป็นต้น

การเปรียบเทียบเล่นงานเราทุกวัน มันมากมายเหลือเกินแม้กระทั่งในช่วงที่สำคัญที่สุดในชีวิต ฉันจำได้ว่าฉันไม่พอใจในตัวเองเลย ไม่ว่าจะเป็นขนาดของชุดแต่งงาน การแต่งหน้าในวันรับปริญญา และรูปถ่ายของลูกชายที่ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ในวันที่เขาเกิด

อย่างไรก็ตาม เราเรียนรู้ที่จะรับมือกับการใช้ชีวิตอยู่ในวัฒนธรรมที่โดนครอบงำโดยโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นความกดดันเพื่อบรรลุสู่เป้าหมายที่ไม่จริงแท้ เรามีแม้กระทั้งแอปพลิเคชันที่เปลี่ยนรูปเราให้ดูดีที่สุดได้ในโลกออนไลน์ แต่ช้าก่อนเราโดนชักจูงหรือถูกบังคับให้เชื่อว่าการเปรียบเทียบเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา เราเริ่มเชื่อว่าธรรมชาติของเราคือการที่เรามองชีวิตของคนอื่นๆ แล้วหวังว่าจะมีเหมือนที่พวกเขามี รวมถึงชีวิตพวกเขาที่เราอยากจะเป็นคนๆ นั้นด้วย

ฉันเริ่มเชื่อว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเปรียบเทียบ มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ฉันจะได้รู้ว่าฉันอยู่ใน “ทางที่ถูกต้อง” หรือเปล่า…

พระคำของพระเจ้ากล่าวไว้ว่า “เราไม่ควรโลภสิ่งใดๆ ซึ่งเป็นของของเพื่อนบ้าน” (อพยพ 20:17) แต่ในยุคข่าวสารแบบนี้ มันเป็นไปได้ไหมที่จะไม่อยากมีอยากได้แบบที่คนอื่น? มันส่งผลกระทบกับเราจริงๆ ใช่ไหม? ถ้าคุณถามฉันเมื่อห้าปีก่อน ฉันสามารถพูดได้เลยว่าฉันไม่เชื่อ

อย่างไรก็ตามเมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้ใช้เวลาพูดคุยกับพระเจ้าและถามพระองค์ว่าพระองค์ต้องการให้ฉันทำอะไรกับชีวิตของฉัน ฉันไม่ได้ยินอะไรเลย ฉันรอการเปิดเผยที่ชัดเจนที่จะนำฉันไปยังทางที่ถูกต้อง เงียบกริบ… ฉันไขว่คว้าหาจุดประสงค์ หาบางสิ่งที่จะเติมเต็มความรู้สึกว่างเปล่าของฉัน และเมื่อฉันไม่สามารถพบสิ่งที่คิดว่าจะสามารถทำให้ประสบความสำเร็จได้ ฉันเริ่มที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

ฉันจะเริ่มมองหาคนที่ฉันคิดว่าเขามีอะไรที่คล้ายกันกับฉัน มีช่วงชีวิตที่ใกล้เคียงกัน หรือความสามารถพอๆ กัน แล้วเริ่มประเมินชีวิตของฉันกับพวกเขา ฉันหาเหตุผลที่เหมาะสมในชีวิตที่ฉันเป็นอยู่ตอนนี้กับคนรอบข้าง ถ้ามีคนที่ “นำหน้า” ฉันด้วย “เหตุผลที่ดี” ฉันจะยอมรับพวกเขา ตัวอย่างเช่น เมื่อเพื่อนของฉันจบจากมหาวิทยาลัยก่อนฉัน ฉันจะบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไรเพราะฉันเพิ่งมีลูก ถ้าหากฉันไม่สามารถหาเหตุผลดีๆ ได้ ฉันจะเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า “มีอะไรผิดปกติกับฉันหรือเปล่า?”

ความคิดแบบนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ ความรู้สึกที่ท่วมท้นจนกระทั่งฉันรู้สึกว่าฉันกำลังติดกับดัก ชีวิตของทุกคนดูเหมือนจะก้าวหน้า ในขณะที่ฉันไม่มีอะไรคืบหน้าเลย สิ่งนี้ทำให้ฉันเป็นโรคซึมเศร้า ฉันเริ่มสงสัยในตัวเองและถามตัวเองว่ามีจุดประสงค์สำหรับชีวิตหรือไม่? ฉันมีชีวิตอยู่เพียงเพื่ออยู่ไปวันๆ อย่างนั้นหรือ? ฉันยอมปล่อยให้สายตาแห่งความอิจฉาผู้อื่นมามีผลกระทบต่อการรับรู้ถึงตัวตนของฉันเอง ฉันติดอยู่ในภาวะของการเปรียบเทียบ

ฉันใช้เวลาอยู่สักพักเพื่อจะหลุดพ้นออกมาจากความรู้สึกนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายนักแต่ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก

สิ่งที่เป็นคือฉันมัวแต่จดจ่ออยู่กับทุกคนและทุกสิ่ง ซึ่งทำให้ฉันเลิกจดจ่อกับสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพระเจ้า

ดูสิ ฉันใช้เวลามากเกินไปกับงานที่ได้รับมอบหมายจนละเลยหน้าที่ที่สำคัญ คือการเป็นลูกของพระเจ้า ฉันจำเป็นต้องกลับไปยังที่ที่เคยสนิทสนมกับพระองค์ แล้วฉันจะต้องทำยังไง? ฉันเริ่มอธิษฐาน และกลับใจใหม่ต่อทัศนคติของตัวเองที่แสดงถึงความไม่พอใจในชีวิตออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

และเมื่อฉันปรับความสนใจของฉันกลับไปยังพระเจ้า มุมมองของฉันก็เปลี่ยนไป การเปรียบเทียบไม่ได้หายไป แต่ฉันรู้วิธีที่จะจัดการกับมัน หากความคิดนั้นกลับมา ฉันจะอธิษฐานกับพระเจ้าและอ่านข้อพระคัมภีร์ ฉันจะหยุดคิดที่จะเปรียบเทียบระหว่างฉันกับคนอื่นด้วยเช่นกัน และจะเริ่มคิดเกี่ยวกับว่าฉันจะรักคนอื่นรอบตัวฉันได้อย่างไร

ฉันเคยพบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ฉันชื่นชอบมากในการประชุมแห่งหนึ่ง หัวข้อเกี่ยวกับความสามารถในการเป็นผู้นำถูกยกขึ้นมา แล้วทันใดนั้นผู้หญิงคนนั้นที่ฉันชอบมากๆ เธอเริ่มเปรียบเทียบฉันกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งในห้องที่อายุน้อยกว่าฉัน ฉันรู้สึกได้ถึงการเปรียบเทียบและความอิจฉาก็เกิดขึ้นมาในใจ ฉันจำได้ว่าจะต้องทำอย่างไรเมื่อการเปรียบเทียบมันกลับมา แทนที่จะเคืองใจทันที ฉันใช้เวลาสักครู่เพื่อควบคุมสถานการณ์ ฉันอธิบายกับตัวเองว่าฉันมั่นใจในความสามารถของตัวเอง แต่ฉันก็สามารถพูดถึงสิ่งที่ฉันชื่นชอบได้ด้วยในตัวของผู้หญิงคนนั้นที่อายุน้อยกว่าฉัน และในไม่ช้าจิตใจของฉันก็สงบลง และฉันก็ตระหนักได้ว่าฉันไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบหรือแข่งขัน ฉันเชื่อว่านี่คือวิธีที่เราทุกคนจะสามารถรับชัยชนะเหนือการเปรียบเทียบได้

นี่คือข้อพระคัมภีร์โปรดของฉัน เมื่อการเปรียบเทียบปรากฏขึ้นในชีวิตของฉัน ฉันหวังว่าคุณจะเจอข้อพระคัมภีร์โปรดส่วนตัวของคุณเช่นกัน และหวังว่าสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์หากคุณกำลังติดอยู่ในสภาวะของการเปรียบเทียบอย่างที่ฉันเจอ

เพราะว่าเราไม่กล้าเทียบชั้นหรือเปรียบเทียบตัวเองกับบางคนที่ยกย่องตัวเอง แต่เมื่อพวกเขาเอาตัวเองเป็นเครื่องวัดกันและกัน และเอาตัวเองเปรียบเทียบกันและกันแล้ว พวกเขาก็ปราศจากความเข้าใจ… (2 โครินธ์ 10:12-18)

ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้างข้าพระองค์อย่างอัศจรรย์น่าครั่นคร้ามบรรดาพระราชกิจของพระองค์อัศจรรย์ ข้าพระองค์ทราบดี (สดุดี 139:14)

ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์ ความสุภาพอ่อนโยน การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย (กาลาเทีย 5:22-23)

อย่าประดับตัวแต่ภายนอก ด้วยการถักผม การสวมใส่เครื่องทอง หรือการนุ่งห่มเสื้อผ้า แต่จงประดับด้วยบุคลิกที่ซ่อนอยู่ในใจ ด้วยเครื่องประดับซึ่งไม่รู้เสื่อมสลาย คือด้วยจิตใจที่สุภาพอ่อนโยนและจิตใจที่สงบ ซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่ายิ่งนักในสายพระเนตรพระเจ้า (1 เปโตร 3:3-4)

YOU MAY ALSO LIKE

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน

WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ  สะสางงานต่างๆ  ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...

เสียงที่ดังพอ

เสียงที่ดังพอ

WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...

Share This