WRITER: คริสตัล บร๊อคคิงธัน ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ชลิดา สุภาแสน
EDITOR: อาเกียว
เธอสูญเสียลูกของเธอไปแล้ว
ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าผู้หญิงที่พระเจ้าทรงเปิดเผยแก่ฉันเมื่อสองสามเดือนก่อนว่าเธอจะตั้งครรภ์ภายในปีนี้ เธอได้ตั้งครรภ์แล้ว ฉันดีใจจนส่งเสียงร้องและกระโดดโลดเต้นไปมา และแทบจะอดใจรอไม่ไหวที่จะได้ลูบคลำท้องของเธอและเห็นเธอกลายเป็นคุณแม่
แต่ในขณะที่กำลังแสดงความยินดี ฉันสัมผัสได้ถึงสัญญาณที่เด่นชัดว่าพระเจ้าต้องการให้ฉันทำบางสิ่ง สำหรับฉันแล้วเป็นความรู้สึกเหมือนเกิดความร้อนในร่างกายอย่างฉับพลัน บางครั้งรู้สึกเหมือนช่วงที่รถไฟเหาะวิ่งลงมาตามรางจากที่สูง หรือราวกับว่าฉันเพิ่งทานอาหารเย็นในวันขอบคุณพระเจ้าไป 3 จาน
ในขณะนั้น ความรู้สึกมาพร้อมความปรารถนาอย่างมากที่จะอธิษฐาน พร้อมกับความมั่นใจว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกิดขึ้น และเหมือนประสบการณ์ครั้งก่อนๆ ฉันรู้สึกได้ว่าคำอธิษฐานของฉันมาจากส่วนลึกภายใน และเพียงแค่ฉันเปิดปาก คำเหล่านั้นก็จะพรั่งพรูออกมาโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการคิดเลย
แต่ฉันเลือกเก็บมันไว้ข้างใน
ฉันไม่ต้องการให้เรื่องนี้เหมือนเป็นการจัดฉากและไม่ต้องการให้เป็นเรื่องดราม่า ฉันเลยบอกกับตัวเองว่า เป็นการดีกว่าและใช้เวลาได้ยาวนานกว่าการพูดออกมา หากฉันจะใช้เวลาส่วนตัวกับพระเจ้าอธิษฐานเผื่อซาร่าสำหรับการตั้งครรภ์ของเธอ ฉันบอกกับตัวเองอีกว่า หากฉันพูดออกไป ฉันจินตนาการได้ถึงความอึดอัดและความร้อนที่เต็มไปทั่วท้องของฉัน ซึ่งเกิดจากคำอธิษฐานที่มาติดอยู่ในลำคอเหมือนกรดไหลย้อนที่เล่นงานฉันอยู่
แต่ประสบการณ์สอนฉันได้ดีกว่าการคิดเอง คืนหนึ่งฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถเพิกเฉยต่อพระเจ้าได้ เมื่อพระองค์ทรงให้ฉันเข้าไปอธิษฐานเผื่อใครบางคน บางครั้งพระองค์ทรงบอกฉันเกี่ยวกับคนๆ นั้น และสั่งฉันให้บอกพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ตรัส ส่วนใหญ่ฉันก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปหรือฉันควรอธิษฐานอะไรจนกว่าฉันจะได้ยินคำเหล่านั้นออกมาจากปากฉันเอง
ฉันยังคงพูดไม่ออก จับแขนของซาร่าไว้และมองเธอนานพอที่สีหน้าเธอคลายกังวลลง
“มีอะไร?” เธอถามออกมา
“เปล่า ไม่มีอะไร” ฉันโกหก
ฉันถามเธอว่าตั้งครรภ์ได้กี่เดือน แล้วเธอก็ตอบฉัน
ฉันรู้สึกเหมือนลมหายใจเฮีอกสุดท้ายออกจากตัว เมื่อฉันได้ยินเสียงจากเบื้องบนว่า “เธอกำลังเสียลูกไป”
ฉันถูกกระตุ้นให้อธิษฐานเผื่อเธอมากขึ้น แต่ฉันเลือกที่จะยังไม่ทำมัน
ในที่สุด ความรู้สึกต่างๆ ลดลง ฉันส่ายหัวแล้วกอดเธอพร้อมกับกล่าวแสดงความยินดี
ฉันไม่รู้แน่ชัดว่าคำอธิษฐานของฉันจะเปลี่ยนสถานการณ์อันน่าเศร้านี้หรือไม่ แต่ที่ฉันรู้ในเวลานั้นคือ ฉันได้พลาดโอกาสในการทำตามเสียงเรียกนี้ อาจจะฟังดูเกินจริง แต่มันคือเรื่องจริง ในวัฒนธรรมของเรา “การทรงเรียก” อาจมีความหมายยิ่งใหญ่คือการไปสู่จุดสูงสุดของชีวิตหรือเป้าหมายที่เราต้องบรรลุ แต่ฉันกำลังพูดถึงการทรงเรียกในคำจำกัดความที่ง่ายที่สุด คือการถูกกระตุ้นให้ทำสิ่งที่เจาะจงในชีวิต
ในเวลานั้น เมื่อฉันต่อสู้กับการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อให้เพื่อนๆ มาอธิษฐานเผื่อการตั้งครรภ์ของซาร่า ฉันรู้ว่าฉันพลาดโอกาสที่จะเดินไปในทิศทางเดียวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฉันกำลังต่อต้านการทรงเรียกให้เชื่อฟังพระเจ้า
เราทุกคนมีการทรงเรียกที่เหมือนกัน
แม้ว่าชีวิตและเป้าหมายของเราจะแตกต่างกันไป แต่วัตถุประสงค์หลักแห่งการทรงเรียกของเราทุกคนนั้นไม่ต่างกันคือ ให้เชื่อฟังพระเจ้า (ยากอบ 2:14-26; ยอห์น 14:23-24) การเชื่อฟังนี้เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในชีวิตของเรา
ผู้เชื่อทุกคนถูกเรียกให้เชื่อฟังเพื่อการขยายแผ่นดินของพระเจ้า เราทุกคนถูกเรียกให้รักคนที่อยู่รอบตัวเรา (ลูกา 10:29-37; มัทธิว 22:39) ให้เป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิต ให้ดูแลผู้เชื่อใหม่ให้เติบโตขึ้น เราถูกเรียกให้ตายต่อเนื้อหนังทุกวัน โดยละทิ้งตัณหาที่ขัดขวางการอุทิศตนของเราเพื่อเห็นแก่พระคริสต์และอาณาจักรของพระองค์
เราถูกเรียกให้เป็นเกลือและแสงสว่างในทุกที่ที่เราอยู่ในโลกนี้ เราไม่จำเป็นต้องได้รับการอนุญาตหรือฟังคำเทศนาเพื่อที่จะกระตุ้นเตือนเราให้ดำเนินชีวิตเพื่อพระคริสต์และเพื่ออาณาจักรของพระองค์ เราเพียงแค่ตอบสนองด้วยการเชื่อฟังในสิ่งที่พระเจ้าตรัส สำหรับฉัน การตระหนักรู้ในเรื่องนี้ จึงเป็นเหมือนการเดินทางตลอดทั้งชีวิต ซึ่งจากเรื่องราวข้างต้นที่ฉันได้แบ่งปัน ฉันยังคงอยู่ในระหว่างการเดินทางนี้
อย่างไรก็ตาม ฉันไม่ได้ทำสิ่งที่ควรทำทุกครั้งที่ฉันแสวงหาที่จะเชื่อฟังพระเจ้า ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังคงรักและเมตตาที่จะให้โอกาสใหม่เมื่อฉันล้มลง และเสริมกำลังฉันขึ้นในการพยายามต่อไป
การทรงเรียกของคุณคือ ขณะนี้ รวมถึงภายหลังจากนี้
ในพระคริสต์ เรามีอิสระที่จะดำเนินชีวิตไปสู่จุดหมายที่พระเจ้ามีไว้เพื่อเรา เรามีเสรีภาพที่จะเติบโต เรียนรู้ และเป็นประโยชน์ต่อแผ่นดินของพระเจ้าในทุกช่วงเวลาของชีวิต สิ่งที่เหมือนกันในทุกช่วงเวลาคือการเชื่อฟัง เราไม่สามารถหยุดในการที่จะเป็นเกลือและแสงสว่างได้หากเรารอคอยการทรงเรียกในวันพรุ่งนี้
ในฐานะคริสเตียน เราไม่ได้วัดความสำเร็จจากการเป็นที่นิยมหรือคำนวณจากกำไรที่ได้รับ แต่วัดความสำเร็จจากเป้าหมายในชีวิตเรา คือเมื่อได้ยินพระเจ้าตรัสและทำตามสิ่งที่พระองค์ต้องการทุกครั้งตลอดชีวิต นี่คือเป้าหมายสูงสุดแห่งการทรงเรียกของเรา
ให้เราดูชีวิตของโนอาห์ ชายผู้ถ่อมใจที่ได้รับความโปรดปรานในสายพระเนตรของพระเจ้า เขาเป็นคนเดียวที่ได้รับการทรงเรียกออกจากคนอื่นๆ ท่ามกลางชนชาติต่างๆ มีเพียงเขาและคนในครอบครัวเขาเท่านั้นที่รอดพ้นจากการพิพากษาของพระเจ้า การทรงเรียกของโนอาห์ยิ่งใหญ่มาก เขาไม่รู้มาก่อนว่าพระเจ้าจะให้เขาต่อเรือขนาดมหึมาทั้งๆ ที่เขาอาศัยอยู่ท่ามกลางทะเลทราย เขาเพียงแค่ทำในสิ่งที่ทำให้พระเจ้าได้รับเกียรติ และเมื่อพระเจ้าตรัสสั่ง เขาก็ต่อเรืออย่างสัตย์ซื่อในขณะที่เขาอยู่ในวัยชราแล้ว
โนอาห์เดินออกไปตามการทรงเรียกตลอดชีวิตของเขา เขาดำเนินชีวิตที่ถวายเกียรติพระเจ้าโดยการทำตามพระบัญชาอย่างเจาะจง เราควรทำแบบนั้นเช่นกัน
การถวายเกียรติแด่พระเจ้าไม่ได้ดูน่าตื่นเต้นเสมอไป
ในวัฒนธรรมคริสเตียนปัจจุบัน มีมุมมองที่เต็มไปด้วยจินตนาการอยู่บ้างสำหรับ “การทรงเรียกของพระเจ้า” เป็นวลีอันทรงพลังที่สร้างภาพพันธกิจที่ยิ่งใหญ่และภาพแห่งการได้เข้าถึงกลุ่มคนที่ไม่เคยได้ยินเรื่องของพระเยซูมาก่อน อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ “การทรงเรียกจากพระเจ้า” ของทุกคนจะเป็นการทรงเรียกให้ทำตาม “พระมหาบัญชา” ของพระเยซูเสมอ
การเป็น ”พระกายของพระคริสต์ (คือคริสตจักร)” มีความหมายมากกว่าการไปร่วมนมัสการวันอาทิตย์หรือร่วมงานสอนในโบสถ์ เราทุกคนได้รับการทรงเรียกให้มีส่วนในงานรับใช้ แต่ไม่ใช่เราทุกคนสามารถเป็นผู้รับใช้เต็มเวลาในคริสตจักร (ได้รับเงินเดือน) เราบางคนถูกเรียกให้เป็นนักบัญชี เพื่อนำพระคำของพระเจ้าไปสู่กลุ่มธุรกิจในสังคมที่เขาอยู่ บางคนถูกเรียกให้แบ่งปันแก่ผู้สูญเสียหรือให้กำลังใจแก่คนที่เจ็บปวดในขณะที่พวกเขามีกำลังที่จะแจกจ่ายสิ่งของและทำสิ่งเหล่านั้นได้ บางคนถูกเรียกให้เป็นครูสอนและเป็นนักอธิษฐานอย่างร้อนรนเพื่อเด็กๆ รุ่นแล้วรุ่นเล่าที่ผ่านมาอยู่ในชั้นเรียนของพวกเขา
ในชีวิตของฉันขณะนี้ ฉันถูกเรียกให้เขียนเรื่องราวและอธิษฐานเผื่อ ฉันถูกเรียกให้หนุนใจคนรอบตัวที่ดูหมดหวัง ถูกเรียกให้พูดในสิ่งที่พระเจ้าบอกให้ฉันพูดแก่คนใดก็ตามที่พระองค์ส่งมา มันอาจไม่ใช่สิ่งที่น่าตื่นเต้นแต่เป็นช่วงเวลาที่มีความหมาย เมื่อฉันยอมจำนนต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเดินไปบนเส้นทางที่พระองค์ทรงกำหนดไว้เพื่อฉันนาทีต่อนาที
การทรงเรียกของบางคนอาจดูน่าตื่นเต้นตามมาตรฐานโลก แต่ไม่มีการทรงเรียกใดที่สูงหรือต่ำกว่ามาตรฐานของพระเจ้า
ไม่ว่าจะเป็นศิษยาภิบาลที่เลี้ยงดูลูกแกะในโบสถ์ขนาดใหญ่ หรือจะเป็นคุณแม่ที่เลี้ยงดูลูกๆ ของเธอพร้อมกับดูแลกลุ่มนักเรียนเนตรนารีในชุมชนที่เธออยู่ เราทุกคนล้วนต้องยืนต่อหน้าพระเจ้าเพื่อพิพากษาการงานของเราเมื่อวันนั้นมาถึง ฉันไม่รู้เกี่ยวกับตัวคุณ แต่จากวันนี้เป็นต้นไป ฉันปรารถนาที่จะสร้างแต่สิ่งที่ทนต่อการทดสอบของพระเจ้าได้ นั่นหมายถึงการทำทุกอย่างโดยความรักที่มีต่อพระเจ้า และความปรารถนาที่จะทำให้พระนามของพระองค์ได้รับเกียรติ ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงของตัวฉันเอง
วันนี้ เราสามารถตั้งเป้าสำหรับชัยชนะในวันพรุ่งนี้ได้ โดยการมีส่วนในสถานการณ์และในโอกาสที่พระเจ้าทรงเตรียมให้เราในวันนี้อย่างเต็มที่ เราสามารถเลือกว่าเราจะเชื่อฟังหรือจะเย่อหยิ่ง เราสามารถวางรูปเคารพที่เราตั้งไว้ในใจของเราลง หากเราบากบั่นเพื่อยึดเอาการทรงเรียกที่มีค่ามากกว่าสิ่งเหล่านั้น โดยการเลือกการทรงเรียกสูงสุดตลอดเวลาในชีวิตของเรา นั่นคือการเชื่อฟัง
YOU MAY ALSO LIKE
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน
WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ สะสางงานต่างๆ ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...
ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?
WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...
เสียงที่ดังพอ
WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...