WRITER: โจแอนนา โฮร์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ณัฐฤทัย อาสาประโคน
EDITOR: ธัญธร จันทสุทธิบวร
แม้เราจะยืนอยู่ตรงหน้าเขา แต่ผู้ชายคนนี้ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
ฉันเหลือบตามองไปทางเดียวกับเพื่อน “ขอโทษนะคะ พอดีที่นั่งพวกเราอยู่ด้านในค่ะ” เพื่อนฉันพูดกับเขาอย่างสุภาพ พร้อมชี้ไปยังที่นั่งติดหน้าต่างเครื่องบินถัดจากที่นั่งของเขาทั้งสองที่
ผู้ชายคนนั้นไม่เหลียวมามองสักนิด ได้แต่ยืดตัวตรงแล้วดันตัวลงไปที่เบาะนั่ง
ฉันก็เลยเริ่มหัวเสียขึ้นมา “อะไรของเขาเนี่ย? คนอะไรทำไมถึงไม่สนโลกแถมยังขี้เกียจขยับตัวได้ขนาดนี้” ฉันเอาแต่คิดในใจ แต่ยังไม่กล้าพอจะพูดออกมาให้ใครได้ยิน
เพื่อนฉันยักไหล่อย่างจนปัญญา เพราะเค้าไม่ลุกหรือขยับตัวทำให้ฉันเลยพยายามแทรกตัวผ่านช่องแคบระหว่างเบาะด้านหน้าผู้ชายคนนั้นกับขาของเขาอย่างทุลักทุเล แล้วเพื่อนฉันก็ตามเข้ามาด้วยสภาพเดียวกัน
เมื่อได้ที่นั่งแล้ว เพื่อนฉันจึงหันมากระซิบว่า “เธอน่าจะอั้นฉี่ไปได้ตลอดการเดินทางนะ เราก็จะไม่ต้องมีปัญหาอีก” ฉันได้แต่ฝืนพยักหน้าไปเพราะรู้แล้วว่าต้องบินยาวไปอีกตั้งเจ็ดชั่วโมง
หางตาฉันพอมองเห็นว่าชายคนนั้นนั่งงุ่นง่านอยู่ตรงที่ของตัวเอง มือซ้ายก็เขย่าไปมาอยู่หลายครั้ง แล้วยังยกนาฬิกาขึ้นมาไว้ที่หูข้างซ้ายด้วย พนักงานบริการบนเครื่องเดินผ่านมาแล้วย่อเข่าลงตรงข้างที่นั่งของเขา แล้วถามว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่า ฉันคิดว่าไม่แน่เขาอาจจะมีปัญหาทางการได้ยินก็ได้
บินมาได้ไม่กี่ชั่วโมง ฉันทนไม่ไหวจำเป็นต้องเข้าห้องน้ำ ฉันให้เพื่อนหันไปบอกเขาว่าฉันขอออกไปด้านนอก และก็เป็นอีกครั้งที่เขาทำแค่ยืดตัวตรงแล้วก็นั่งอยู่ที่เดิม
ฉันถอนหายใจเบาๆ ยกขาซ้ายขึ้นแล้วพยายามแทรกตัวออกจากช่องเล็กๆ ระหว่างขาของเขากับเบาะด้านหน้า แล้วก็ทำเหมือนเดิมอีกตอนกลับเข้ามานั่ง
ถัดมาเป็นช่วงมื้ออาหาร พนักงานให้บริการบนเครื่องบินอีกคนเดินเข้ามาแล้วย่อเข่าลงตรงที่นั่งติดทางเดินข้างเขาเพื่อถามเขาว่าเขาอยากทานอะไร หลังจากช่วยเขาตั้งโต๊ะได้แล้วเธอก็วางถาดอาหารลงไป พนักงานยังคงนั่งย่อเข่าอยู่ที่เดิม ก่อนวางมือลงไปที่ข้อมือด้านขวาของเขาอย่างอ่อนโยนแล้วยกมือเขาขึ้นมา “อันนี้ร้อนนะคะ ส่วนอันนี้เย็น เครื่องดื่มอยู่ตรงนี้ค่ะ. . .” เธอพูดด้วยความอ่อนโยนขณะที่บอกตำแหน่งภาชนะทีละชนิดบนถาดอาหาร
สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เลยกระจ่างแจ้ง จนฉันรู้สึกละอายใจ
ตอนนั้นฉันถึงบางอ้อว่าเขาตาบอด คิดต่อว่าตัวเองในหัว “ฉันน่าจะรู้สิ” “ทำไมไม่เอะใจบ้างนะ” “แล้วทำไมชอบด่วนตัดสินคนอื่นทุกทีเชียว”
พอฉันเห็นเพื่อนหันไปบอกเขาว่าให้เรียกเธอได้เลยถ้าอยากให้ช่วยอะไร ฉันก็เห็นรอยยิ้มปรากฏออกมาบนใบหน้านั้น เขาดูโล่งใจแล้วบอกขอบคุณออกมา ไม่นานเขาก็ขอให้เพื่อนฉันช่วยเปิดฝาแก้วน้ำใช้แล้วทิ้งให้หน่อย เพื่อนฉันก็ช่วยด้วยความเต็มใจ
แน่ล่ะว่า ฉันเองเนี่ยแหละที่เป็นคนไม่สนโลก ไม่ใช่ผู้ชายคนนั้น
แต่พระเจ้าไม่ได้ต้องการจะสอนฉันแค่นั้น ขณะที่ฉันได้แบ่งปันเรื่องราวที่ได้เจอกับอีกหลายคน พระเจ้าก็เปิดเผยสู่หัวใจของฉันว่า “ความรู้สึกผิด” ต่อท่าทีของตัวเองในวันนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีอะไร คนอื่นที่เจอเรื่องแบบนี้ก็คงรู้สึกผิดเหมือนกัน ฉันรู้สึกผิดเพราะว่าตัวเองเข้าใจเขาผิด ฉันรู้สึกผิดเพราะว่า “ความลำบากอันน้อยนิด” ของฉันเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เขาเจอมา เห็นอยู่แล้วว่าเขาอยู่ในจุดที่ต้องการแล้วก็คู่ควรกับความช่วยเหลือ ฉันรู้สึกผิดเพราะท่าทีของฉันทำให้ฉันดูเป็นคนแย่
ความจริงคือถ้าเขามีร่างกายปกติดีทุกอย่าง ฉันคงชักแม่น้ำทั้งห้ามาแก้ต่างให้กับความโกรธแล้วก็ท่าทีของตัวเอง ถ้าหากว่าเขาไม่สมควรได้รับความช่วยเหลือจากฉัน ฉันคงต่อว่าการกระทำของเขาเพื่อทำให้เขาดูเป็นคนขี้เกียจ แล้วก็ไม่แยแสโลกทุกครั้งที่ได้โอกาสพูดถึงเหตุการณ์นี้
พฤติกรรมโต้กลับของฉันดูเหมือนจะขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายเป็นใครและการประเมินของฉันต่อ “ความต้องการ” ของเขา ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นฉันเองที่เห็นแก่ตัวและเย่อหยิ่ง
แต่พระคัมภีร์ไม่เคยระบุเงื่อนไขใดๆ ว่าเราควรปฏิบัติต่อกันและกันอย่างไร
อันที่จริงเราถูกสอนว่า “อย่าทำสิ่งใดด้วยการชิงดีหรือถือดี แต่จงถือว่าคนอื่นดีกว่าด้วยใจถ่อม อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆ ด้วย” (ฟีลิปปี 2:3-4) ไม่ว่าจะทำอะไรเราควรคำนึงถึงผู้อื่นก่อนเสมอ
และเราควรทำแบบนั้นเพราะเราถูกเรียกมาให้เป็นเหมือนพระเยซู บุคคลที่เป็นแบบอย่างสูงสุดของเรา ด้วยความถ่อมใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ พระเยซูทรงสละสิทธิและสภาพลูกของพระเจ้าและทรงรับสภาพทาสโดยการกำเนิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยเรา จนท้ายที่สุดพระองค์ก็ยอมตายเพื่อเราบนกางเขน (ฟีลิปปี 2:5-8)
พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างที่ดีของการทรงใส่พระทัยต่อความต้องการของผู้อื่นมากกว่าของพระองค์เอง มันไม่ใช่ว่าเรา “สมควร” ได้รับความช่วยเหลือ หากเป็นเช่นนั้นคงไม่มีใครสักคนในพวกเราที่ได้รับการทรงไถ่ พระเยซูไม่ได้ทรงสละชีวิตพระองค์เพื่อ “คนชอบธรรม” หรือ “คนดี” แต่เพราะเราที่ยังคงเป็นคนบาป คนที่ไม่ควรค่าแก่ความรักและความเข้าใจต่างหาก พระเยซูจึงยอมสิ้นพระชนม์เพื่อเรา (โรม 5:6-8)
ดังนั้นไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร เราสมควรให้ความสำคัญกับเขามากกว่าและควรคำนึงถึงความต้องการของอีกฝ่ายก่อนเสมอ ไม่ว่าเขาจะเป็นเพื่อนที่ชอบพูดจากระแทกแดกดัน หรือป้าข้างบ้านที่แนะนำนู่นนี่ไม่หยุด คนแปลกหน้าไม่สนโลกที่ผลักคุณให้พ้นทางเพื่อจะให้ตัวเองได้ขึ้นรถบัสก่อน การแสดงความรักและการช่วยเหลือผู้อื่นไม่จำเป็นต้องสนใจว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
การกระทำเช่นนี้เป็นการทำให้คนรอบตัวเราทั้งที่เป็นและไม่เป็นสมาชิกคริสตจักร ได้สัมผัสถึงความรักอันเสียสละโดยปราศจากเงื่อนไขของพระคริสต์ เพื่อที่อย่างน้อยอาจช่วยดึงให้พวกเขาเข้ามาสนใจอีกสักหน่อยว่าพระเยซูคือใคร และได้เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและพระผู้ไถ่ของเรา
เหนือสิ่งอื่นใด จากการที่ฉันได้พบกับชายผู้นั้นบนเครื่องบิน ฉันจึงได้เปลี่ยนวิธีคิดและวิธีปฏิบัติต่อคนรอบตัว พระเจ้าทรงเปิดเผยให้ฉันเห็นอย่างชัดเจนเลยว่ามันควรเริ่มต้นจากชีวิตประจำวันที่บ้านก่อนเป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะเป็นการช่วยงานบ้าน เริ่มจากการล้างจาน ตากผ้า หรือพับผ้าโดยไม่ต้องมีใครใช้ให้ทำและทำโดยไม่หวังคำชมเป็นการตอบแทน
บอกได้เลยว่ามันจะไม่หยุดอยู่แค่นั้นและมันก็ไม่ง่ายเสมอไป แต่การระลึกถึงพระเยซูผู้ทรงเป็นตัวอย่างของบุคคลที่เห็นแก่ผู้อื่นเสมอ ทำให้ฉันไม่อาจหาข้ออ้างได้อีกต่อไป
YOU MAY ALSO LIKE
กังวลจนไม่หลับไม่นอน
WRITER: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ฉันนอนไม่หลับทั้งคืน บางคืนเราก็มีอาการนอนไม่หลับ หลับๆ ตื่นๆ พอเช้าตื่นมาก็ไม่สดชื่น อารมณ์ไม่ดี การนอนไม่หลับส่งผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่เป็นครั้งคราว แต่สําหรับบางคนอาจเจอปัญหานี้เป็นประจำ...
ทำไมเราถึงไม่กล้าปฏิเสธ
WRITER: ซาร่า โซ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: สุมิตรา ชามรามดาบานEDITOR: ปวีณา นิลบุตร “ถ้าใช่ก็จงบอกว่าใช่ ถ้าไม่ใช่ก็จงบอกว่าไม่ใช่” (ยากอบ 5:12) ขณะที่ฉันเขียนข้อความนี้ ฉันเพิ่งจะพูดว่า "ไม่" ที่จะฟังความขัดข้องใจของแม่เรื่องคนสนิทในครอบครัว...
พระเจ้าช่วยฉันผ่านประสบการณ์เลวร้าย (ถูกล่วงละเมิดทางเพศ)
WRITER: แคทเธอรีน ฟลินน์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ในปี 2003 ฉันอายุ 24 ปี และอาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษตอนที่ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยเพื่อนร่วมห้องของฉัน...