WRITER: แคทเธอรีน ฟลินน์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: Mustard Seed Team
EDITOR: Mustard Seed Team
ในปี 2003 ฉันอายุ 24 ปี และอาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษตอนที่ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยเพื่อนร่วมห้องของฉัน ซึ่งเป็นคนที่ฉันไม่เคยพบมาก่อนจนกระทั่งฉันย้ายเข้าไปอยู่ในแฟลตรวมในลอนดอน ฉันรู้สึกสับสนไปหมดเพราะฉันอยู่ในชุดนอนกำลังดูทีวีตอนกลางคืน และฉันก็พูดว่า “ไม่” หลายครั้ง แต่เขาไม่ฟัง และสัปดาห์ก่อนที่จะเกิดเหตุ เขาทำให้ฉันกลัวมากจนฉันคิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถทำอะไรได้บ้าง
เมื่อเขาจู่โจมเข้ามา ฉันไม่สามารถหยุดเขาได้ แต่ก็หนีออกมาได้ ตอนนี้ฉันเพิ่งย้ายออกจากบ้านพักฉุกเฉินและเขากำลังจะเดินทางออกนอกประเทศ และฉันก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ฉันรับไม่ได้ที่เขาไม่ให้เกียรติและดูถูกฉัน แต่ในที่สุดฉันก็เลือกที่จะเผชิญหน้ากับเขา เมื่อฉันทำเช่นนั้น เขายอมรับอย่างเปิดเผยว่าเขาเคยทำแบบเดียวกันนี้กับผู้หญิงอีกอย่างน้อยสามคน
หนึ่งหรือสองเดือนหลังจากที่เขาจากไป ในที่สุดฉันก็กล้าที่จะบอกตำรวจ เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาทำอะไรได้ไม่มาก ฉันรู้สึกว่าฉันไม่มีที่จะไป ฉันแค่อยากจะใช้ชีวิตต่อไปให้ได้
ถ้าฉันบอกกับตัวเองว่า ฉันโอเค… แปลว่าฉันโอเค ใช่ไหม?
ผู้คนมักพูดถึง “ความคิดแย่ๆ” (ความคิดที่ไม่เป็นจริงหรือบิดเบือนและนำมาซึ่งความคิดด้านลบ) เมื่อพวกเขานึกถึงความคิดเชิงลบที่นึกจินตนาการอยู่ในหัวของเรา แต่ฉันมีปัญหาตรงกันข้าม
หลายวันต่อมา ฉันไม่รู้ว่าตัวเองได้รับผลกระทบมากแค่ไหน ฉันบอกตัวเองว่า “ฉันไม่เป็นไร ฉันทำได้ทุกอย่าง ถ้าความคิดของฉันถูกต้อง ฉันก็โอเค ใช่ไหม”
ความคิดในแง่ดีของฉันคือการที่ฉันเชื่ออย่างแท้จริงว่า หากฉันจดจ่อกับสิ่งดีๆ ที่เป็นบวกได้ ฉันจะสามารถฟื้นตัวและสามารถได้รับการรักษาให้หายได้ ฉันเชื่อจริงๆ ว่าฉันสามารถอยู่เหนือความเจ็บปวดได้ และจะไม่ได้รับผลกระทบจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ถูกทำให้อับอาย และถูกปฏิเสธ
แต่ร่างกายของฉันกำลังบอกอย่างอื่น ฉันมีช่วงเวลาแห่งความตื่นตระหนกสุดขีดเมื่อร่างกายและความรู้สึกไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ฉันรู้สึกเหมือนถูกของแหลมและเข็มทิ่มแทง ปากของฉันจะแห้ง และฉันรู้สึกอ่อนเพลีย ป่วยบ่อยขึ้น ฉันกินไม่ได้และมีปัญหาในการดูแลตนเองขั้นพื้นฐาน ฉันเหมือนจะลุกขึ้นและรวบรวมตัวเองเพื่อให้ทุกอย่าง “ดูโอเค” ได้ แต่ฉันไม่สามารถทำสิ่งอื่นได้เลย เช่น ไม่สามารถนอนหลับให้สบายได้ หรือแม้แต่ดื่มน้ำ ฉันลงเอยด้วยการติดเชื้อที่ไตและมีอาการติดเชื้อในทรวงอกซ้ำๆ ก่อนที่จะกลายเป็นโรคปอดบวมที่คุกคามชีวิต
เมื่อมองย้อนกลับไป ฉันสังเกตเห็นสัญญาณทางกายภาพว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นคือเมื่อฉันเดินไปที่ด้านบนของบันไดที่ขึ้นไปห้องที่เกิดเหตุ ฉันกลัวจนตัวสั่นและปัสสาวะราด ฉันคิดว่าฉันมีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะและฉันก็โทรหาโรงพยาบาลเพื่อขอตรวจสุขภาพ ผลตรวจทุกอย่างนั้นปกติดี แต่ฉันยืนยันว่าต้องมีบางอย่างที่ผิดปกติทางร่างกาย
ความจริงที่ว่าหมอของฉันพูดถูกว่าฉันไม่มีอะไรผิดปกติทางร่างกาย ช่วยให้ฉันตระหนักว่าบางทีอาจเป็นปฏิกิริยาทางจิตใจต่อการบาดเจ็บ ฉันเคยได้ยินและอ่านเกี่ยวกับความวิตกกังวล การตื่นตระหนก และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน ในขณะที่ฉันกำลังจะเรียนจบด้านจิตวิทยา แต่ฉันไม่สามารถรับรู้ได้ว่าฉันผิดปกติ เพราะโดยรวมแล้วความคิดของฉันเป็นไปในเชิงบวกไปเสียหมด
ฉันถูกส่งไปหานักจิตวิทยา และเธอทำให้ฉันเชื่อว่า “การมองโลกในแง่ดีเกินไป” ของฉันคือคำตอบ ฉันเชื่อมาก และเธอก็เชื่อในความคิดเชิงบวกของฉันด้วย
ก่อนจะจบชั่วโมงที่ฉันพบนักจิตวิทยา ฉันบอกเธอว่าฉันสบายดี เมื่อคุณพบนักบำบัด คุณจะได้พูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกของคุณและนั่นทำให้คุณรู้สึกกระฉับกระเฉง ฉันจะบอกนักบำบัดว่าฉันอยู่ที่ 8 เต็ม 10 ของระดับความรู้สึกที่คุณรู้สึก (how-do-you-feel scale) แต่ฉันจะกลับบ้านและมีอาการทางกายเหมือนเดิม บางทีฉันอาจกำลังจะตาย? แต่แน่นอนว่าฉันไม่ได้มีปัญหาสุขภาพจิตที่ไม่ยอมเลิกรา? ฉันใช้เวลาสองสามปีหลังจากเหตุการณ์นั้น กว่าจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น และการพูดจาให้กำลังใจในเชิงจิตวิทยาทำให้ฉันเสียหายและทำให้ฉันหันเหจากความจริงได้อย่างไร ฉันตระหนักว่าความเครียดจากการบาดเจ็บ—วิธีที่ร่างกายตอบสนองต่อมัน—ทำให้ฉันเกือบตาย และฉันต้องได้รับความช่วยเหลือที่จำเป็นจริงๆ
ยังไม่เพียงพอที่จะบอกตัวเองว่าฉันไม่เป็นไร
การตระหนักรู้นี้เกิดขึ้นประมาณหนึ่งหรือสองปีหลังจากเหตุการณ์ถูกล่วงละเมิด เมื่อฉันได้รับการแนะนำให้รู้จักกับงานของจิตแพทย์ชื่อดังระดับโลก ดร. เดวิด เซอร์วาน-ชไรเบอร์ ตอนนั้นฉันทำงานที่มูลนิธิสุขภาพจิตประเทศอังกฤษ (Mental Health Foundation UK) และได้มีโอกาสรีวิวต้นฉบับหนังสือของเขา
ฉันพิมพ์ต้นฉบับของเดวิดลงบนกระดาษ A3 ขนาดใหญ่ และอ่านที่บ้านหรือบนรถไฟระหว่างไปทำงาน สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นคือ 100% คนหนุ่มสาวที่เขาทำงานด้วยหายจาก PTSD (ความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ) และ 80% อยู่ในตัวอย่างกลุ่มควบคุม แล้วกระบวนการที่ดูเหมือนน่าอัศจรรย์ที่เขาใช้กับพวกเขาคืออะไร? เป็นวิธีปฏิบัติที่ค้นพบโดยบังเอิญโดย Dr. Francine Shapiro เป็นจิตบำบัดแบบอีเอ็มดีอาร์ หรือ วิธีบำบัดบาดแผลทางใจ (EMDR/ Eye Movement Desensitisation Reprocessing)
ฉันได้ใช้เวลาตามลำพังกับเดวิด ถามคำถามเขา เช่น “อะไรที่ทำให้ EMDR นี้ได้ผล” และสิ่งที่เขาบอกจะเปลี่ยนชีวิตฉันไปตลอดกาล
สมองของเรานั้นมหัศจรรย์ทีเดียว การเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีที่สมองของเราประมวลผลอารมณ์และความรู้สึกทำให้ฉันรู้ว่าเราสามารถรักษาบาดแผลทางร่างกายและจิตใจได้ ตราบใดที่เรามีสติและอยู่ในเส้นทางของการเยียวยารักษา
EMDR เป็นวิธีบำบัดที่ค่อนข้างใหม่ ไม่ใช่การรักษาแบบเดิมๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้ในการรักษาความผิดปกติของความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ (PTSD) ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังจากประสบการณ์ต่างๆ เช่น การถูกทำร้ายร่างกาย การถูกข่มขืน หรืออุบัติเหตุ EMDR ไม่พึ่งพาการบำบัดด้วยการพูดคุยหรือยา แต่ใช้การเคลื่อนไหวของตาอย่างรวดเร็วและเป็นจังหวะของผู้ป่วยเองเพื่อลดความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจในอดีต
ฉันได้พบกับพระเยซู
ความบอบช้ำทางจิตใจที่ส่งผลต่อสุขภาพของฉันหมายความว่าฉันไม่สามารถหนีจากมันได้อีกต่อไป ประมาณสี่ปีหลังจากได้พบกับเดวิด ฉันออกจากมูลนิธิสุขภาพจิตประเทศอังกฤษ เพื่อทำธุรกิจการเต้นของตัวเอง แต่ฉันก็รับมือไม่ได้เช่นกัน และชีวิตส่วนตัวของฉันก็พังทลายเช่นกัน
ขอบคุณพระเจ้าที่ฉันมีเพื่อนที่รักมากคนหนึ่ง ที่คอยอธิษฐานอยู่ข้างเตียงเมื่อฉันกลับจากโรงพยาบาลหลังจากประสบการณ์เฉียดตาย—อุณหภูมิที่สูงกว่า 40 องศาและหมดสติไปหลายวัน มันเป็นเส้นทางที่ยาวไกลในการฟื้นฟู และความเชื่อของเขาทำให้ฉันสบายใจเมื่อฉันรู้สึกถึงความสงบนิ่งแห่งพระวิญญาณของพระองค์และท่ามกลางความวุ่นวายของฉัน
ประสบการณ์ทางฝ่ายวิญญาณที่น่าจดจำอีกอย่างที่ฉันมีคือ เมื่อนักเรียนเต้นคนหนึ่งของฉันซึ่งเป็นผู้หญิงชาวอิหร่านเชิญฉันไปพิธีรับบัพติศมาของเธอ ฉันรักเธอมาตลอดและพบว่าเธอเป็นหนึ่งในคนที่มีสีสันที่สุดที่เคยเข้ามาในสตูดิโอของฉัน ฉันไปร่วมด้วยความคาดหวังน้อยมาก ก็แค่ไปเพื่อให้กำลังใจเพื่อนชาวอิหร่าน (ที่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว) แต่ฉันกลับได้รับความสุขและสัมผัสได้ถึงความรักของพระเยซู
ฉันซาบซึ้งและร้องไห้ เมื่อรู้ว่าที่ผ่านมาฉันละเลย ไม่เห็นคุณค่าของพระพรและเสรีภาพที่พระเจ้ามอบให้ รวมถึงการได้รู้จักเป็นการส่วนตัวและมีส่วนในพระคริสต์
ในพิธีรับบัพติศมา เมื่อมีคนถามขึ้นมาว่ามีใครอีกบ้างที่อยากรับบัพติศมาในอนาคต ฉันยกมือขึ้นทันที ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันได้สัมผัสและรับรู้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันรู้สึกถึงการสถิตอยู่ด้วยของพระวิญญาณบริสุทธิ์
ในเดือนมีนาคมปี 2008 ในที่สุดฉันก็ย้ายกลับไปออสเตรเลีย หลังจากเพื่อนรับบัพติศมาไม่ถึงหนึ่งเดือน และหลังจากที่หายจากโรคปอดบวมได้ไม่นาน ฉันต้องการอากาศที่อบอุ่น ครอบครัว ความรัก และเวลาเพื่อพักฟื้น เมื่อฉันกลับมาฉันรู้สึกเศร้าที่ต้องจากเพื่อนและคนที่ฉันรักในประเทศอังกฤษ รวมถึงที่ฉันเป็นโรคความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ (PTSD) ฉันได้ไปพบนักบำบัด EMDR เพื่อช่วยให้ฉันผ่านช่วงเวลานั้น
เป็นเวลา 16 ปีแล้วที่ฉันได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ (PTSD) และ 12 ปีตั้งแต่ฉันเริ่มการรักษาที่จะช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมาน
การรักษาสามารถพบได้ในพระคริสต์
ตั้งแต่ที่ฉันรู้ว่าฉันถูกสร้างใหม่ในพระคริสต์ ฉันเชื่อในฤทธิ์อำนาจการรักษาของพระองค์—ฉันเชื่อในการอัศจรรย์และเปิดรับจากพระองค์ ฉันเชื่อด้วยว่าพระองค์ทรงต้องการมากกว่านี้สำหรับฉัน ฉันรู้สึกว่าพระองค์กำลังเพิ่มพูนความรู้เรื่องพระองค์ในตัวฉันอย่างแท้จริง และทรงให้โอกาสฉันในการปรับเปลี่ยนความคิดใหม่
การเดินกับพระเยซูจนถึงตอนนี้เป็นการถ่อมใจลงอย่างยิ่ง เราตระหนักดีถึงข้อบกพร่อง ความแตกสลาย และวิธีต่างๆ ที่เราพยายามถอดถอนความต้องการในส่วนลึกที่เรามีต่อพระเจ้าด้วยทุกสิ่งที่เป็นของโลกนี้ ฉันมาถึงจุดที่ตระหนักว่าฉันไม่อยากไปโดยไม่มีพระองค์ ฉันเริ่มเห็นชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องแบ่งปันร่วมกันกับพระเจ้าผู้เป็นที่รักยิ่ง
และพระองค์ทรงปรากฏในชีวิตของฉันในหลายๆ ด้าน เหมือนเพื่อนใจดีที่เห็นฉันในหลายรูปแบบและไม่เมินหน้าหนี แต่เลือกที่จะพยุงฉันในยามทุกข์แทนที่จะเหยียบย่ำฉัน เพื่อนที่เลียนแบบพระเยซู และบางครั้งเป็นคนที่คอยเตือนว่าฉันต้องการพระเจ้ามากกว่าที่ฉันรู้ตัว คุณเห็นไหมว่าบางครั้งเราสูญเสียผู้คน ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่เหมาะกับเรา แต่เพราะเราจำเป็นต้องรู้ว่าใครคือคนรักที่แท้จริงของเรา—คนที่มาปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ
ดูเหมือนคำอธิษฐานที่ผู้อื่นเสนอในนามของฉันเป็นการยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระองค์สำหรับชีวิตของฉัน และในการยอมจำนนนั้น ในการต่อสู้นั้น ในการประทุษร้าย ในที่สุดก็มีสันติภาพ ฉันถูกเรียกให้ไปนมัสการพระองค์
ควบคู่ไปกับการรักษาทางจิตวิญญาณของฉัน ฉันได้ทำ EMDR (การปรับกระบวนการลดความไวของการเคลื่อนไหวของดวงตา—กับนักจิตวิทยาคลินิก และยังคงทำเป็นครั้งคราว) เข้าร่วมชั่วโมง SOZO จำนวนมาก ตลอดจนชั่วโมงการให้คำปรึกษากับ Elijah House Ministries Australia และ Christian Counseling
ทั้งหมดนี้ช่วยให้ฉันเปลี่ยนชีวิตทีละเล็กทีละน้อย
การต่อสู้เพื่อสันติสุขไม่สิ้นสุด
มีหลายครั้งที่ฉันเผชิญกับความขัดแย้งเพื่อความสงบสุขของฉัน และในช่วงเวลานั้น ฉันได้เรียนรู้ว่า มันไม่ใช่การต่อสู้ที่มีจุดจบ แต่เป็นอะไรที่เราต้องยืนหยัดต่อสู้ในแต่ละวัน
แต่ด้วยการปรับวิถีชีวิตของฉันให้เข้ากับการอดอาหาร การอธิษฐาน และเหนือสิ่งอื่นใด ความรักทำให้ฉันพบหนทางที่พระเจ้าวางไว้ ซึ่งพระองค์ได้วางคนที่เหมาะสมไว้บนเส้นทางของฉัน
สันติสุขเกิดขึ้นเมื่อคุณรับพระเจ้าเข้ามาในชีวิต แต่นี่เป็นอีกระดับของสันติสุข มันเป็นความสงบสุขของการพักพิงอยู่ในพระองค์ รู้ว่าฉันจะต้องได้รับการตัดแต่ง เลี้ยงดู และมีที่พักพิงอยู่ในพระองค์
สองสามสัปดาห์หลังจากกลับมาที่ประเทศนี้ ฉันก็เริ่มทำงานในร้านค้าปลีกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวด้วย ลูกค้าคนหนึ่งส่งนามบัตรมาให้ฉันและถามว่าฉันอยากร่วมงานกับเธอที่สถานีวิทยุคริสเตียนท้องถิ่นของเธอไหม ซึ่งในที่สุดฉันก็ได้ทำตามนั้น และในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ฉันก็รับบัพติสมาในโบสถ์ของเธอ
ในแต่ละวัน พระวิญญาณบริสุทธิ์มีส่วนอย่างมากในการช่วยฉันสำรวจตัวเอง และฉันพบว่าการมีส่วนรับศีลมหาสนิทเผยให้เห็นสภาพจิตใจของฉันอย่างสม่ำเสมอ
ในเวลาที่ฉันต้องการได้รับความรัก พระเจ้าก็ทรงเปิดเผยว่าเป็นเวลานานแล้วที่ฉันนั้นเป็นที่รักยิ่งของพระเจ้า พระองค์ทรงปกปิดความบาปความอับอายของฉัน
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ขณะที่ฉันเติบโตขึ้นในการเปิดเผยว่าฉันยังไม่ให้อภัยหรืออาจจะตัดสินไปแล้ว ฉันก็เห็นได้ชัดว่าฉันต้องให้อภัยคนที่ทำให้ฉันขุ่นเคืองในอดีต
การเติบโตและใช้เวลากับคนที่มั่นคงในความเชื่อเป็นสิ่งสำคัญสำหรับฉันเช่นกัน ฉันมีนักรบอธิษฐานอยู่รอบตัวมาโดยตลอด ฉันพูดได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำอธิษฐานของพวกเขาเปลี่ยนชีวิตฉันในแบบที่ฉันไม่สามารถทำได้เอง
นำมันกลับมาหาพระเยซู ครั้งแล้วครั้งเล่า
ท้ายที่สุด มันเกี่ยวกับการนำทั้งหมดให้พระเยซูและพูดว่า “พระเยซู ลูกอยู่ที่ไหน ลูกจะจัดการกับสิ่งนี้ได้อย่างไร ลูกจะทำมันได้อย่างไร ทั้งหมดนี้เกี่ยวกับการได้รับการรักษาสมอง ร่างกาย จิตวิญญาณ หรือทั้งหมด” และให้พระเจ้าสำแดงและรักษาฉัน
ผู้คนมักคิดว่าการฟื้นฟูหมายถึงการกลับไปเป็นอย่างเดิมหรือเป็นคนที่เราเคยเป็นก่อนที่จะเจ็บปวด แต่ ความจริงมันเป็นเรื่องของการ “เปลี่ยนแปลง” มากกว่า
ฉันจะบอกว่าฉันได้รับการ “เปลี่ยนแปลง” และฉันแตกต่างจากที่ฉันเคยเป็นก่อนการต่อสู้กับ PTSD ภาวะซึมเศร้า และความวิตกกังวล ฐานที่มั่นที่เราเผชิญ ทั้งทางจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณสามารถเสริมกำลังเรา และเตรียมเราให้พร้อมสำหรับความท้าทายที่เราจะเผชิญในอนาคต
ก่อนหน้านี้ฉันคิดว่าฉันมีความมั่นใจและเข้มแข็ง ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันมั่นใจเพราะฉันเป็นใครในพระองค์—ว่าความชื่นชมยินดีของพระเจ้าคือกำลังของฉัน ไม่ว่าคุณจะได้รับการปลดปล่อยและหายดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพระองค์ แต่ขึ้นอยู่กับเราที่จะอยู่ในเส้นทางและเลือกทาง—เพื่อเราจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิตและเป็นอิสระจากอดีตหรือไม่
การเปลี่ยนแปลงสามารถกลายเป็นเสรีภาพได้ในที่สุด เมื่อพระเจ้าทรงมีทางของพระองค์ในเราแล้ว เราสามารถเดินในการแสดงออกอย่างเต็มที่ถึงผู้ที่พระองค์ทรงเรียกให้เราเป็น นั่นคือพระคริสต์ในเรา ซึ่งเป็นความหวังเดียวของเรา
YOU MAY ALSO LIKE
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน
WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ สะสางงานต่างๆ ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...
ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?
WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...
เสียงที่ดังพอ
WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...