fbpx
WRITER: ราฟาเอล ชาง ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: กาญจนา​ กาญจนพาที
EDITOR: ปวีณา นิลบุตร

เมื่อตอนอายุประมาณ 20 ต้นๆ ผมได้วางแผนชีวิตว่าจะต้องเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เป็นนักดนตรี และเป็นผู้รับใช้ในคริสตจักรก่อนอายุ 25 ปี ซึ่งในเวลานั้นผมก็คงแต่งงานและมุ่งมั่นจดจ่ออยู่กับอาชีพการงานและครอบครัวของผม

อายุ 25 ปีมาถึงแล้วก็ผ่านไป และผมก็ยังไม่ได้บรรลุเป้าหมายตามแผนที่วางไว้เลย ขณะนี้ผมอายุ 31 ปี เป็นนักเขียนเต็มเวลาและนักดนตรีตามโอกาส (เมื่อเพื่อนในวงต้องการความช่วยเหลือ) ผมยังไม่ได้แต่งงานแต่ก็กำลังพัฒนาความสัมพันธ์กับแฟนสาวที่คบกันมาสองปีเพื่อไปถึงจุดนั้นอย่างช้าๆ 

เพราะความไม่เป็นผู้ใหญ่และความดื้อดึง ผมจึงต้องใช้เวลาหลายปีกว่าที่จะเข้าใจว่า แผนการชีวิตที่วางเองของผมไม่ได้เข้ากับแผนการและเวลาของพระเจ้าที่มีสำหรับผม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผมไม่ได้ถามพระองค์เลยตั้งแต่ตอนแรก แม้ว่าเหตุการณ์พวกนั้นจะนำมาซึ่งความผิดพลาดที่เจ็บปวด ผมก็ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงสอนให้ผมไม่ทำแบบนั้นอีกต่อไปในอนาคต 

การรับปากผูกพันกับบางสิ่งโดยไม่คิดให้รอบคอบ

เมื่อเรียนจบจากวิทยาลัย ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองแข็งแกร่งมากเหลือเกินและอยากจะทำทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นนักธุรกิจตอนกลางวัน เป็นนักร้องตอนกลางคืน และเป็นผู้รับใช้ในวันสุดสัปดาห์

ผมเข้าร่วมวงดนตรีของเพื่อนในฐานะมือกลองโดยไม่ตระหนักถึงความยุ่งยากต่างๆ (การซ้อมดนตรีจนดึกดื่น การแสดงที่ไม่ได้ค่าตอบแทน และหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะสมาชิกวงคนหนึ่ง) ยิ่งไปกว่านั้น ผมยังร่วมรับใช้ในทีมดนตรีของคริสตจักรอีกด้วย  

แม่ของผมไม่เห็นด้วยกับความใฝ่ฝันที่จะเป็นนักดนตรีของผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อท่านเห็นว่ามันกระทบกับการนอนและสุขภาพของผมอย่างไร แต่ผมก็มุ่งมั่นที่จะทำให้ความฝันเป็นจริง แต่แล้วในที่สุดผมก็ได้รับรู้ผลของการไม่ใส่ใจดูแลสุขภาพร่างกายตัวเอง 

แต่แล้วในที่สุดผมก็ได้รับรู้ผลของการไม่ใส่ใจดูแลสุขภาพร่างกายตัวเอง 

การไม่ได้นอนหลับอย่างเพียงพอ หมายถึงผมไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่การงานได้อย่างที่มันควรจะเป็นในตอนนั้น

ในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่จะลาออกจากวงดนตรีแต่ก็แก้ไขสถานการณ์ด้วยวิธีที่ผิดพลาด แม้เพื่อนร่วมวงต่างก็เคารพในการตัดสินใจของผม พวกเขาก็ขอร้องให้ผมร่วมแสดงอีกสองสามงานที่เหลือที่รับงานไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะพวกเขาหาคนแทนไม่ทัน แต่อย่างไรก็ตามผมคิดว่าการอยู่ต่อไปหมายถึงการไม่เชื่อฟัง ผมจึงปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใยว่า “ไม่” ซึ่งมันทำให้นักร้องนำโกรธผมซึ่งผมก็เข้าใจเหตุผลได้ดีและเขาไม่พูดกับผมไปหลายปี 

ยังดีที่นี่ไม่ใช่จุดจบของเรื่องราว นานกว่า 5 ปีหลังจากนั้น ผมได้มีโอกาสเผชิญหน้ากับนักร้องนำอีกครั้งในระหว่างทานอาหารเช้ามื้อใหญ่และมีการคุยปรับความเข้าใจกัน ซึ่งในที่สุดผมก็สารภาพผิดและขอการให้อภัยกับความไม่เป็นผู้ใหญ่ของผม โดยพระคุณของพระเจ้าพวกเราก็ได้คืนดีกันอีกครั้ง 

ตอนนี้ผมจะไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนที่จะตกปากรับทำอะไรสักอย่าง โดยให้คำว่า ตกลงของผมนั้นหมายถึงตกลงและสามารถทำให้สำเร็จได้จริง และถ้าผมไม่สามารถก็จะปฏิเสธไปอย่างนอบน้อม สำคัญไปกว่านั้นคือผมเรียนรู้ที่จะอธิษฐานทูลขอสติปัญญาเมื่อต้องทำการตัดสินใจเรื่องต่างๆ 

การไม่ผูกมัดกับบางคนที่ผมชอบ

หลายปีก่อน ผมเริ่มต้นมิตรภาพกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ผมสะดุดตาในขณะที่อยู่ในกลุ่มอนุชน ผมเริ่มส่งข้อความเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปให้เธอทุกวัน ขณะที่ผมมีความรู้สึกพิเศษกับเธอ ผมก็ไม่ได้ขอการยืนยันกับพระเจ้าว่าความสัมพันธ์โรแมนติกนี้เป็นพระประสงค์สำหรับผมหรือเปล่าในตอนนั้น

ในส่วนลึกลงไปผมก็รู้ตัวว่าผมยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับผลกระทบทางอารมณ์ที่จะเกิดขึ้นของความสัมพันธ์นี้ แต่ผมไม่กล้าพอที่จะกำหนดแนวทางความตั้งใจของตัวเอง (ในกรณีนี้คือ ไม่มีความตั้งใจ) ให้ชัดเจน ในกรณีนี้คือผมไม่พร้อมที่จะทุ่มเทรับมือกับความสัมพันธ์นี้ 

ผมไม่กล้าพอที่จะกำหนดแนวทางความตั้งใจของตัวเอง(ในกรณีนี้คือ ไม่มีความตั้งใจ) ให้ชัดเจน ในกรณีนี้คือผมไม่พร้อมที่จะทุ่มเทรับมือกับความสัมพันธ์นี้

ผมยังไม่ได้คิดให้รอบคอบว่ามิตรภาพนี้จะกระทบกับความรู้สึกของเธออย่างไร 

การไม่มีความตั้งใจทำอะไรซักอย่างของผมทำให้เธอคิดไปว่ามีอะไรพิเศษบ้างระหว่างเรา และเมื่อเธอมาชี้แจงกับผมโดยตรง ผมก็ปฏิเสธว่าไม่มีอะไรพิเศษ หลังจากนั้นเราก็เลิกติดต่อกันและเธอก็ย้ายไปคริสตจักรอื่นในเวลาต่อมา มันเป็นวิธีสูญเสียเพื่อนที่น่าสะเทือนใจมาก

แม้ว่าผมไม่ได้คืนดีกับเธอคนนั้น แต่ด้านดีจากเรื่องนี้คือมันสอนให้ผมตั้งแนวทางความตั้งใจของตัวเองให้ชัดกับคนที่ชอบ ซึ่งผมทำตอนที่จีบแฟนคนปัจจุบันของผม เมื่อผมรู้สึกว่าพระเจ้าสะกิดใจให้ผมตามติดเธอ ผมไม่เพียงแต่อธิษฐานและรับการยืนยันจากพระวจนะ ผมยังมองหาพระปัญญาโดยการปรึกษากับคนที่เกี่ยวข้องและผู้ใหญ่หลายท่านโดยทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ใช่แล้ว!”

ค้นหาเส้นทางอาชีพโดยวิธียากลำบาก 

เมื่อผมเริ่มต้นทำงาน ผมรู้สึกกดดันจากพ่อแม่ที่ต้องการให้ทำงานด้านธุรกิจ ขณะที่พวกท่านให้ผมได้เรียนในสาขาที่ไม่ใช่ธุรกิจ ปีแรกๆของการทำงานคือการพยายาม “กลับเข้าร่องเข้ารอย” ในเส้นทางที่พวกท่านต้องการสำหรับผม 

ผมไม่รู้ว่าแผนการของพ่อแม่กับแผนการของพระเจ้านั้นอาจเป็นสิ่งที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ผมคิดไปว่าการเชื่อฟังพ่อแม่ทุกอย่างเป็นการเชื่อฟังพระเจ้าโดยอัตโนมัติ ผมสมัครงานทุกที่ที่พวกท่านส่งมาให้และยอมที่จะไปทำงานนั้นๆ เพื่อที่จะลาออกในอีกไม่กี่เดือนหลังจากนั้น

หลังจากผ่านไปสองสามปี ในที่สุดผมก็กล้าพอที่จะทำงานตามทางของผม (การเขียน) แต่แทนที่จะปรึกษากับพระเจ้าผมก็ทำตามทางตัวเองโดยรับงานเขียนมั่วไปหมด ซึ่งก็ทำให้ได้ผลเหมือนที่เคยผ่านมา สมัครงาน รับเข้าทำงานแล้วก็ตามด้วยการลาออก

ใช้เวลานานเป็น 10ปี กว่าผมจะผ่านตรงนั้นได้ หลังจากที่ผมตั้งสติ หยุด และดูว่าตัวเองเริ่มต้นที่ไหนและจบลงที่ไหน สิ่งที่ผมเรียนรู้นั้นได้มาจากหนังสือสุภาษิต ซึ่งพระคำข้อนั้นได้แทงใจผมอย่างจัง “คน​มัก​มี​แผนการ​มากมาย​ไว้​ใน​ใจ แต่​แผน​จะ​ลุล่วง​ได้​หรือ​ไม่​ก็​แล้ว​แต่​ความ​ประสงค์​ของ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า” (สุภาษิต 19:21)

การได้ทบทวนข้อพระธรรมตอนนี้ ทำให้ผมได้เห็นการกระทำสุดโต่งของผม 2 ทางเกี่ยวกับอาชีพการงาน คือการเชื่อวางใจในสติปัญญาของผู้ปกครองที่เป็นมนุษย์ของผม กับการเชื่อมั่นในสติปัญญาของตัวเอง และในทั้งสองกรณีผมก็ทิ้งพระเจ้าให้อยู่ในที่นั่งผู้ชมเฉยๆ 

การกระทำสุดโต่งของผม 2 ทางเกี่ยวกับอาชีพการงาน คือการเชื่อวางใจในสติปัญญาของผู้ปกครองที่เป็นมนุษย์ของผม กับการเชื่อมั่นในสติปัญญาของตัวเอง และในทั้งสองกรณีผมก็ทิ้งพระเจ้าให้อยู่ในที่นั่งผู้ชมเฉยๆ

ดังนั้นจึงเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี ที่ผมใช้เวลาในการอธิษฐานและขอพระเจ้าเรื่องงาน ที่ไม่เพียงแต่จะเป็นงานที่ทำให้ผมมีเงินเดือนเพื่อยังชีพ แต่มีโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้าและให้เวลาพอที่จะรับใช้ในงานของคริสตจักร โดยการอธิษฐานขอแบบนี้ผมตัดสินใจที่ไม่ใช่ต้องการเพียงแต่จะทำงานเพื่อตัวเอง แต่เป็นความต้องการหาพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตผมและเดินตามสิ่งที่พระเจ้าทรงนำและนำคำสรรเสริญมาถึงพระองค์ในทุกที่ที่ผมไป 

ถึงแม้ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นไม่ง่าย แต่ผมก็ได้เรียนรู้ 2 สิ่งที่สำคัญ สิ่งแรกคือการทำงานนั้นเป็นโอกาสที่จะได้ทำงานที่มีประโยชน์เพื่อพระเจ้าและเป็นพระพรสำหรับคนอื่นที่กำลังต้องการ  สิ่งที่สองคือผมจำเป็นต้องเข้าหาพระเจ้าในยามที่ต้องตัดสินใจสิ่งที่สำคัญเพื่อทูลขอการทรงนำของพระองค์

ผมได้เรียนรู้ว่าการหาคำปรึกษาจากพระเจ้านั้น หมายถึงการที่ผมตั้งใจใช้เวลาในการอธิษฐานเรื่องสิ่งที่ผมกำลังจะทำและรอคอยการทรงนำที่มาจากพระองค์

ผ่านทางพระวจนะและจากคนรอบตัวที่พระเจ้าประทานมา อย่างเช่น กลุ่มสังคมด้านจิตวิญญานที่ผมอยู่ 

จากประสบการณ์ทั้งหมดนั้น ผมได้เรียนรู้ว่าความเห็นแก่ตัวและการมองตัวเองเป็นศูนย์กลางสามารถนำไปสู่ความเจ็บปวด แต่พระเจ้าทรงใช้ความเจ็บปวดเหล่านี้ช่วยให้ผมและผู้อื่นได้เติบโตหยั่งลึกขึ้นมีความเชื่อในพระองค์ แม้ว่าผมจะได้บทเรียนเหล่านี้มาอย่างยากลำบาก ผมหวังว่าประสบการณ์ต่างๆ ของผมจะสามารถใช้เป็นบทเรียนช่วยคนอื่นที่ต้องผ่านการเดินทางในความเชื่อของเขา

YOU MAY ALSO LIKE

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: ฐิติกานต์ นิธิอุทัย ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...

เสียงที่ดังพอ

เสียงที่ดังพอ

WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...

ช่วยด้วย! ฉันหยุดคิดมากไม่ได้

ช่วยด้วย! ฉันหยุดคิดมากไม่ได้

WRITER: เรเชล มอร์แลนด์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: JoshuaEDITOR: สรสิทธิ์ ฑัมมารักขิตานนท์ ฉันมือสั่นขณะที่ฉันกำลังว้าวุ่นกับการหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตในมือถือว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ไม่กี่วินาทีต่อมา...

Share This