fbpx
WRITER: เลซี่ กอ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: Natty Grace
EDITOR: Mustard Seed Team

นี่อาจเป็นเหมือน “พิธี” ที่เราทุกคนต้องผ่านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือการต้องทนทำงานที่เราไม่ได้รู้สึกชอบเลยแม้แต่นิดเดียว (ถ้าใครรู้สึกว่าตัวเองทำงานในฝันอยู่ล่ะก็… มันดีมากๆ เลยนะ!)

และถ้าคุณกำลังอยู่ในสถานการณ์นี้ คุณก็คงคุ้นกับความรู้สึกเหล่านี้ดี

   – ความรู้สึกตื้อๆ ที่เริ่มตั้งแต่เย็นวันอาทิตย์ และหนักสุดเช้าวันจันทร์ตอนที่ตื่นขึ้นมาคิดว่า “เอาอีกแล้ว…”
   – อารมณ์เบื่อหน่ายที่เกิดในออฟฟิศ ทำงานไปแบบอัตโนมัติ เหม่อลอยมองออกนอกหน้าต่าง คิดอยากจะอยู่ที่อื่นมากกว่าตรงนี้
   – บางครั้งก็อยากจะกวาดของบนโต๊ะทิ้ง โยนแล็ปท็อปลงถังขยะ แล้วเดินออกไปจากที่นั่นให้รู้แล้วรู้รอด (ส่วนตัวเคยแอบหวังว่าออฟฟิศจะไฟไหม้ตอนกลางคืน จะได้ไม่ต้องไปทำงาน…แต่ก็แค่หวังนะ)

แล้วเราควรทำยังไงดี?

ถ้าเราไม่ได้เป็นคริสเตียน คำตอบอาจจะวนอยู่กับเรื่องความเป็นไปได้ทางโลก เช่น ลาออกดีมั้ย หรือจะขอย้ายตำแหน่งยังไงดี ถ้าลองเสิร์ชคำว่า “ทำไงดีเมื่อต้องทนอยู่กับงานที่ไม่ชอบ” ก็จะเจอบทความที่ให้คำแนะนำเชิงปฏิบัติดีๆ เพียบเลย

แต่ในฐานะคริสเตียน เราอยากจะตอบสนองต่อสถานการณ์ด้วยท่าทีที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า อยากแน่ใจว่าการตัดสินใจของเราอยู่ในเส้นทางและน้ำพระทัยของพระเจ้า เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง

แต่นั่นก็ทำให้สถานการณ์ยากขึ้นไปอีก เพราะอาจจะไม่มีคำตอบที่

“ถูกต้อง” หรือ “ดีที่สุด” ก็เป็นได้

ถ้าพระเจ้าอยากให้เราอยู่ในงานที่น่าเบื่อหรือลำบากนี้ เพราะมีแผนการบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ล่ะ? หรือถ้าพระเจ้ามีงานที่ดีกว่าเตรียมไว้ให้เราแล้ว แต่เราต้องออกไปตามหาหรืออดใจรอดี?

เมื่อพระเจ้าเข้ามาอยู่ในภาพรวม การพิจารณาหลายๆ อย่างของเราก็จะเปลี่ยนไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรยอมแพ้ ยกมือขึ้นแล้วปล่อยให้ทุกอย่าง “เกิดขึ้น”  ถึงแม้พระคัมภีร์จะสอนชัดเจนว่าเราควรยอมอยู่ภายใต้พระประสงค์ของพระเจ้า (ยากอบ 4:13-15) แต่พระคัมภีร์ก็ยังเน้นถึงการเป็นคนฉลาดและวางแผนอย่างระมัดระวัง (สุภาษิต 21:5) ตัวอย่างเช่น สังเกตว่า “แผนงานของคนขยันนำไปสู่ผลกำไร”

สำหรับเราเอง เวลาท้อหรือหมดแรงใจ เรามักจะถามตัวเอง 2 คำถามหลักๆ (และคำถามอื่นๆ ที่ตามมาตามธรรมชาติ) ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจสถานการณ์ได้ชัดขึ้น และนำไปสู่การวางแผนทั้งเรื่องการอธิษฐานและการลงมือทำได้อย่างตรงจุดมากขึ้น

1. อะไรในงานที่คุณไม่ชอบกันแน่?

แค่พูดว่า “เกลียดงานนี้จัง” มันง่ายมาก แต่จะดีกว่าถ้าเราลองลงลึกไปอีกขั้น และถามตัวเราเองว่า อะไรกันแน่คือสิ่งที่เราไม่ชอบในงานของเรา? ตัวอย่างเช่น

   – ถ้าเป็นเนื้องานเอง มีทางไหนที่คุณจะเปลี่ยนแปลงมันได้มั้ย?

ขอเปลี่ยนหน้าที่หรือย้ายแผนกได้หรือเปล่า? คุยกับหัวหน้าได้มั้ยว่าคุณอยากทำอะไรที่คุณชอบมากขึ้นและทำอะไรที่คุณไม่ชอบน้อยลง?

ถ้าคุณลองปรับเปลี่ยนมุมมองของคุณต่องานล่ะ? จำไว้ว่าการทำงานที่เราชอบ (ของเราจะเป็นการเขียนหรือเรียบเรียง) ก็มักจะมีส่วนงานที่ไม่ชอบแถมมาด้วย เช่น งานเอกสาร ประชุม หรือเขียนอีเมล คุณสามารถเรียนรู้ที่จะชื่นชมสิ่งที่คุณชอบมากขึ้น และยอมรับส่วนอื่นๆ ว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “ชีวิต” ได้หรือไม่?

   – ถ้าเป็นเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้า อะไรในตัวเขาที่รบกวนใจคุณ?

เขามีพฤติกรรมบางอย่างที่คุณพอจะพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา แต่เป็นการคุยส่วนตัวและด้วยความสุภาพได้มั้ย?

หลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์ในประเด็นที่กระทบใจกันได้หรือเปล่า? หรือหากจำเป็น ให้ลดการสนทนากับเพื่อนร่วมงานที่พูดจาหยาบคายหรือพูดจาไม่ดีให้น้อยที่สุด? บางทีเราอาจใช้แนวทางดังต่อไปนี้ เปาโลได้ให้คำแนะนำไว้ในโรม 12:18 ว่า “ถ้าเป็นได้ เท่าที่เรื่องขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน”

การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในแบบที่ถวายเกียรติพระเจ้า ไม่เคยเป็นเรื่องง่าย บางครั้งเราอาจไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งกับทุกคนได้สำเร็จ แต่เมื่อเราระลึกถึงธรรมชาติบาปของตนเอง และตระหนักว่าเราก็ยังเป็น “ผู้ที่พระเจ้ากำลังสร้างอยู่” เราได้รับการยกโทษบาปและกำลังถูกเปลี่ยนแปลงโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราก็จะเรียนรู้ที่จะหยิบยื่นพระคุณให้กับคนอื่นได้มากขึ้น อย่าลืมว่าคนอื่นก็อาจอยู่ระหว่างการเติบโตในเส้นทางของเขาเช่นกัน

   พระเจ้าต้องการให้คุณอยู่ตรงนี้เพื่ออะไร?

ครั้งหนึ่งตอนที่เรากำลังคิดจะลาออกจากที่ทำงาน พระเจ้าทรงทำให้เราเข้าใจว่า บางทีการที่เรายังอยู่ อาจไม่ใช่เพราะตัวงานอย่างเดียว แต่อาจเป็นเพราะพระองค์ต้องการให้เรามีผลกระทบในแง่ดีต่อเพื่อนร่วมงาน และใช้ชีวิตเป็นตัวแทนของคริสเตียนในที่ทำงานแห่งนั้นก็เป็นได้

ที่ทำงานของคุณในตอนนี้ อาจเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้คุณได้สำแดงความรักของพระเจ้า และเป็นแบบอย่างสาวกของพระเยซูคริสต์ก็ได้นะ

   – หรือจริงๆ แค่ต้องการ “พัก” กันแน่?

เจ้านายคนเก่าคนหนึ่งเคยบอกเราว่า “การลาพักบ่อยๆ นั้นสำคัญมาก” และเขาพูดถูก! เราเคยพยายามสะสมวันลาไว้ไปเที่ยวครั้งใหญ่ทีเดียว แต่ระหว่างทางกลับไม่ได้พักเลยตลอด 11 เดือนที่เหลือ

ไม่แปลกเลยที่พระเจ้าทรงบัญชาให้ชนชาติอิสราเอลได้หยุดพักในวันสะบาโต และเมื่อผู้เผยพระวจนะเอลียาห์รู้สึกหมดแรงและท้อใจ พระเจ้าก็ไม่ได้รีบบอกให้เขาลุกขึ้นไปทำอะไร แต่กลับให้เขาได้นอนหลับและกินอาหารก่อน (1 พงศ์กษัตริย์ 19:3–9) แม้แต่ผู้รับใช้พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังต้องการการพักผ่อนทั้งกายและใจ!

2. แล้วเรามี “ทางเลือก” อะไรบ้าง?

เรามักจะได้ยินประโยคนี้บ่อยๆ (จากตัวเองด้วยซ้ำ) ว่า “ฉันไม่มีทางเลือก! ฉันติดอยู่ที่นี่!” และก็มักจะได้ยินเสียงในใจตอบกลับมาเบาๆ ว่า “จริงเหรอ?”

หนึ่งในต้นเหตุสำคัญของความหงุดหงิดและหมดกำลังใจ ก็คือความรู้สึกว่าเราถูกขังอยู่ ไม่มีทางไปต่อ แต่บางทีมันอาจเป็นแค่สมมุติฐานที่เรายังไม่ได้ทบทวนจริงๆ ลองถามตัวเองดูสิว่า

   คุณติดกับงานของคุณขนาดไหน?

บางคนอาจอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถลาออกได้จริงๆ เช่น คุณเป็นเสาหลักของครอบครัว เซ็นสัญญาที่ไม่สามารถยกเลิกได้ หรือคุณทำงานในธุรกิจครอบครัวที่ไม่สามารถทิ้งไปได้ หรืออาจกำลังรับราชการหรือฝึกงานตามข้อกำหนด

มันยากมาก และเราเข้าใจคุณ แต่บางที (แม้มันจะไม่ง่ายเลย) การเปลี่ยนมุมมองจาก “เราอยากทำแต่ทำไม่ได้” มาเป็น “ตอนนี้เราทำอะไรได้บ้าง” อาจช่วยให้เรารับมือได้ดีขึ้น การคิดวนเวียนแต่กับคำว่า “ถ้าแค่…” หรือ “ถ้าเป็นแบบนั้น…” จะยิ่งทำให้เราเครียดกว่าเดิม ถ้าพระเจ้าทรงวางเราไว้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากโดยที่เรายังไม่เข้าใจเหตุผล เราก็เชื่อได้ว่าพระองค์จะประทานกำลังและสติปัญญาให้เราเดินผ่านหุบเขามืดมนไปได้

สำหรับคนอื่นๆ ความจริงก็คือ…เรายังมีทางเลือกอยู่ เพียงแต่อาจเป็นทางเลือกที่ต้องแลกด้วยบางสิ่ง เช่น ต้องจ่ายค่าปรับในการลาออกจากสัญญา ต้องขายรถที่เพิ่งกู้มา หรือยอมสละแผนการซื้อบ้านหลังใหญ่ที่ผูกเรากับภาระหนี้ก้อนโตที่ทำให้เราต้องติดอยู่กับงานๆ นี้

ในกรณีต่างๆ เราอาจพบคำตอบของคำถาม “เราลาออกได้ไหม?” อาจจะกลายเป็น “ได้…แต่ต้องแลก” และคำถามที่แท้จริงคือ: มันคุ้มไหม?

สิ่งนี้อาจเปลี่ยนมุมมองของเราที่มีต่อความไม่พอใจในงาน แทนที่จะมองแยกออกมาเดี่ยวๆ เราอาจเริ่มมองอย่างสมดุลมากขึ้น โดยเปรียบเทียบความต้องการที่จะเติมเต็มตนเอง กับความต้องการหรือความปรารถนาอื่นๆ ในชีวิต เราอาจตัดสินใจได้ว่า “บางทีงานนี้ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น” หากมันสามารถรองรับความฝันของเรา หรือช่วยให้เรามีสมดุลระหว่างการทำงานกับการใช้ชีวิต หรือในทางกลับกัน เราอาจตัดสินใจครั้งใหญ่และยากลำบากเพื่อเปลี่ยนงาน หากสิ่งที่ต้องแลกมาคือ สุขภาพจิตของเราเอง

   – แล้วมีสิ่งอื่นที่เราทำได้ไหม?

ก่อนจะตัดสินใจลาออก ลองถามตัวเองดูว่า “มีอะไรอีกไหมที่เราทำได้?”

รู้สึกตื่นเต้นไหมเวลาเข้าไปดูตำแหน่งงานใหม่ๆ ? อยากลองสภาพแวดล้อมหรืองานในสายอื่นดูบ้างหรือเปล่า? พร้อมแค่ไหนที่จะเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ หรือปรับตัวกับที่ทำงานใหม่?

เราเคยคิดว่าเบื่อการเขียนและงานบรรณาธิการมาก จนตัดสินใจลาออกไปทำงานด้านอื่น แต่ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ฉันกลับรู้ว่าตัวเองคิดถึงงานเดิมสุดๆ การได้ลองสิ่งใหม่ทำให้ฉันรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเองรักจริงๆ พอกลับไปทำงานเดิมอีกครั้ง เราจะไม่รู้สึกหมดไฟเหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งๆ ที่เนื้องานไม่ได้เปลี่ยนเลย สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไป คือมุมมองเราเอง และการรู้ว่า จริงๆ แล้ว เรายังไม่พร้อมจะเปลี่ยนสายงาน

บางครั้งเราจำเป็นต้องก้าวออกไปด้วยความเชื่อ และดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่บางครั้ง การไตร่ตรองความเป็นไปได้ล่วงหน้า ก็ช่วยให้เราเห็นสถานการณ์ปัจจุบันในมุมใหม่ได้เช่นกัน

นำทุกสิ่งทูลต่อพระเจ้า

เมื่ออาสาฟ ผู้เขียนสดุดีบทที่ 73 รู้สึกท้อแท้กับความไม่ยุติธรรมในชีวิต เขาขุดลึกเข้าไปในความรู้สึกของตนเอง และเปิดใจกับพระเจ้าทุกอย่างว่าเขาไม่พอใจอะไรบ้าง “ข้าพระองค์อิจฉาคนเย่อหยิ่ง เมื่อเห็นความเจริญรุ่งเรืองของคนอธรรม” (สดุดี 73:3) ก่อนที่จะบ่นว่าเกี่ยวกับคนรวยและคนชั่วที่จำเริญขึ้น ขณะที่คนจนและผู้บริสุทธิ์ต้องทนต่อความยากลำบาก

การขุดลึกลงไปในความไม่พอใจของตัวเราเอง จะช่วยให้เราวิเคราะห์ถึงต้นเหตุที่แท้จริง และหาทางแก้ไขได้อย่างมีสติปัญญา

เราอาจนำความรู้สึกเหล่านั้นมาทูลพระเจ้า อธิษฐานขอสติปัญญาจากพระองค์ เพื่อให้เราตอบสนองต่อสถานการณ์ในแบบที่ถวายเกียรติพระองค์

ในกรณีของอาสาฟ การใคร่ครวญของเขาในที่สุดก็นำเขาไปสู่ความจริงที่ว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่นำความยุติธรรมมาในเวลาของพระองค์ และจะทรงช่วยเขาผ่านสถานการณ์ต่างๆ ไปได้ “ข้าพเจ้ามีผู้ใดในสวรรค์นอกจากพระองค์? และบนแผ่นดินโลก ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาใครนอกจากพระองค์” (สดุดี 73:25–26)

เราต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า และสติปัญญาจากเบื้องบนหรือไม่? ในการเผชิญกับปัญหาต่างๆ ในที่ทำงาน หรือกับเพื่อนร่วมงาน หรือจริงๆ แล้วเราอาจต้องแก้ที่ความคาดหวังของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังในตัวเอง ความคาดหวังเกี่ยวกับความสุขจากงาน หรือแม้แต่ความสับสนในช่วงชีวิตวัยหนุ่มสาว? บางทีเราอาจต้องการ “การเปลี่ยนมุมมอง” ที่มีเพียงพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่สามารถทำได้

ถ้าเรายังคงแสวงหาพระเจ้าในความทุกข์ และวางน้ำพระทัยของพระองค์ไว้เหนือความต้องการของเราเอง ฉันเชื่อว่าพระองค์จะทรงตอบแทนความเชื่อของเรา แม้บางคำตอบหรือเส้นทางจะไม่ง่าย แต่เรารู้ว่า พระบิดาผู้เปี่ยมด้วยความรักย่อมมีสิ่งดีที่สุดสำหรับเราเสมอ

สุภาษิต 16:9 เตือนใจเราไว้ว่า: “ใจของมนุษย์วางแผนทางของเขา แต่พระเจ้าทรงกำหนดย่างเท้าของเขา”

พระคำข้อนี้เตือนเราว่า พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเป็นผู้ตัดสินขั้นสุดท้ายว่าอะไรจะเกิดขึ้น  มนุษย์อาจวางแผนเส้นทางของตนได้ แต่พระเจ้าผู้ทรงอำนาจสูงสุดทรงเป็นผู้กำหนดสิ่งที่จะเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ปลอบใจเราก็คือ ขณะที่เราวางแผนเส้นทางชีวิต  (ด้วยสติปัญญาและความระมัดระวังที่มาจากพระเจ้า) เราสามารถวางใจได้ว่า พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรักจะทรงดูแลให้ทุกย่างก้าวของเรามั่นคง และนำเราให้เดินในทางของพระองค์

 

YOU MAY ALSO LIKE

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน

WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ  สะสางงานต่างๆ  ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...

เสียงที่ดังพอ

เสียงที่ดังพอ

WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...

Share This