
WRITER: ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: Gift Natthanan
EDITOR: พรสวรรค์ บรรเลงรมย์
Artwork by : YMI x Mustard Seed
่ คุณเคยรู้สึกไหมว่าพระเจ้ากำลังเรียกให้คุณก้าวออกไปทำสิ่งใหม่ๆ อย่างเช่นงานใหม่ ความสัมพันธ์ใหม่ การรับใช้ในสิ่งใหม่ หรือไปในที่ใหม่ๆ แต่ความคิดเหล่านั้นกลับทำให้คุณยังติดอยู่กับที่เดิมและไม่ไปไหน? หรือบางทีคุณอาจรู้สึกว่ากำลังถูกเร้าใจให้แบ่งปันข่าวประเสริฐกับเพื่อนสักคนหรือญาติของคุณเอง หรือให้กลับคืนดีกับใครบางคนในครอบครัว แต่เมื่อนึกถึงปัญหาที่อาจตามมาก็ทำให้คุณต้องหยุดชะงักความคิดหรือการถูกเร้าใจเหล่านั้นไป
คนเราส่วนใหญ่ชอบที่จะอยู่ใน “พื้นที่ปลอดภัย” ซึ่งเป็นที่แรกที่เรามักจะเข้าไปเพื่อคลายความเครียดและความกังวลลง มันเป็นที่ที่คุ้นเคยและปลอดภัย แต่ถ้าเราอยู่ที่นั่นนานเกินไปอาจกลายมาเป็นความเกียจคร้าน ความพึงพอใจและไม่อยากที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง และสิ่งสำคัญที่สุดมันอาจทำให้เราวิ่งเข้าหาความปลอดภัยผิดที่และนำเราออกจากการที่จะเติบโตขึ้นในการไว้วางใจและการเชื่อฟังพระเจ้า
การออกจากพื้นที่ปลอดภัยไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ต้องกล้าเสี่ยง หรือการทำสิ่งที่แตกต่างเพียงเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลงนั้น มันคือการก้าวออกไปไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ เพื่อเราจะได้เติบโตขึ้นในความสัมพันธ์กับพระเจ้าและทำให้พระเจ้าใหญ่ขึ้นในชีวิตของเรา
คุณพร้อมที่จะออกจากพื้นที่ปลอดภัยแล้วหรือยัง? นี่เป็นขั้นตอนที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นได้

1. ให้แน่ชัดว่าอะไรคือสิ่งที่ฉุดรั้งคุณอยู่
สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่สะดวกสบายของความไม่แน่นอนใช่หรือเปล่า? หรือกลัวที่จะล้มเหลว? หรืออาจเป็นความเกียจคร้าน?
การใช้เวลาคิดไตร่ตรองนานเกิน ว่าทำไมเราถึงสับสนนักหรือคิดซ้ำไปซ้ำมาในการพยายามลองทำสิ่งใหม่ๆ นั่นเป็นสิ่งที่สามารถเปิดเผยให้เห็นถึงความไม่มั่นคงปลอดภัยหลายสิ่งในชีวิตของเรา
บางทีความกลัวก็อาจถูกต้องตามหลักเหตุผลของตัวมันเองได้ว่า เมื่อใดที่ก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัยของเราแล้ว อาจทำให้เราสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างได้ ลองนึกถึงพระราชินีเอสเธอร์และความเสี่ยงที่เธอต้องเผชิญ (เธออาจเสียชีวิตได้!) โดยการขอเข้าเฝ้ากษัตริย์และร้องทูลขอต่อพระองค์เพื่อชีวิตของชนชาติของเธอเอง (เอสเธอร์ 4:7-17) แต่เธอเลือกที่จะฝากชีวิตของเธอไว้กับพระเจ้าและขอเข้าเฝ้ากษัตริย์ด้วยความเชื่อ และพระเจ้าได้ทรงยกย่องในการเชื่อฟังของเธอด้วยการช่วยชีวิตพวกเขาไว้
หลายครั้งสิ่งที่ฉุดรั้งเราไว้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบที่ร้ายแรงเช่นนั้น จำเรื่องราวของโมเสสในความกลัวของเขาที่จะต้องพูดต่อหน้าสาธารณชนได้หรือไม่ (อพยพ 4:10-17) พระเจ้าไม่เพียงแค่สัญญาว่าจะอยู่ด้วยกับเขา (อพยพ 4:12) แต่ให้ความมั่นใจแก่โมเสสว่าอาโรนพี่ชายของเขาจะเป็นผู้พูดแทนเขา มันไม่ง่ายกว่าหรือที่พระเจ้าจะเลือกอาโรนตั้งแต่แรก แน่นอนทีเดียวว่าพระเจ้ายืนกรานที่จะช่วยให้โมเสสก้าวข้ามความไม่มั่นใจของเขาแทนที่จะเลือกในสิ่งที่ง่ายกว่าหรือเลือกในสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผล
มอบความรู้สึกไม่มั่นคงไม่ปลอดภัยให้กับพระเจ้า และเฝ้าดูการจัดเตรียมในสิ่งที่จำเป็นและกำลังจากพระองค์ถึงสิ่งที่พระเจ้าได้มอบหมายให้เราทำ

2. นึกถึงช่วงเวลาที่พระเจ้าช่วยคุณให้ผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบาก
จำครั้งล่าสุดที่คุณเคยร้องทูลต่อพระเจ้าในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากได้หรือไม่และพระองค์นั้นเห็นว่าคุณผ่านมันมาได้อย่างไร? บางทีอาจเป็นสถานการณ์ที่ยากที่คุณต้องเข้าไปคุยกับหัวหน้าของคุณ กับเพื่อนของคุณ หรือแม้แต่ครอบครัวของคุณ (และบางครั้งก็อาจเป็นศัตรู) สภาพแวดล้อมในประเทศใหม่ โรงเรียนใหม่ หรือที่ทำงานใหม่ที่คุณยังไม่รู้จักกับใครเลย
อย่าให้เราเป็นเหมือนอย่างอิสราเอลที่หลงลืมความอัศจรรย์ และปาฏิหาริย์ที่พระเจ้าได้ทรงนำพวกเขาออกจากอียิปต์ (สดุดี 78:11-12) ใช้เวลาคิดถึงความดีงามของพระเจ้า และเตือนตัวเองว่าพระเจ้าจะช่วยคุณผ่านความท้าทายครั้งนี้เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงทำในครั้งก่อน
สิ่งนี้ก็อาจช่วยได้ เขียนถึงช่วงเวลาเหล่านั้นลงในสมุดบันทึกแต่ละวัน หรือบันทึกไว้ในโทรศัพท์ของคุณเพื่อที่คุณสามารถมองย้อนกลับไปและนำเอามาเป็นกำลังและความกล้าหาญจากความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่พระองค์ได้ทรงทำในชีวิตของคุณ
จดจำในความสัตย์ซื่อ และการช่วยกู้ของพระเจ้าในเวลาที่ยากลำบาก ที่ทำให้เรามั่นใจว่าพระองค์จะอยู่กับเราในทุกย่างก้าวไปตลอดเส้นทาง

3. มองที่พระเจ้าและภาพที่ใหญ่ขึ้น
บางครั้งคุณอาจจะรู้สึกว่าคุณไม่ดีพอในสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกให้คุณทำ หรือรู้สึกว่างานหรือสิ่งที่ได้รับมอบหมายนั้นใหญ่เกินไปสำหรับคุณ จำเรื่องราวของโยชูวาและคาเลบได้หรือไม่? ผู้สอดแนมเพียงแค่ 2 คนจาก 12 คน ที่แสดงออกถึงความเชื่ออย่างมั่นใจว่าพระเจ้าจะทรงประทานแผ่นดินคานาอันให้กับพวกเขา ทั้งๆ ที่พวกเขาเห็นคนรูปร่างใหญ่โตที่เป็นคนเนฟิลในเมืองนั้น (กันดารวิถี 13:25-14:9)
เรื่องราวก่อนหน้านั้น เราเห็นว่าอับราฮัมได้ตอบสนองในการทรงเรียกของพระเจ้าที่ให้เขาและครอบครัวของเขาย้ายถิ่นฐานออกไปตอนอายุ 75 ปี และออกจากความสะดวกสบายในบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อไปยังดินแดนของคนต่างชาติ (ปฐมกาล 12:1-6)
ฉะนั้นแล้วเราก็อยากที่จะเป็นเหมือนกับอับราฮัม โยชูวา และคาเลบหรือไม่? ที่ออกไปด้วยความเชื่อเพราะเราไว้วางใจในพระสัญญาของพระเจ้าในขณะที่เรากำลังทำการงานของพระองค์นั้น ว่าพระองค์จะทรงอยู่ด้วยกับเราเสมอไป “จนกว่าจะสิ้นยุค” (มัทธิว 28:19-20) และในพระองค์ “เราจะได้พักสงบในจิตวิญญาณ (ของเรา)” (มัทธิว 11:28-29)
ให้เรามองไปข้างหน้าเหนือสถานการณ์ต่างๆของเราในเวลานี้และยึดมั่นในพระสัญญาที่ยิ่งใหญ่กว่าของพระเจ้า ที่ทำให้เรามีความกล้าที่จะก้าวออกไปเผชิญในสิ่งที่เรายังไม่อาจรู้ได้

4. ยอมรับความจริงที่ว่าคุณจะกลัว… และคุณจะล้มเหลว
การทำสิ่งใหม่ๆ นั้นเป็นเรื่องที่น่ากลัว และเราอาจจะผิดพลาดได้แต่ก็ไม่เป็นไร
เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความผิดหวังและความล้มเหลวในชีวิตของเราได้ทั้งหมด สิ่งที่เราสามารถทำได้คือเรียนรู้จากประสบการณ์และความผิดพลาดต่างๆ ที่ผ่านมา และที่จะไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นมาหยุดยั้งเราให้ไปข้างหน้า หรือที่จะลองพยายามใหม่อีกครั้ง สิ่งสำคัญที่สุดคือเราสามารถสบายใจได้ว่าในฐานะที่เราเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแล้วนั้น พระองค์จะทรงนำทุกย่างก้าว แม้เมื่อเราสะดุด พระองค์ก็ให้เรามั่นใจได้ว่าเราจะไม่ล้มลง (สดุดี 37:23-24)
โมเสสเป็นตัวอย่างที่ดี ถึงแม้ว่าเขาเป็นบุคคลที่ถูกเลือกโดยพระเจ้าให้นำอิสราเอลออกจากอียิปต์ แต่เขาก็ยังคงทำหลายสิ่งที่ผิดพลาดด้วยความสะเพร่าอย่างเห็นได้ชัดตลอดการเดินทาง เขาโยนแผ่นศิลาชุดแรกตกแตกด้วยความโกรธเรื่องความบาปของชาวอิสราเอล และเขาได้ตีหินในขณะที่พระเจ้าบอกเขาอย่างชัดเจนว่าให้เขาพูดกับหินนั้น และเขาต้องจ่ายราคาความผิดพลาดในภายหลังคือการไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าแผ่นดินคานาอันซึ่งเป็นแผ่นดินแห่งพันธสัญญา
ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ได้ ถูกตัดออกจากดินแดนแห่งพันธสัญญานิรันดร์ และยังคงเป็นที่กล่าวถึงในฐานะผู้เผยพระวจนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ผู้ซึ่งที่พระเจ้าทรงสำแดงหมายสำคัญและอัศจรรย์ต่างๆของพระองค์ผ่านเขาด้วย (เฉลยธรรมบัญญัติ 34:10-12)
เรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดพลาด เป็นสิ่งที่ช่วยให้ออกจากการที่จะต้องทำทุกสิ่งให้ “ถูกต้อง” ตั้งแต่ครั้งแรก และสอนให้เราพึ่งพาในพระคริสต์

5. เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ- ทำบางสิ่งที่นำคุณให้ไปสู่เป้าหมายในที่สุด
เวลานี้เราได้มอบความรู้สึกที่ไม่มั่นคงของเราไว้กับพระเจ้าแล้ว ทบทวนถึงสิ่งที่พระองค์เคยช่วยเหลือเราในอดีต คิดถึงพระสัญญาของพระองค์ และยอมรับว่าความผิดพลาดนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ถึงเวลาที่จะต้องไปกันต่อแล้ว
แต่เมื่อไหร่กันล่ะถึงจะเป็น “เวลาที่เหมาะสม” ที่จะลงมือทำ? เมื่อดูจากคำสอนในหนังสือ (ปัญญาจารย์ 11:1-10) เราอาจจบลงด้วยการไม่ได้ทำอะไรเลยหากเรามัวแต่รอ “จังหวะเวลาที่ดีที่สุด” แต่กลับกันเราควรจะใช้สิ่งที่เรามีทำในสิ่งที่เราทำได้ และฝากให้พระเจ้าดูแลผลลัพธ์นั้นในเวลาของพระองค์ (ข้อ 5-6)
นี่คือขั้นตอนง่ายๆ ที่เราสามารถเริ่มก้าวทีละเล็กทีละน้อยในการออกจากพื้นที่ปลอดภัยหลายๆ ด้านที่อยู่ในชีวิตของเรา:

ชีวิตส่วนตัว : เปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวันบางอย่างที่จะช่วยให้เราเติบโตขึ้นในความสัมพันธ์กับพระเจ้า
- ตื่นเช้าขึ้นอีกนิด สัก 30 นาที เพื่อลุกขึ้นมาอธิษฐานหรืออ่านพระคัมภีร์วันละ 1 บท
- มีสัปดาห์ละหนึ่งวันที่ไม่ดู Netflix / YouTube / ไม่เล่น Social media และอ่านหนังสือคริสเตียนดีๆ สักเล่มแทน
ครอบครัว : ทำสิ่งที่ดีๆ เพื่อรับใช้คนในครอบครัวให้บ่อยมากยิ่งขึ้น
- จัดเวลาเพื่อช่วยงานบ้าน
- จัดเวลาสัปดาห์ละหนึ่งถึงสองวันที่จะรับประทานอาหารร่วมกันในครอบครัว
เพื่อน : ฝึกฝนที่จะเห็นความต้องการของเพื่อนๆ ของเราและช่วยเหลือพวกเขา
- ส่งข้อความหาเพื่อนหนึ่งคนอย่างเจาะจงทุกวัน ถามไถ่ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง
- ช่วยทำธุระให้กับเพื่อนในสิ่งที่พวกเขาต้องการ (พ่อแม่ที่เป็นวัยรุ่น, ให้การดูแลพ่อแม่ที่สูงอายุ, เพื่อนที่กำลังป่วยอยู่)
คริสตจักร : คิดหาวิธีและมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างพระกายให้เข้มแข็ง
- เลือกพันธกิจที่จะรับใช้และเปิดรับในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
- ใช้เวลาในการดูแลรับรองและหนุนน้ำใจผู้รับใช้และอธิษฐานเผื่อพวกเขา
การทำงาน : มองหาโอกาสที่จะเป็นตัวแทนของพระเยซูคริสต์ให้กับเพื่อนร่วมงาน
- ฉวยโอกาสที่จะแสดงความห่วงใย: เลี้ยงอาหาร, ตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูด, ชวนเขาไปร่วมงานต่างๆ , อธิษฐานเผื่อเขาในช่วงเวลาที่ยากลำบาก, แบ่งปันประสบการณ์ความเชื่อของคุณ
อย่ารอให้ถึง “เวลาที่พร้อมที่สุด” แต่ให้ใช้ทุกโอกาสหว่านลงด้วยความสัตย์ซื่อแล้วฝากผลลัพธ์นั้นไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า

ด้วยความเป็นมนุษย์ เป็นเรื่องปกติที่เราจะรู้สึกกลัวและกังวลในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย แต่มันก็ไม่สายเกินที่เราจะ “ก้าวออกไป” และให้พระเจ้าสำแดงให้เราเห็นว่าความยิ่งใหญ่ของพระองค์นั้นมากยิ่งกว่าความเข้าใจที่เราจะหยั่งรู้ได้มากเพียงใด
ในท้ายที่สุดแล้ว ความสะดวกสบายของเราอยู่ในการรับรู้ว่าพระเจ้าที่เรารับใช้อยู่นั้นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้และปลอดภัยมากยิ่งกว่าในพื้นที่ที่สะดวกสบายไม่ว่าจะเป็นที่ไหนๆ ของเรา
YOU MAY ALSO LIKE
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน
WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ สะสางงานต่างๆ ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...
ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?
WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...
เสียงที่ดังพอ
WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...