WRITER: ขนมปังไม่ใส่เชื้อ
EDITOR: Mustard Seed Team
ฉันเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบอธิษฐาน เพราะรู้สึกว่าการอธิษฐานทำให้ฉันเสียเวลาในการทำบางอย่างไป จนกระทั่งฉันเห็นว่าชีวิตของฉันไม่ติดสนิทกับพระองค์ เมื่อฉันขาดการอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ
ฉันมานั่งที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ซึ่งมีผู้คนมากมายแวะเวียนมานั่งอ่านหนังสือ ทำงาน คุยกัน หรือแม้แต่นัดประชุม ภาพที่ฉันเห็นคือ ร้านแห่งนี้เต็มไปด้วยคริสเตียนจากโบสถ์ที่ฉันอยู่ ฉันไม่แน่ใจว่าทำไมพวกเขาถึงชอบร้านนี้กันเป็นพิเศษ รวมถึงตัวฉันเองที่มักจะมานั่งอ่านพระคัมภีร์และทำงาน
จนกระทั่งคืนหนึ่ง พี่ที่ฉันรู้จักพูดว่า
“เมื่อก่อนตอนที่โบสถ์ของเราสร้างขึ้นมาใหม่ๆ กลุ่มคริสเตียนผู้ก่อตั้งได้มาที่ร้านกาแฟนี้บ่อยๆ แล้วพวกเขาได้อธิษฐานว่า ขอให้สักวัน ร้านนี้เต็มไปด้วยกลุ่มคนที่เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า”
เมื่อฉันได้ยินแล้วรู้สึกว่าสุดยอดไปเลย เพราะผ่านมากว่าสิบปีที่ร้านแห่งนี้มีคริสเตียนเพิ่มขึ้นมากมาย ตามคำอธิษฐานของพี่ๆ เหล่านั้น ซึ่งตอนนี้ได้ออกไปขยายอาณาจักรของพระเจ้าในที่แห่งใหม่แล้ว
และนี่เป็นความมั่นใจที่เรามีต่อพระองค์ คือถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟัง (1 ยอห์น 5:14)
ฉันพบว่าน้อยนักที่ฉันจะอธิษฐานเผื่อคนอื่นรวมถึงตัวฉันเองด้วย เพราะฉันคิดว่าการอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอไม่ได้จำเป็นนัก ฉันแค่อธิษฐานในตอนที่ฉันมีเรื่องยากเท่านั้น แต่นั่นไม่น่าจะเป็นความคิดที่ถูกต้อง เพราะเมื่อฉันขาดการอธิษฐาน ฉันเหมือนคนที่ไม่มีพระเจ้า ฉันใช้ชีวิตในแบบของฉัน เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของชีวิต พึ่งพากำลังของตัวเอง จนฉันรู้สึกเหนื่อยใจและไม่มีสันติสุข เห็นได้ชัดว่า “ฉันทำอะไรไม่ได้เลยถ้าไม่มีพระเจ้า” (ยอห์น 15:4-5)
ฉันได้กลับมานั่งคิดทบทวนว่า
“พลังของการอธิษฐานนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด” แต่ฉันกลับไม่ใส่ใจและคิดว่าเป็นการเสียเวลา
พระเจ้าทรงบอกชัดเจนว่า ‘จงทูลเรา และเราจะตอบเจ้า และจะบอกสิ่งยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเจ้าไม่รู้นั้นแก่เจ้า’ (เยเรมีย์ 33:3) คำว่า “จงทูลเรา” เป็นเหมือนเงื่อนไขที่พระเจ้าให้แก่คนที่ต้องการจะรู้สิ่งยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงเข้าใจว่าทำไมฉันจึงควรอธิษฐานและอย่างสม่ำเสมอด้วย
ฉันจึงกลับมาตั้งใจกับการอธิษฐานใหม่ เริ่มต้นจากการตื่นขึ้นมาอธิษฐานในทุกเช้า เช่นเดียวกับที่พระเยซูทรงทำ (มาระโก 1:35) และฉันอธิษฐานก่อนนอนเสมอ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ฉันก็จะอธิษฐานขอการทรงนำจากพระเจ้า เมื่อได้อธิษฐานแล้ว ฉันรู้สึกว่าใจของฉันนั้นสงบและวางใจในความยิ่งใหญ่ของพระองค์
ฉันได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของการอธิษฐานอย่างมาก เพราะฉันได้คุยกับพระเจ้าโดยตรงซึ่งช่วยให้ความสัมพันธ์ของฉันกับพระเจ้าดีขึ้น ทำให้ฉันได้พึ่งพาพระองค์อย่างสุดกำลัง และฉันตระหนักว่าการอธิษฐานคือการถ่อมใจและปรับความคิดให้ตรงกับพระองค์ ซึ่งฉันก็สามารถอธิษฐานกับพระองค์ที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ นั่นทำให้ฉันไม่เห็นว่าการอธิษฐานไม่สำคัญอีกต่อไป
แม้ฉันไม่สามารถรู้ได้เลยว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่ฉันสามารถทำได้ นั่นคือการวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า (สดุดี 31:14) และอธิษฐานกับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงครอบครอง และทรงตอบคำอธิษฐาน เสริมกำลัง ให้สติปัญญากับฉัน เพื่อที่ฉันจะรู้ว่าจะดำเนินชีวิตและตอบสนองต่อผู้คนอย่างไรและให้เป็นไปตามวิถีทางของพระองค์ ฉันจึงเห็นถึง “พลังแห่งการอธิษฐาน” ที่พระเจ้าได้ช่วยเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจของฉันและเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ผ่านการอธิษฐาน
สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น เพื่อว่าพระบิดาจะทรงได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ทางพระบุตร สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น (ยอห์น 14:13-14)
การอธิษฐานช่วยฉันติดสนิทกับพระองค์ ให้หันกลับมามองที่พระองค์ และแน่นอนว่าพระเจ้าทรงมีเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้พระประสงค์ของพระองค์ที่มีต่อฉันเป็นไปตามที่พระองค์ทรงจัดเตรียม เพราะฉะนั้นฉันจึงต้องการที่จะอธิษฐานมากขึ้น เพื่อให้พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงจิตใจ มากกว่านั้น ฉันยังมีใจที่จะอธิษฐานเผื่อคนอื่นมากขึ้นและวางใจพระองค์ในทุกสถานการณ์ที่เข้ามา ฉันเชื่อว่าการอธิษฐานคือพลังที่จะเปลี่ยนแปลงฉัน คนรอบข้าง และไปถึงโลกใบนี้
YOU MAY ALSO LIKE
3 สัญญาณที่บอกว่าคุณหมดไฟในการรับใช้
WRITER: ซาราห์ โซ๊ะ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI TRANSLATOR: นารดา ไทรงาม EDITOR: สวิตตา เจริญศรีศิลป์ 29 กันยายน 2010 เป็นวันที่ฉันตระหนักว่าตัวเองหมดไฟ ในฐานะคริสเตียนวัยรุ่น เป็นนักศึกษาปริญญาตรี ฉันคิดว่าตัวเองจะมีภูมิคุ้มกันจากการหมดไฟ ที่ผ่านมาฉันไม่ได้ทำทุกอย่าง...
ทำไมการรอคอยพระเจ้าถึงเป็นเรื่องยาก
WRITER: ลินห์ วิงน์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI TRANSLATOR: นุชจรี ปันคำ EDITOR: ธัญธร จันทสุทธิบวร “ฉันต้องรอนานแค่ไหน?” ฉันถามคำถามนี้กับตัวเองทุกวัน เมื่อไม่นานนี้ฉันจำเป็นต้องหยุดการทำงานที่อเมริกา เนื่องจากความล่าช้าของเอกสารตรวจคนเข้าเมือง...
หันหลังให้กับการเป็นไบเซ็กชวล
WRITER: เอช วาย ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI TRANSLATOR: ณัฐนันท์ จันทรศิริ EDITOR: Mustard Seed Team ครั้งแรกที่ฉันรู้สึกชอบใครบางคนตอนนั้นฉันอายุแค่ 14 ปี ฉันจำได้ว่าเธออายุมากกว่าฉันไม่กี่ปี เธอไม่ได้น่ารักเป็นพิเศษแต่เธอผิวแทน และมีลักยิ้มที่น่ารักมากเวลาที่เธอยิ้ม...


