fbpx
WRITER: แมคคินซี่ คิง ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: Natty Grace
EDITOR: Mustard Seed Team

การเติบโตในครอบครัวคริสเตียนนั้น เรื่องของสุขภาพจิตเป็นเรื่องที่ไม่เคยถูกพูดถึงเลยแม้แต่น้อย ถ้าร่างกายของเราเจ็บป่วยแน่นอนว่าเราจะไปหาหมอ แต่เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพจิตต่างๆ ทำไมเราถึงต้องการที่จะพบกับนักจิตวิทยาทั้งๆ ที่พระเจ้าอยู่กับเรา?

นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตที่พบทั่วๆ ไปในตลอดหลายปีจากคำเทศนาและการพูดคุยกับคริสเตียน ซึ่งดูเหมือนจะตอกย้ำความคิดที่ว่าสิ่งที่เราต้องการเพื่อทำให้มีสุขภาพจิตที่ดีก็คือ การอธิษฐานให้มากขึ้น ท่องจำพระคำให้เยอะขึ้นเพื่อต่อสู้กับความสงสัยและความเศร้า อ่านเกี่ยวกับเรื่องตัวตนของเราในพระคริสต์ และปลูกฝังทัศนคติเกี่ยวกับการขอบพระคุณ

ดังนั้นกลไกการเผชิญปัญหาที่ฉันได้รับเข้ามาในตลอดหลายปีคือ การที่จะละเลยอารมณ์ของฉัน (ฉันไม่แนะนำให้ทำสิ่งนี้) เมื่อใดก็ตามที่เกิดความสงสัยหรือความเศร้าคลืบคลานเข้ามาในความคิดของฉัน ฉันมักจะโยนมันเก็บเข้าไปในแฟ้มสุขภาพจิตในหัวของฉัน และทำสัญลักษณ์ว่า “สิ่งที่ต้องมองข้าม”

น่าเสียดายที่วิธีการเหล่านั้น (อธิษฐานมากขึ้น ใคร่ครวญพระคำ และละเลยอารมณ์ของฉัน) มันไม่ได้ผลกับฉัน และในวันนึงฉันพบว่าฉันได้อาเจียนเอาสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในท้องของฉันลงไปในอ่างที่ห้องครัวเมื่อฉันกำลังคิดวนไปมาเกี่ยวกับความคิดที่เป็นพิษ (มันได้ไปกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะที่มากเกินไป) ฉันจึงตระหนักว่าฉันต้องการความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ ความคิดเป็นพิษเหล่านี้กำลังทำลายทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกายของฉัน

สุขภาพจิตได้ถูกนิยามโดยองค์กรอนามัยโลก (WHO) ว่า “สภาวะของความเป็นอยู่ที่ดีที่ทุกคนตระหนักถึงศักยภาพของตนเองในการรับมือกับความเครียดทั่วไปของชีวิต สามารถทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือมีผลสัมฤทธิ์และสามารถมีส่วนร่วมในสังคมที่อยู่”

แสวงหาความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติสำหรับฉัน ท้ายที่สุด การขอความช่วยเหลือนั้นดูเหมือนกับว่าฉันยอมรับความพ่ายแพ้ในการเดินตามชีวิตคริสเตียน ในมุมมองแคบๆ ของฉันนั้นพวกนักจิตวิทยา ผู้ให้คำปรึกษา และนักบำบัดนั้นเหมาะสำหรับโรงพยาบาลจิตเวชที่รักษาคนบ้าเท่านั้น เช่นเดียวกับตัวละครจาก Batman’s Arkham Asylum แต่ละคนเต็มไปด้วยความคิดที่หลงตัวเองจนถึงขั้นหลงผิด ในมุมมองของฉัน คนพวกนี้ไม่ใช่คนที่พวกเราต้องพบเจอในชีวิตประจำวันของคุณ คุณมีงานประจำ มีกิจกรรมด้านกีฬา และมีชีวิตทางสังคมที่ดี 

ในขณะนั้นฉันพบกับนักจิตวิทยาเพื่อปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องการเห็นคุณค่าในตัวเองต่ำ (low self-esteem) และเรียนรู้เกี่ยวกับทักษะการจัดการกับอารมณ์ที่ดีขึ้น แต่เมื่อโควิด-19 ได้ทำลายแผนการต่างๆ และความหวังสำหรับความสัมพันธ์ก็พังทลายลง การพบปะกับนักจิตวิทยาของฉันประจำทุกเดือนนั้นได้พิสูจน์ว่าเป็นสิ่งที่ช่วยให้ฉันเห็นผ่านช่วงเวลาที่มืดมนและอุโมงค์แห่งความเศร้าไปได้

ดังนั้น การรวบรวมความกล้าในการไปพบหมอครั้งแรกเพื่อให้ส่งต่อเคสและหลังจากนั้นการเข้าพบนักจิตวิทยาต้องใช้ความพยายามอย่างแรงกล้า และเมื่อถึงวันที่นัดหมายของฉัน ฉันชำเลืองมองไปรอบๆ ห้องรับรอง  มองหาผู้ป่วยใส่เสื้อผ้าคนไข้ป่วยทางจิตที่คลุ้มคลั่งที่จะเดินเข้ามา แต่สิ่งที่ฉันเห็นกลับเป็นคนปกติทั้งผู้ปกครองและลูกวัยรุ่น คนทำงาน และนักเรียน

ในขณะที่ฉันต่อสู้เล็กน้อยเพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ ฉันดีใจที่ฉันได้ทำมันและฉันได้เรียนรู้สิ่งสำคัญบางอย่างตลอดเส้นทางที่นำไปสู่การเข้าใจสุขภาพจิตของตัวเองมากขึ้น

 

1. มันโอเคที่จะรู้สึกไม่โอเค

ฉันอยากให้ชีวิตมีแต่เหตุการณ์ที่มีความสุข 

ฉันเรียนรู้ที่จะยอมรับว่า ในบางครั้งชีวิตก็ไม่ได้โอเคเสมอไป บางครั้งฉันรู้สึกเศร้า และฉันต้องการใครสักคนที่จะพูดคุยด้วย

ฉันได้เรียนรู้ว่าในช่วงเวลาแห่งความเศร้า มันจะมีบางวันที่เราพบว่าตัวเองนั่งอยู่บนเตียง น้ำตาไหลอาบสองแก้ม สงสัยว่าสิ่งเหล่านี้จะมีวันจบสิ้นไหม และนี่มันเป็นสิ่งที่โอเคมากๆ เลยนะ

มากไปกว่านั้น การมีประสบการณ์เต็มรูปแบบของอารมณ์ของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการเติบโตของเรา ถ้าฉันไม่รู้ว่าความโศกเศร้าหรือความเศร้ารู้สึกอย่างไร ฉันจะสามารถคุยกับเพื่อนข้างๆ ฉันที่กำลังประสบปัญหาที่ฉันกำลังเจออยู่ในอนาคตได้อย่างไร? (2 โครินธ์ 1:3-4) ถ้าฉันไม่รู้ว่าอารมณ์เหล่านี้รู้สึกอย่างไร ฉันจะสามารถมีประสบการณ์เต็มรูปแบบในความรักและการปลอบประโลมใจของพระเจ้าได้อย่างไร? (มันง่ายที่จะรู้สึกได้รับการอวยพรจากพระเจ้าเมื่อชีวิตเจอแต่สิ่งดีๆ)

ชีวิตไม่ได้สวยงามเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป แต่มันก็โอเคนะ

2. มันโอเคที่จะขอความช่วยเหลือ 

ฉันมักลังเลและไม่แน่ใจเกี่ยวกับการขอความช่วยเหลือ ฉันคิดว่าการขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญนั้นส่วนใหญ่สำหรับคนบ้าเท่านั้น ฉันกลัวมากว่าคนอื่นจะรู้ว่าฉันขอความช่วยเหลือ ฉันกลัวว่าอนาคตการทำงานของฉันนั้นจะถูกตราหน้าว่าเป็นพวก “ไม่ปกติ”

แต่ฉันดีใจที่ฉันทำมัน และผ่านกระบวนการนี้ฉันเรียนรู้ว่ามันไม่มีสิ่งใดผิดเลยในการแสวงหาความช่วยเหลือ (ในความเป็นจริง มันเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมเสียด้วยซ้ำ) สำหรับฉันมันเป็นความโล่งใจมากที่สามารถจะแสดงตัวตนของฉันโดยไม่ถูกตัดสิน และได้รับการวางแผนการฟื้นฟูสำหรับฉัน (ดีกว่าที่จะพึ่งพาบางสิ่งที่อาจจะได้ผลกับน้องสาวของแฟนของพี่ชายของใครบางคน)

และแน่นอนมันมีมากกว่าวิธีการเดียวที่จะสามารถแก้ปัญหาได้ มันอาจจะผ่านทางเพื่อนที่เราไว้ใจ พี่เลี้ยง หรือใครบางคนที่เคยผ่านประสบการณ์คล้ายๆ กัน หรือสายด่วนสุขภาพจิตในท้องถิ่น

การเข้ารับการบำบัดได้สำแดงให้ฉันเห็นว่าชีวิตนั้นไม่สามารถผ่านไปได้ด้วยตัวคนเดียว และนั่นมันสำคัญมากๆ ที่จะมีใครสักคนที่เราสามารถพูดคุยเมื่อสิ่งๆ ต่างๆ รอบตัวมันยากลำบาก

พวกเราได้เห็นสิ่งนี้สะท้อนอยู่ในพระคัมภีร์ เมื่อผู้สอนได้กล่าวถึงว่า สองคนดีกว่าคนเดียวเพราะว่าถ้าพวกเขาล้มลง คนหนึ่งจะได้พยุงเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น (ปัญญาจารย์ 4:9-10) สำหรับฉัน พระคัมภีร์ข้อนี้มาในรูปแบบของผู้ให้คำปรึกษา และไหล่ของเพื่อนสนิทไม่กี่คนที่เราสามารถร้องไห้ได้ และพี่สาวผู้เป็นที่รักที่ฉันสามารถพึ่งพาได้

3. มันโอเคที่จะรับรู้อารมณ์ของตัวเอง

ฉันไม่ชอบการร้องไห้ จังหวะที่น้ำตาเอ่อล้นดวงตาและไหลลงอาบแก้มนั้นทำให้ฉันรู้สึกอึดอัด ถ้าฉันไม่ชอบการร้องไห้ ฉันจึงไม่ชอบตัวเองตอนร้องไห้ด้วยเหมือนกัน (น้ำตาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิต) หลายๆ ครั้งฉันรู้สึกว่าคนที่ทำร้ายฉันชนะฉันแล้ว จากคอมเมนต์ที่ได้อ่านบ่อยๆว่าผู้หญิงนั้นอารมณ์อ่อนไหวกว่าผู้ชาย และมันส่งผลกระทบต่ออาชีพการงานนั้นอย่างช่วยอะไรไม่ได้  ดังนั้นฉันอดทนที่จะไม่ร้องไห้ เลือกที่จะเกร็งหน้าและเม้มริมฝีปากบนไว้ (แม้ว่าหน้าและปากของฉันจะสั่นไปหมด)

และผ่านทางผู้ให้คำปรึกษาจึงทำให้ฉันได้เข้าใจความจริงว่าน้ำตา (และความเศร้า) นั้นเป็นเรื่องธรรมชาติและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ความรู้สึกเหล่านี้ที่ฉันได้เรียนรู้เป็นสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์ และนี่เป็นปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติต่อช่วงอารมณ์ที่เรารู้สึก ถ้าเราสามารถหัวเราะเมื่อมีเรื่องตลกๆ เกิดขึ้น ทำไมเราถึงไม่สามารถร้องไห้เมื่อมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น?

อนุญาตและยอมรับว่าน้ำตานั้นมันโอเค (และไม่เช็ดมันทิ้งจากหน้าเพียงเพราะรู้สึกว่ามันไม่ดี) มันช่วยให้ฉันรับรู้ว่าความเศร้านั้นเป็นอารมณ์ที่ถูกต้องที่เกิดขึ้นเมื่อเราโดนทำร้ายหรือรู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่ฉันได้เผชิญในชีวิต

อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันได้ตระหนักคือ ในพระคัมภีร์มีบุคคลที่เราคุ้นเคยที่ได้เปิดต่อมน้ำตา จริงๆแล้วการแสดงออกของน้ำตาและความเศร้าไม่ได้ทำให้ความเป็นวีรบุรุษของพวกเขานั้นลดน้อยลง เช่น โยบ ใบหน้าของเขาแดงด้วยการร่ำไห้ เงามัจจุราชอยู่ที่หนังตาของเขา (โยบ 16:16) ยังมีพระเยซู ที่ร้องไห้กับมารีย์และมารธาเมื่อพระองค์ได้ยินถึงการตายของลาซาลัสน้องชายของพวกเธอ ในพระคัมภีร์ยังเต็มไปด้วยข้อพระคำต่างๆ ที่ครอบคลุมอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ ซึ่งเราเห็นได้จากปัญญาจารย์ 3:4มีวาระร้องไห้ และวาระหัวเราะ มีวาระไว้ทุกข์ และวาระเต้นรำ

เมื่อมองย้อนกลับมา แม้ว่าในตอนแรกฉันค่อนข้างลังเลที่จะขอความช่วยเหลือ แต่ฉันดีใจมากที่ฉันทำมัน เพราะมันได้ให้พื้นที่ปลอดภัยที่ฉันสามารถจัดวางสิ่งที่อยู่ในใจของฉันโดยที่ไม่ถูกตัดสิน และเรียนรู้ที่จะรับมือกับอารมณ์ของตัวเองในทางที่ดีขึ้น และแข็งแรงขึ้น

ฉันมักจะสงสัยว่าความช่วยเหลือจากพระเจ้า หรือการรู้สึกถูกฉุดขึ้นมาจากหลุมแห่งความสิ้นหวังมันจะเป็นแบบไหน ในตอนนี้ได้แสดงให้ฉันเห็นว่าความช่วยเหลือจากพระเจ้านั้นมาในหลากหลายรูปแบบ ถ้าฉันเต็มใจที่จะละทิ้งอคติของฉันและเปิดใจรับการสนับสนุนต่างๆ ที่พระองค์มีให้มากขึ้น

การมีปฏิสัมพันธ์กับคนแต่ละคนที่พระเจ้าได้ใส่เข้ามาในชีวิตของฉัน ตั้งแต่นักจิตวิทยาไปจนถึงครอบครัวและเพื่อน ได้ย้ำเตือนว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระองค์ทรงจับมือฉัน เดินไปกับฉันและนำฉันออกจากหลุมแห่งความสิ้นหวังของตัวเอง

YOU MAY ALSO LIKE

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน

WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ  สะสางงานต่างๆ  ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...

เสียงที่ดังพอ

เสียงที่ดังพอ

WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...

Share This