WRITER: แม็คเคนซี คิง ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ณัฐพร ชังเจริญ
EDITOR: Mustard Seed Team
ความโดดเดี่ยวไร้คู่ที่กินเวลาเนิ่นนานกว่าสิบปีของฉันใกล้จะเดินมาถึงจุดสิ้นสุด ฉันคิดอย่างมีความสุขเล็กๆ ว่า ในที่สุดฉันจะสามารถบอกกับคนอื่นได้เสียทีว่าตอนนี้ฉันกำลังศึกษาดูใจอยู่กับใครคนหนึ่ง แต่ฉันก็คิดผิด
เป็นเวลากว่าครึ่งปีเต็มที่ฉันได้พูดคุยกับคนคนหนึ่งที่ฉันเพิ่งรู้จักได้ไม่นานผ่านการส่งข้อความ จากประสบการณ์ความรู้ที่ฉันได้รับจากแอปพลิเคชันหาคู่และเหล่าเพื่อนพ้องทำให้ฉันเชื่ออย่างสนิทใจว่าเขาสนใจฉัน ถ้าไม่เช่นนั้น เขาจะส่งข้อความหาฉันทุกวันทำไม? แน่นอนว่ามันต้องมีความสนใจอยู่ในการกระทำนั้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จริงไหม?
“อีกไม่นานเขาคงต้องขอฉันเป็นแฟนแน่” ฉันคิด แต่น่าเสียดายที่ขณะนั้นเอง โลกทั้งโลกกลับกำลังตั้งหลักเตรียมรับสิ่งร้ายแรงที่กำลังจะมาถึง โดยการแยกทุกคนออกจากกันเป็นเดือนๆ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ โควิด-19 แต่ตอนนั้นฉันก็ไม่ได้กังวลอะไร “บางที อะไรดีๆ อาจเกิดขึ้นหลังจากทั้งหมดนี้ [โควิด-19] จบสิ้น ระหว่างนั้นเราก็สามารถทำอะไรสนุกๆ แบบออนไลน์ได้” น่าเศร้าที่ฉันคิดผิด
ในระหว่างที่เราแลกเปลี่ยนข้อความกันเหมือนเคยทุกๆ วัน เขากลับไม่มีสัญญาณว่าจะพยายามทำอะไรกับฉันเลย
ทุกคำชักชวนที่จะทำอะไรสนุกๆ ในโลกออนไลน์กลับได้รับมาเพียงแค่คำตอบที่ดูไม่กระตือรือร้น หรืออย่างเช่น “เดี๋ยวมานะ” ในขณะที่ฉันได้แต่รอ แล้วก็รอ
วันหนึ่ง ความจริงก็ปรากฏขึ้น เขากำลังคบหาดูใจอยู่กับใครอีกคน และทั้งคู่ก็พูดคุยออนไลน์กันมาพักหนึ่งแล้ว ฉันทำสิ่งหนึ่งที่ฉันสามารถทำได้เมื่อรับรู้ข่าวนี้ นั่นก็คือ นั่งลงบนโซฟาและร้องไห้เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมง และน้ำตาของฉันก็ไหลไม่หยุดตลอดทั้งคืน หมอนของฉันเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาที่ทั้งร้อนและเค็ม
ความผิดหวัง (ทั้งในตัวมนุษย์และพระเจ้า) อีกทั้งความรู้สึกราวกับถูกทรยศ (น่าจะบอกกันให้เร็วกว่านี้!) อัดแน่นเต็มตัวฉัน และก่อนที่ฉันจะรู้ตัว ฉันก็ตกลงสู่อุโมงค์มืดมิดแห่งความเศร้าที่กัดกินและทิ่มแทงทุกส่วนของร่างกายฉันเสียแล้ว
ส่วนหนึ่งที่ข่าวนี้มันช่างน่าหดหู่ก็เพราะว่า เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้า เมื่อช่วงที่โควิด-19 ได้เยื้องย่างเข้ามาทำลายแผนการของฉัน ฉันใช้เวลาไปกับการคร่ำครวญถึงการสูญเสียช่วงวันหยุดพักผ่อนในต่างประเทศ การพลาดงานแต่งงานของเพื่อนๆ และกิจกรรมกีฬาอีกมากมาย
วัน สัปดาห์ และเดือนถัดๆ มา มันล้วนยากสำหรับฉัน มีบางวันที่ฉันตื่นขึ้นมาพบกับความรู้สึกที่ยากเย็นสุดจะบรรยาย และเมื่อฉันรู้สึกเช่นนั้น ฉันก็จมอยู่กับความย่อยยับพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของตัวเอง ความทรงจำจากการถูกหักหลังนั้นเพียงพอที่จะทำให้ฉันสะดุดล้มลงไปในก้นบึ้งของความสิ้นหวัง ฉันนั่งอยู่บนเตียงนอน มือกำแน่นด้วยความโมโห คิดสงสัยว่าเมื่อไหร่กันที่ฉันจะดีขึ้น และสงสัยด้วยว่าหัวใจที่บาดเจ็บนี้จะได้รับการรักษาให้หายได้ไหม
มันยากที่จะมองเห็นในตอนนั้น แต่ใช่ สิ่งต่างๆ ดีขึ้น
และช่วงเดือนที่มืดมนเหล่านั้นได้แสดงให้ฉันเห็นแล้วว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อเพียงใด และพระองค์ไม่ได้ทรงละทิ้งฉันในความอ่อนแอแต่เพียงลำพัง
ถ้าหากคุณกำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่เจ็บปวดและสับสนอยู่ขณะนี้ โดยที่ไม่มั่นใจว่าสิ่งต่างๆ จะดีขึ้นเมื่อไหร่ และกำลังรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งโลกกำลังต่อสู้คุณอยู่ ฉันหวังว่าสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ที่ฉันเก็บเกี่ยวได้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาจะเป็นสิ่งหนุนใจสำหรับคุณ
1. คำว่า “ไม่” ของพระเจ้าในการอธิษฐานของเรา เป็นไปเพื่อการดีแก่เราในท้ายที่สุด
ตลอดชีวิตของฉัน ฉันตีความการตอบรับคำอธิษฐานเท่ากับคำว่า “ได้” แทบจะตลอดเวลา เราพูดว่า “ขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงตอบรับคำอธิษฐานของเรา” บ่อยครั้ง เมื่อคำอธิษฐานของเราเป็นไปอย่างที่ใจเราต้องการให้เป็น ยกตัวอย่างเช่น ได้รับการตอบรับว่าจ้างจากบริษัทหนึ่งที่หมายตาไว้ การตั้งครรภ์ลูกที่เฝ้ารอมานาน หรือผลการตรวจสุขภาพที่น่าพอใจ
ดังนั้น ใช่ เมื่อฉันอธิษฐานทูลขอสิ่งทั้งหลายโดยเพิ่มคำที่ฉันคิดว่าเป็นคำอนุญาตพระเจ้า เช่น “ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” (ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วฉันอยากจะพูดว่า “ขอให้เป็นไปตามที่ฉันหวัง”) พระองค์ก็ทรงตอบกลับมาในท้ายที่สุดว่า “ไม่” และฉันรู้สึกแตกสลาย
อย่างไรก็ตาม ฉันได้เรียนรู้ว่าคำว่า “ไม่” ของพระเจ้า ไม่ได้มีที่มาจากหัวใจที่มุ่งสงวนสิ่งดีไว้จากลูกของพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า “ของประทานที่ดีและเลิศทุกอย่างนั้นมาจากเบื้องบน คือมาจากพระผู้สร้างแห่งบรรดาดวงสว่าง ในพระองค์ไม่มีการแปรปรวนหรือเงาของการเปลี่ยนแปลง” (ยากอบ 1:17) การต่อสู้ดิ้นรนต่อคำว่า “ไม่” ของพระเจ้าเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจและน่าสับสน และถึงแม้ฉันรู้ว่าทางของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่าทางของเรา (อิสยาห์ 55:8) แต่ฉันก็อดน้อยใจไม่ได้
ในกรณีนี้ พระเจ้าได้ทรงกู้ฉันจากความสัมพันธ์ที่เลวร้ายรุนแรง แต่มันก็มีบ้างบางเวลาที่คำว่า “ไม่” ของพระเจ้าแลดูไม่สมเหตุผล และเมื่อมันเป็นเช่นนั้น เราสามารถวางใจในพระสัญญาจากพระธรรมโรม 8:28 ที่กล่าวไว้ว่า “เหตุการณ์ทุกอย่างร่วมกันก่อผลดีแก่คนที่รักพระเจ้า คือแก่คนทั้งหลายที่พระองค์ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์”
จากการวิเคราะห์ทบทวน เราทั้งคู่แตกต่างกันอย่างมาก เรามีความสนใจและการนิยามคุณค่าที่แตกต่างกัน และฉันมักลังเลสงสัยในทุกสิ่งที่ฉันทำและทุกคำที่ฉันพูด เพราะกลัวจะเป็นเพียงเรื่อง “เล็กน้อย” ในสายตาของเขา ในระยะยาว มันคงทำให้ความสัมพันธ์น่าทุกข์ใจ และตัวฉันเองคงเต็มไปด้วยความขมขื่น ดังนั้นเมื่อมองย้อนไป ฉันดีใจที่พระเจ้าตรัสว่า “ไม่” (แม้นั่นให้ความรู้สึกไม่เหมือนว่าจะเป็นการดีแก่ฉันเลย)
2. พระเจ้าทรงอยู่กับเราในยามที่เราเจ็บปวดและผิดหวัง
มันมีบ้างบางวันที่รู้สึกราวกับว่าพระเจ้าทรงอยู่ห่างไกลเหลือเกิน พระเจ้าผู้ทรงสัญญาจะทรงอยู่ใกล้ผู้ที่ใจแตกสลาย (สดุดี 34:18) ผู้ที่ทรงช่วยรักษาใจ พระองค์ทรงอยู่ที่ไหนกัน? ฉันรู้สึกเช่นเดียวกันกับกษัตริย์ดาวิด ร้องไห้คร่ำครวญถึงพระเจ้าผู้ราวกับว่าทรงห่างไกลและเงียบงัน “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ไฉนทรงยืนอยู่ห่างไกล? ไฉนจึงซ่อนพระองค์เสียในยามลำบาก?” (สดุดี 10:1)
ต่อมา ฉันได้อ่านงานของนักเขียนและศิษยาภิบาล ทิม เชสเตอร์ และหนังสือของเขา Enjoying God โดยบังเอิญ มีอยู่บทหนึ่ง ทิมเขียนว่า
ผมสงสัยว่าคุณเคยคิดบ้างไหมว่าพระเยซูทรงนั่งอยู่บนสวรรค์ มองลงมายังชีวิตพวกคุณบ่อยพอๆ กับที่คุณดูโทรทัศน์ เบื่อหรอ? รีโมทอยู่ไหนกันนะ… บางที คุณคงจินตนาการว่าพระเยซูทรงนั่งอยู่กับหน้าจอนับไม่ถ้วนที่กำลังฉายภาพชีวิตของผู้คนมากมายอยู่ และบางทีพระองค์จะปรายตามองจอของคุณโดยไม่ได้ให้ความสนใจสักเท่าไหร่
จากนั้น ทิมชี้ให้นักอ่านมองดูเรื่องราวในพระธรรมลูกา 7:11-17 ที่เกี่ยวกับหญิงม่ายคนหนึ่งผู้กำลังร้องไห้คร่ำครวญถึงการตายของบุตรชายคนเดียวของเธอ ในวัฒนธรรมที่ผู้ชายเป็นฝ่ายทำมาหากินเลี้ยงครอบครัว สูญเสียสามีก่อน และตอนนี้ก็สูญเสียลูกชาย เธอกำลังถูกผลักเข้าสู่ความยากจนแน่ทีเดียว เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นเธอ พระองค์ก็ทรงสงสารเธอ (ลูกา 7:13)
“ใคร่ครวญในข้อนั้นสักนิด: พระองค์ทรงสงสารเธอ” ทิมเขียน “พระเยซูผู้ทรงทอดพระเนตรเห็นหญิงม่ายที่นาอินทรงเป็นพระเยซูองค์เดียวกับที่ทรงทอดพระเนตรเห็นความทุกข์ของเรา พระองค์ทรงสงสารคุณมากพอๆ กับที่พระองค์ทรงสงสารหญิงม่ายคนนั้น และพระเยซูตรัสกับคุณผ่านพระวจนะและพระวิญญาณของพระองค์ว่า ‘อย่าร้องไห้’”
แน่นอนว่านั่นทำให้ทำนบน้ำตาของฉันพังลง เว้นแต่ว่าครั้งนี้เป็นการร้องไห้ด้วยความโล่งใจ เพราะฉันรู้แล้วว่าพระเยซูทรงทอดพระเนตรเห็นความเศร้าของฉัน และในพระทัยของพระองค์ก็ทรง “สงสารฉัน” พระเจ้าไม่ได้เงียบงันและไร้ความสนใจในฉัน พระองค์ทรงอยู่กับฉันในค่ำคืนที่ยาวนานเหล่านั้น ตรัสกับฉันว่า “อย่าร้องไห้” และพระองค์ก็ทรงกำลังตรัสสิ่งเดียวกันนี้กับคุณอยู่เช่นกัน
3. พระเจ้าทรงเป็นแหล่งความหวังใจของฉัน และพระองค์ไม่ทรงทำให้ฉันผิดหวัง
แม้เมื่อฉันกำลังนั่งจมอยู่ในความล้มเหลว ฉันก็รู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นแหล่งความหวังทั้งปวงของฉัน แต่ความหวังอันงดงามที่ทุกคนพูดถึงกลับรู้สึกเหมือนแสงอาทิตย์อ่อนๆ ที่พยายามแต่งแต้มมายังจุดอับอันมืดมนของฉัน
แต่ฉันต้องการให้ความหวังของพระเจ้าส่องสว่างในโลกของฉัน ฉันจึงไล่อ่านพระคัมภีร์ที่เกี่ยวกับความหวัง ฉันไฮไลท์ข้อความในฮีบรู 6:19 “ความหวังที่เรายึดนั้นเป็นเสมือนสมอที่แน่นอนและมั่นคงของจิตใจ” วงกลมโคโลสี 1:27 “นั่นคือพระคริสต์สถิตในพวกท่าน อันเป็นความหวังที่จะได้รับศักดิ์ศรี” และขีดเส้นใต้อิสยาห์ 40:31 “แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระยาห์เวห์จะได้รับกำลังใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี” ลงในรายการของฉัน
ในที่สุด ดวงตาของฉันก็เหลือบไปเห็น 2 โครินธ์ 4:17-18
เพราะว่าความยากลำบากชั่วคราวและเล็กน้อยของเรา จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีนิรันดร์มากมายอย่างไม่มีที่เปรียบ เราไม่ได้เอาใจใส่ในสิ่งที่มองเห็น แต่เอาใจใส่ในสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งที่มองเห็นนั้นไม่ยั่งยืน แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นถาวรนิรันดร์
ทีละช้าๆ ฉันก็รู้สึกได้ว่าความมืดมนที่เกาะกุมฉันมาเนิ่นนานค่อยๆ มลายหายไป ใช่ ความเจ็บปวดและความผิดหวังครั้งล่าสุดนั้นจริงจังมาก และความรู้สึกเหล่านั้นไม่ควรถูกหลงลืมไป อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องชั่วคราว
ฉันจินตนาการถึงการนำความเจ็บปวดเหล่านี้วางลงตรงหน้าบัลลังก์ของพระเจ้า ในพระสิริอันแสนงดงามของพระองค์ และทุกสิ่งที่ว่ามานั้นจะวิ่งหนีหาที่ซ่อนอย่างพวกขี้ขลาดและพวกเกเร อย่างที่พวกมันเป็น
และพระเจ้าจะทรงยืดพระหัตถ์ของพระองค์ออก เช็ดน้ำตาของฉัน และตรัสว่า “ความตายจะไม่มีอีกต่อไป ความโศกเศร้า การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป เพราะยุคเดิมนั้นผ่านไปแล้ว” (วิวรณ์ 21:4)
สถานการณ์ของพวกเราอาจดูไม่ยุติธรรม หรือความเจ็บปวดของเราอาจกำลังเกี่ยวพันแน่นหนาในเรา และความปวดร้าวดูเหมือนจะอยู่นานเกินกว่าที่เราจะทนไหว แต่ฉันสามารถหนุนใจคุณ (มากเท่าที่จะมากได้ในแต่ละวัน) ให้คุณจับตามองที่พระเยซูผู้เบิกทางความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อนั้นสมบูรณ์ (ฮีบรู 12:2) ผู้ทรงเข้าใจในความอ่อนแอทุกข์ทนของเรา (ฮีบรู 4:15) และทรงฟังคำร้องทูลของเรา (สดุดี 22:24) เพราะในความสว่างและพระสิริของพระเจ้า ทุกสิ่งที่เราทนทุกข์บนโลกจะหนีหายไปหาที่กำบัง
ในหนังสือของนักเขียนและศิษยาภิบาลจอห์น ฮินด์ลีย์ ที่มีชื่อว่า Dealing with Disappointment มีกล่าวไว้ว่า
พระเจ้าจะไม่ทรงส่งข้อความแก่คุณเพื่อจะให้คุณรู้สึกดีขึ้น พระองค์จะไม่ทรงกระทำการลบล้างความทรงจำของความผิดหวัง พระองค์จะทรงมาหาคุณ และพระองค์จะทรงใช้พระหัตถ์ของพระองค์ – พระหัตถ์ที่ทรงเป็นของพระเจ้าและทรงถูกทำให้เกิดแผล – เช็ดน้ำตาจากใบหน้าของคุณที่เต็มไปด้วยร่องรอยของการต่อสู้
และนี่คือความหวังในพระเจ้าผู้ทรงนิรันดร์ที่ฉันได้พึ่งพิง
YOU MAY ALSO LIKE
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน
WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ สะสางงานต่างๆ ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...
ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?
WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...
เสียงที่ดังพอ
WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...