
WRITER: เมเดลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: สรสิทธิ์ ธัมมารักขิตานนท์
EDITOR: วิวรรธน์ ศรีธนางกูร
โรคซึมเศร้าเป็นความเจ็บป่วยที่อยู่ในทุกๆ วันของฉัน ฉันได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้านี้มาเป็นเวลา 3 ปีแล้วหลังจากที่หมดไฟจากงานสอนหนังสือ
อาการซึมเศร้าของฉันเป็นดังนี้ จิตใจของฉันเหมือนถูกความรู้สึกและความคิดลบครอบงำ เช่น ความเศร้าและความรู้สึกไร้ค่ามันเป็นโดยฉับพลันหรือค่อยๆ เป็นราวกับจมดิ่งลงในหลุมแห่งความสิ้นหวัง หมดหนทางช่วยเหลือได้ ซึ่งอาจกินเวลาเป็นสัปดาห์
เมื่ออาการซึมเศร้าดิ่งลงไปถึงจุดต่ำสุด ฉันไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งต่างๆ ไม่ก็ทุกข์ทรมานกับความปวดร้าวในจิตใจ การมีสมาธิทำบางสิ่งบางอย่างเป็นเวลานานกลายเป็นเรื่องยากสำหรับฉัน การที่ได้เห็นคนรอบตัวมีความสุขกับการใช้ชีวิตนั้นทำให้ฉันปวดร้าวใจ ราวกับว่าฉันเป็นเพียงผู้ชมที่ยืนอยู่นอกวงเพียงลำพัง
ฉันเลือกที่จะต่อสู้กับโรคนี้ด้วยการไม่ทานยาต้านอาการซึมเศร้า แต่เลือกที่จะทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายแทน ฉันพยายามหลีกเลี่ยงความเครียดและเข้ารับการปรึกษาตามปกติทั่วไป
สุดท้ายแล้ว ฉันเชื่อในฤทธิ์อำนาจแห่งการรักษาของแพทย์ผู้ประเสริฐ ดังนั้นฉันจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านพระคัมภีร์และท่องจำพระวจนะพระเจ้า เมื่อฉันรู้สึกสับสนวุ่นวายในใจ ฉันกล่าวข้อพระคัมภีร์ที่สัมพันธ์กับสถานการณ์ในเวลานั้นของฉัน เช่น เมื่อเผชิญความกลัว (อิสยาห์ 41:10) เมื่อฉันรู้สึกกดดัน (อิสยาห์ 26:3)
และเมื่อฉันสัมผัสได้ว่าตัวเองเริ่มจมดิ่งลงไปในด้านมืดของจิตใจ ฉันนึกถึงพระธรรมสดุดี 40:1-3
ฉันเชื่อว่าข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ทำงานในฉันเมื่อฉันกล่าวมันออกมาและช่วยให้ฉันยังคงจดจ่ออยู่ที่พระเจ้า
ฉันขอบคุณพระเจ้าที่มีพี่น้องในคริสตจักรอธิษฐานเผื่อฉันอยู่เสมอ แม้ฉันเชื่อว่าฉันจะได้รับการทรงรักษาอย่างสมบูรณ์เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา พระเจ้าสามารถรักษาฉันได้ในวันนี้และประสงค์ให้ฉันชื่นชมยินดีกับชีวิต “ไปถึงความครบบริบูรณ์” (ยอห์น 10:10) ดังนั้นฉันขอบคุณในความดีเลิศของพระเจ้าและนำคำวิงวอนมาร้องทูลต่อพระองค์ (ฟีลิปปี 4:6) ทุกๆ วันฉันเฝ้ารอด้วยความหวังใจถึงการปลดปล่อย (มีคาห์ 7:7)
ฉันไม่ได้ถูกจำกัดด้วยความรู้สึกของฉัน
การเป็นโรคซึมเศร้ารั้งฉันจากการมีคุณภาพชีวิตและการงานที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ฉันรู้สึกว่าพระเจ้าทรงเรียกฉันให้เริ่มพันธกิจด้านงานเขียนแต่ฉันกลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรงและสมาธิที่จะนั่งพิมพ์งาน
ในเวลานั้นฉันถามตัวเองว่าทำไมพระเจ้าถึงไม่รักษาฉัน เพื่อที่ฉันจะได้ทำงานของพระองค์ อย่างไรก็ตาม เมื่อฉันนึกถึงบุคคลต่างๆ ในพระคัมภีร์ที่พระเจ้ามอบหมายให้ขยายแผ่นดินของพระองค์ เขาเหล่านั้นต้องทนทุกข์เนื่องจากความเศร้าโศก ความปวดร้าวและเดียวดาย ฉันจึงตระหนักได้ว่า ถ้าพระเจ้าทรงใช้พวกเขาได้พระองค์ก็ทรงใช้ฉันได้อย่างแน่นอน
ในพระธรรมสดุดี 69:1-2 ดาวิดเปรียบเทียบความรู้สึกสิ้นหวังและความทุกข์ของตนว่าเป็นเหมือนการจมลงไปในบ่อน้ำลึกที่ดำสนิทจนไม่อาจมองเห็นพื้นด้านล่าง แม้กระนั้นพระเจ้าก็ยังเรียกดาวิดว่า “คนที่พระองค์ทรงชอบพระทัยยิ่งนัก” (1 ซามูเอล 10:10) และทรงเจิมเขาเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอล ทรงประทานความสำเร็จมากมายให้เขาอยู่เหนือศัตรูของเขา และทรงทำพันธสัญญานิรันดร์กับเขา
เยเรมีย์ผู้ได้รับฉายาว่า “ผู้เผยพระวจนะเจ้าน้ำตา” (เยเรมีย์ 9:1) เขาสาปแช่งวันที่เขาเกิดมาเพราะความโดดเดี่ยว การถูกเยาะเย้ยและการที่เขาเคยถูกปฏิเสธ (เยเรมีย์ 20:14) แม้กระนั้นพระเจ้าก็ยังทรงเรียกเยเรมีย์ว่า “ผู้เผยพระวจนะแห่งบรรดาประชาชาติ” คนที่เปิดเผยถึงความบาปของชาวยูดาห์และผลจากการที่พวกเขานมัสการรูปเคารพ
แม้แต่พระเยซู ในช่วงเวลาก่อนถูกตรึงที่กางเขน พระองค์ทรงระบายถึงความเครียดและปวดร้าวพระทัยของพระองค์ให้กับเปโตร ยากอบ และยอห์นในสวนเกทเสมนี (มาระโก 14:34) พวกเราจะเป็นอย่างไรในวันนี้ถ้าพระองค์ไม่ได้ทรงดำเนินไปจนสำเร็จที่ไม้กางเขน
การไม่ยอมให้ความรู้สึกของตัวเองเป็นอุปสรรคต่อการเชื่อฟังและทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าของบุคคลเหล่านี้ เป็นแรงกระตุ้นให้ฉันยังคงทำงานเขียนต่อไปแม้ในวันที่จิตใจของฉันอยากจะยอมแพ้ต่อความมืดมิด มันเตือนฉันให้ยอมให้พระเจ้าเป็นผู้กำหนดและสำแดงน้ำพระทัยของพระองค์ที่มีต่อฉันไม่ใช่โรคซึมเศร้า
เรียนรู้ที่จะวางใจพระองค์ในช่วงที่มืดมน
หลายคืนที่ฉันนอนไม่หลับ คร่ำครวญด้วยน้ำตาขอการรักษาจากพระเจ้า
แม้ว่ายังคงอยู่ในความมืดมน ฉันต้องตัดสินใจว่า ถ้าพระเจ้ามีพระประสงค์ให้ฉันอดทนในช่วงเวลาเช่นนี้ ฉันมีทางเลือกว่าจะรักและวางใจว่าพระองค์ทรงทำทุกอย่างให้เกิดเป็นผลดีต่อฉัน (โรม 8:28) หรือเลือกที่จะหันหลังให้กับพระองค์และเยียวยาตัวเอง
จะว่าไปแล้วชีวิตของฉันวุ่นวายสับสนทีเดียว ก่อนที่ฉันจะก้าวเข้ามาในความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์ ทางเลือกอื่นใดก็ล้วนหามีความสำคัญไม่
หลายๆ ครั้งที่ฉันจมในความมืดมิดด้านอารมณ์และร่างกาย ฉันจำในสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับฉันในความสว่างได้ว่า พระองค์จะไม่ทดสอบในสิ่งที่เกินกำลังของฉัน (1 โครินธ์ 10:13) และพระองค์จะไม่ทรงทำให้ฉันผิดหวังหรือละทิ้งฉันเลย (ฮีบรู 13:5) ด้วยคำเตือนสติเหล่านี้ ฉันจึงเลือกที่จะเชื่อวางใจและพึ่งพาพระองค์
หลังจากที่ฉันมองสิ่งต่างๆ ด้วยความเชื่อ ตอนนี้ฉันเห็นพระคุณพระเจ้า การจัดเตรียม และความโปรดปราน จากที่แต่ก่อนมองเห็นแต่ปัญหา พระองค์อวยพรฉันผ่านคุณหมอที่ใจดี ทั้งการจัดเตรียมด้านการเงินและยังจุดประกายให้ฉันเขียนงานได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าจริงๆ
การเข้าถึงผู้อื่น
หนึ่งในหลายๆ ทางที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับฉันผ่านนักจิตวิทยาให้คำปรึกษาคริสเตียน สมาชิกในคริสตจักรเดียวกันกับฉัน เธอเชี่ยวชาญด้านโรคซึมเศร้าและสามารถเข้าใจความรู้สึกของคนไข้ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเธอเองก็เคยเผชิญกับโรคซึมเศร้านี้มาก่อน
คำพยานเกี่ยวกับการรักษาของนักจิตวิทยาผู้นี้หนุนใจฉันว่า พระเจ้าทรงรักษาฉันได้เหมือนที่พระองค์ทรงรักษาเธอ แต่ยิ่งกว่านั้นคือฉันสบายใจขึ้นเมื่อรู้ว่ามีคนที่ฉันสามารถคุยด้วยได้ คนที่เคยมีประสบการณ์กับสิ่งที่ฉันกำลังเผชิญอยู่
จากวันนั้นฉันเริ่มมองออกไปนอกตัวฉันและถามกับตัวเองว่ารอบๆ ตัวฉันมีใครบ้างไหมที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า คนที่ฉันสามารถเป็นพยานและเป็นเพื่อนกับเขาได้บ้าง
แม้ว่าช่วงเวลานี้ช่างท้าทาย ฉันเชื่อในความดีเลิศของพระเจ้าและการรักษาของพระองค์ พระองค์ทรงสถิตกับฉันและไม่มีสิ่งใดโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคซึมเศร้าจะแยกฉันออกจากความรักของพระองค์ (โรม 8:38-39)
ฉันจะยังคงยืนหยัดในความเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีแผนการอันยอดเยี่ยมสำหรับฉัน โรคซึมเศร้าเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในระยะทางของการฝึกฝน พระองค์ทรงพระประสงค์ให้ฉันรับไว้เพื่อเติมเต็มแผนการที่พระองค์ทรงวางไว้สำหรับฉัน
ในระหว่างนี้ ฉันจะพักสงบในพระองค์ เฝ้าคอยด้วยความหวังใจและคาดหวังการฟื้นฟูจากพระองค์
หากคุณกำลังทุกข์ทนกับโรคซึมเศร้า พวกคุณจะอยู่ในคำอธิษฐานของฉันเสมอ ฉันขอเชื้อเชิญคุณร่วมเชื่อไปกับฉันว่าสิ่งนี้ไม่ใช่จุดจบของเรื่องราวของเรา พระเจ้าตรัสว่าพระองค์ทรงอยู่ใกล้ผู้ที่ใจแตกสลาย (สดุดี 34:18) และพระองค์จะทรงรักษาและพันแผลให้กับเรา (สดุดี 147:3)
พระองค์จะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเรา ความเจ็บปวดและความเศร้าโศกของเราจะไม่มีอีกต่อไป พระองค์จะทรงทำให้สิ่งเหล่านี้ผ่านเลยไป (วิวรณ์ 21:4) ฉันมีความเชื่อว่าในวันนั้น เราจะได้มีประสบการณ์กับความชื่นบานที่แท้จริง ความชื่นบานอันเป็นนิรันดร์
YOU MAY ALSO LIKE
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน
WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ สะสางงานต่างๆ ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...
ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?
WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...
เสียงที่ดังพอ
WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...