WRITER: จีน ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ศุภิสรา เจริญศรีศิลป์
EDITOR: ฤกษ์สิน เขมสุนทร
ฉันเกิดมาในครอบครัวคริสเตียน ในทุกๆ สัปดาห์ตั้งแต่เด็กฉันได้เข้าร่วมชั้นเรียนรวีฯ เข้าร่วมการนมัสการ และร่วมสามัคคีธรรมกลุ่มย่อยกับครอบครัว
การเติบโตขึ้นในโบสถ์ทำให้ฉันมักได้ยินเรื่องราวสุดวิเศษที่พระเจ้าได้กระทำกับคนมากมาย บางคนได้รับการรักษาจากพระเจ้าให้หายป่วย บางคนได้ยินเสียงของพระเจ้า บางคนเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และบางคนชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากที่พวกเขายอมรับพระเยซูคริสต์ให้เข้ามาในชีวิต
คำพยานชีวิตเหล่านี้ทำให้ฉันทึ่งไปเลย ฉันจึงเชื่อว่าถ้าหากฉันเองมีคำพยานชีวิตที่ทรงพลังได้แบบนั้น ฉันก็จะสามารถนำคนมาเชื่อพระเจ้าได้อีกมากมาย
ถึงแม้ว่าฉันจะเชื่อจนหมดใจว่าพระเยซูได้มาตายเพื่อรับความผิดบาปของฉัน และหลังจากนั้น 3 วันพระองค์ก็เป็นขึ้นมาจากความตาย แต่ก็มีคนสอนฉันไว้ว่าการที่จะรู้ว่าใครคือคนที่รอดแล้วนั้น ให้ดูได้จากคำพยานเกี่ยวกับชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของเขา หลังจากนั้นฉันก็เริ่มเชื่อว่ามีเพียงผู้เชื่อที่มีคำพยานชีวิตที่ลึกซึ้งจับใจเท่านั้นที่เป็นคริสเตียนที่แท้จริง และความคิดนี้ก็ทำให้ฉันทุกข์ใจมาก เพราะฉันไม่ได้มีคำพยานชีวิตที่ลึกซึ้งกินใจอะไรเลย แล้วแบบนี้ฉันได้รับความรอดแล้วจริงๆ น่ะเหรอ?
ในขณะที่ฉันกำลังปล้ำสู้กับคำถามนี้ ฉันก็ได้รับใช้ต่อไปอย่างอย่างกระตือรือร้นที่โบสถ์ ฉันอ่านพระคัมภีร์ และอธิษฐานทุกวัน ในช่วงเวลานั้น พระเจ้าได้สอน ดูแลและหนุนใจฉันอย่างสัตย์ซื่อผ่านคำเทศนา ผ่านทางพระวจนะของพระองค์ และผ่านทางผู้คนของพระองค์รอบข้างฉัน แต่ทั้งๆ ที่ฉันมีสิ่งเหล่านี้ ฉันก็ยังคงมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องความรอดของฉันอยู่ดี
การไขว่คว้าที่จะมีคำพยานชีวิตที่ “สมบูรณ์แบบ” ของฉันทำให้ฉันได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะออกห่างจากพระเจ้า ฉันหยุดอ่านพระคัมภีร์ และหยุดอธิษฐาน อีกทั้งพยายามรับใช้ในโบสถ์ให้น้อยลง ฉันคิดว่าประสบการณ์การออกห่างจากพระเจ้าครั้งนี้ จะทำให้ฉันมีคำพยานชีวิตที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับการที่ฉันหลงหายไปจากพระเจ้า และการกลับมาหาพระเจ้าอีกครั้งมาแบ่งปันให้คนอื่นๆ ฟัง
แต่กลับกัน ใจของฉันไม่มีสันติสุขเลยถึงแม้ว่าฉันจะทำตามแผนการของฉันทั้งหมดก็ตาม ฉันกลัวที่จะอธิษฐานทั้งๆ ที่ฉันอยากจะอธิษฐานมาก แต่แล้ววันหนึ่ง ฉันก็ได้ตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่ฉันจะ “กลับใจ” และฉันก็เริ่มอ่านพระคัมภีร์และอธิษฐานอีกครั้ง
ในส่วนลึกของหัวใจ ฉันรู้สึกพอใจอยู่นิดหน่อยที่ในที่สุดฉันก็ดูเหมือนจะได้มีคำพยานชีวิตที่ “สมบูรณ์แบบ” แต่ยังไงก็ตาม เมื่อไหร่ที่ฉันคิดจะแบ่งปัน “คำพยานชีวิต” เรื่องนี้ ใจของฉันก็ว้าวุ่นมาก เพราะฉันรู้ว่าฉันได้พยายามสร้างมันขึ้นมา ทุกครั้งที่ฉันแบ่งปัน “คำพยานชีวิต” นี้ ฉันจะรู้สึกผิดอยู่เสมอ
ฉันมาตระหนักได้ว่าฉันโง่เขลาขนาดไหนตอนอายุ 16 เมื่อฉันได้อ่านบทความหนึ่งที่เพื่อนของฉันได้แชร์ในเฟสบุ๊ค (facebook) ซึ่งเป็นบทความที่เขียนขึ้นเพื่อคนที่เติบโตมาในครอบครัวคริสเตียน
บทความเริ่มต้นจากเรื่องของเด็กหญิงคนหนึ่งที่รู้สึกอึดอัดใจเพราะดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีคำพยานชีวิตที่ “สมบูรณ์แบบ” เธอถามแม่ของเธอว่า ที่พระเจ้าไม่ได้ให้คำพยานชีวิตที่ยิ่งใหญ่กับเธอ เพราะเธอน่าจะ “ดื้อด้านไม่พอ” ใช่ไหม? ตรงนี้ดึงความสนใจของฉันได้อยู่หมัด แบบว่า “คนนี้รู้สึกเหมือนกับฉันเลยนี่นา”
บทความนี้ได้สะท้อนถึงตัวฉันเอง และมันก็ย้ำเตือนฉันว่าพระเจ้าทรงให้เราทุกคนมีเรื่องราวที่แตกต่างกัน
ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้มีคำพยานชีวิตที่ลึกซึ้งกินใจ แต่ฉันก็ยังคงมีเรื่องราวหลายอย่างเกี่ยวกับการที่ฉันได้พบกับพระเจ้าส่วนตัวในชีวิตประจำวัน
ยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อในการตอบคำอธิษฐานของฉันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสอบหรือเรื่องเพื่อนๆ ของฉัน การที่ฉันได้แบ่งปันเรื่องราวเล็กๆ เหล่านี้กับครอบครัวในพระคริสต์ของฉันนั้นหนุนใจพวกเขาได้อยู่ตลอด
ในขณะที่ฉันไม่มีคำพยานชีวิตอันน่าตื่นเต้นที่จะแบ่งปันให้กับคนที่ไม่เชื่อฟัง ฉันก็ยังคงมีโอกาสมากมายในการแบ่งปันเรื่องราวของพระเจ้าและสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำในชีวิตของฉัน ยกตัวอย่างเช่น เพื่อนที่โรงเรียนของฉันอาจถามว่าทำไมฉันถึงไม่กังวลเกี่ยวกับการสอบ ฉันก็จะมีโอกาสที่จะได้แบ่งปันว่าพระเจ้าทรงอยู่กับฉันในทุกๆ อย่างยังไงบ้าง ในตอนนี้ฉันไม่ต้องอิจฉาคำพยานชีวิตของคนอื่นอีกแล้ว เพราะพระเจ้าทรงใช้เรื่องราวที่แตกต่างกันในการพาคนที่แตกต่างกันมาเชื่อพระองค์
ที่สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องที่พระเยซูได้ลงมาบังเกิดบนโลกมนุษย์เพื่อไถ่เราทุกคนและนำพวกเรากลับไปหาพระเจ้าเป็นเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยถูกเขียนขึ้นมา และพวกเราทุกคนก็เป็นส่วนหนึ่งในเรื่องราวนั้น
ฉันค่อยๆ มาตระหนักได้ว่า ฉันไม่จำเป็นที่จะต้องมีคำพยานชีวิตที่ลึกซึ้งกินใจเพื่อที่จะได้รับความรอด เพราะฉันได้รับความรอดแล้วตั้งแต่ที่ฉันยอมรับพระคริสต์ให้เข้ามาเป็นพระเจ้าของฉันและเชื่อในพระองค์อย่างสุดจิตสุดใจของฉัน (โรม 10:9)
ฉันรู้สึกละอายในความโง่เขลาที่ผ่านมาของฉัน อย่างไรก็ตาม ฉันก็รู้สึกขอบคุณพระเจ้าสำหรับประสบการณ์นี้ที่ได้เตือนใจฉันว่าชีวิตคริสเตียนของเรานั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่คำพยานชีวิตที่กินใจ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการที่ฉันได้สร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้า โดยการใช้เวลากับพระองค์ในทุกๆ วัน ระบายความคิดและความรู้สึกของฉันกับพระองค์ และอธิษฐานขอการทรงนำในชีวิตกับพระองค์
เราไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลถึงการมีคำพยานชีวิตที่ “สมบูรณ์แบบ” หรือไปอิจฉาคำพยานชีวิตของคนอื่นๆ เพราะความอิจฉาเหล่านั้นไร้ประโยชน์! สิ่งที่สำคัญก็คือให้เราต่อสู้อย่างเต็มกำลัง บากบั่นไปสู่หลักชัย และยืนหยัดอย่างมั่นคงในความเชื่อของเรา (2 ทิโมธี 4:7)
YOU MAY ALSO LIKE
กังวลจนไม่หลับไม่นอน
WRITER: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ฉันนอนไม่หลับทั้งคืน บางคืนเราก็มีอาการนอนไม่หลับ หลับๆ ตื่นๆ พอเช้าตื่นมาก็ไม่สดชื่น อารมณ์ไม่ดี การนอนไม่หลับส่งผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่เป็นครั้งคราว แต่สําหรับบางคนอาจเจอปัญหานี้เป็นประจำ...
ทำไมเราถึงไม่กล้าปฏิเสธ
WRITER: ซาร่า โซ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: สุมิตรา ชามรามดาบานEDITOR: ปวีณา นิลบุตร “ถ้าใช่ก็จงบอกว่าใช่ ถ้าไม่ใช่ก็จงบอกว่าไม่ใช่” (ยากอบ 5:12) ขณะที่ฉันเขียนข้อความนี้ ฉันเพิ่งจะพูดว่า "ไม่" ที่จะฟังความขัดข้องใจของแม่เรื่องคนสนิทในครอบครัว...
พระเจ้าช่วยฉันผ่านประสบการณ์เลวร้าย (ถูกล่วงละเมิดทางเพศ)
WRITER: แคทเธอรีน ฟลินน์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ในปี 2003 ฉันอายุ 24 ปี และอาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษตอนที่ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยเพื่อนร่วมห้องของฉัน...