fbpx
WRITER: แอนดรูว์ แลร์อาด ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ณัฐฤทัย อาสาประโคน
EDITOR: Mustard Seed Team

แอนดรูว์ ทำงานอยู่กับ City Bible Forum ในประเทศออสเตรเลีย และเป็นผู้ดูแลโครงการ Life@Work ซึ่งมุ่งที่จะช่วยให้คริสเตียนได้เชื่อมต่อความเชื่อเข้ากับการทำงานในชีวิตประจำวัน เขาได้เขียนหนังสือสองเล่มเกี่ยวกับการทำงาน รวมถึงหนังสือเรื่อง Under Pressure: How the Gospel Helps Us Handle the Pressures of Work เขายังเป็นอดีตอธิการบดีสถาบัน Ridley College’s Marketplace Institute และยังเคยมีประสบการณ์ในวงการข่าววิทยุอีกด้วย เขาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเมลเบิร์น สมรสกับคุณคาร์ลีย์และมีบุตรด้วยกัน 3 คน เขายอมรับว่าตนเป็นนักปั่นหัวสูง (นักปั่นจักรยานที่ชอบใช้อุปกรณ์ราคาแพง) และชื่นชอบการปั่นจักรยานมาก

คงเป็นคำถามที่มีมาอย่างช้านานและเราหลายคนก็ยังคงต้องเจออยู่ในชีวิตการทำงาน – เมื่อไรจึงควรลาออก?

จากผลสำรวจหลายแหล่งพบว่าสาเหตุที่หลายคนตั้งคำถามนี้เพราะพวกเขาให้ความสำคัญกับการเติบโตในชีวิตการทำงาน แน่นอนว่าคงมีอีกหลายสาเหตุที่ทำให้เราอยากลาออก อย่างเช่นงานที่ขัดขวางการเติบโตของคริสเตียน มีหัวหน้าที่ดื้อด้าน หรือการกลั่นแกล้งกันในที่ทำงาน ในหลายกรณีนี้เราต้องดูว่ามีเกณฑ์อะไรอีกบ้างเพื่อจะตัดสินใจอย่างรอบคอบว่าเมื่อไรควรลาออก

แต่สำหรับบทความนี้ เราจะมุ่งเน้นที่การเลือกลาออกเพื่อรับโอกาสใหม่หรือการเติบโตในชีวิตการทำงาน และความท้าทายเรื่องการให้ความสุขส่วนตัวเป็นแรงผลักดันหลักที่ทำให้เราอยากเปลี่ยนงาน

แน่นอนว่าจะมีเสียงบอกเราเสมอว่าให้เราปีนป่ายให้สูงขึ้น ให้เราเปลี่ยนไปเรื่อยๆ หาประสบการณ์ และพัฒนาความสามารถต่อไป

การทำงานที่เดิมเป็นเวลานาน 5 10 หรือ 20 ปี อาจแปลว่าบุคคลนั้นกำลังอยู่ในภาวะหยุดนิ่ง และไม่สามารถหางานอื่นได้ ยิ่งถ้าเป็นคริสเตียน การเปลี่ยนงานไม่ได้อาจนำไปสู่ความกลัวว่าจะพลาดการทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า

แต่ไม่แน่ว่าการยังทำงานที่เดิมต่อไปอาจแปลว่าบุคคลนั้นมีความภักดีและสัตย์ชื่อ ว่าเขาเป็นคนที่มองอะไรเฉียบขาด และไม่ได้ทำงานเล่นๆ หรือเบื่ออะไรง่ายๆ และนี่คือคุณลักษณะของลูกจ้างที่ผู้ว่าจ้างต้องการ ยิ่งถ้าเป็นคริสเตียน นี่คือบุคลิกของการถวายเกียรติพระเจ้าที่สำคัญเพื่อเป็นแบบอย่างแก่เพื่อนร่วมงาน

ที่จริงแล้วการที่เราถามว่า ‘จะอยู่หรือไปดี’ สะท้อนให้เห็นว่าเรายินดีกับสิทธิพิเศษบางอย่างมากแค่ไหน ในโลกนี้มีคนจำนวนน้อยมากพี่จะเลือกได้ว่าควรทำงานอะไร คนส่วนใหญ่มองว่าแค่เป็นงานที่ได้เงินก็พิเศษแล้ว

ผมไม่ได้เขียนแบบนี้เพื่อให้ผู้อ่านรู้สึกผิดนะครับ แต่เพื่อเปิดโอกาสให้เราได้มองเห็นพระพร นี่คือของขวัญจากพระเจ้าของเราผู้มีพระทัยกว้างขวาง และก่อนที่เราจะตัดสินใจว่าจะอยู่หรือจะไป เราควรจะสรรเสริญความใจกว้างของพระองค์

หลายครั้งการเลือกว่าจะทำงานที่ไหนนั้นไม่เหมือนกับการเลือกว่าจะทำบาปหรือไม่ทำ จึงทำให้เป็นการเลือกที่ยากเพราะไม่มีอะไรผิดหรืออะไรถูกกว่ากัน แต่แทนที่เราจะรู้สึกหมดกำลังใจ เราสามารถเลือกได้ที่จะมองที่อิสรภาพที่เราจะได้รับ ผมอาจจะตัดสินใจเลือกได้ฉลาดน้อยกว่าคนอื่น (หรืออาจจะเลือกได้ไม่ฉลาดเลยก็ได้) แต่ผมไม่จำเป็นต้องหนักใจว่าเลือกได้ “ถูกต้อง” เพราะนี่ไม่ใช่คำถามถูก-ผิด

แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าควรตัดสินใจอยู่ต่อหรือลาออก? นี่คือ 3 สิ่งที่ช่วยเราได้

1. จะให้ความรักนำทางได้อย่างไร

การเลือกว่าจะอยู่ต่อหรือลาออกนั้นทั้งง่ายและซับซ้อนพอๆ กับการให้ความรักนำทางเราเลย คือในทุกๆ การตัดสินใจของเรา เราต้องทำตามอย่างพระผู้ช่วยของเรา ผู้ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อจะปรนนิบัติ (มาระโก 10:45) 

 

ในการตัดสินใจว่าจะอยู่หรือจะไป เราจะไม่เอาความอยู่ดีมีสุขของเราเป็นตัวตั้งต้น แต่ให้ความรักที่เรามีต่อพระเจ้าและพระเกียรติของพระองค์มาก่อน ถัดมาคือความรักต่อเพื่อนบ้านเรา ความไม่ถือตัวมาก่อนความเห็นแก่ตัว นี่แหละคือวิธีตัดสินใจของเรา

แล้วในการปฏิบัติจริงจะเป็นแบบไหน? สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการใช้ความสามารถของเราให้สำแดงพระลักษณะของพระเจ้าได้ชัดเจนที่สุดในที่ทำงาน นั่นคือการมีความอดทน มีความรัก มีความสร้างสรรค์ มีหัวใจรับใช้ และอื่นๆ

แต่ไม่ได้แปลว่าเราควรทำงานที่ทำให้ชีวิตของเราดูน่าเวทนาต่อไป ถึงอย่างนั้น ศิษยาภิบาลและนักเขียน คุณทิโมธี เคลเลอร์ ได้ท้าทายเราไว้ว่า “การที่เราไม่รู้สึกอยากทะเยอทะยานในการทำงาน ไม่ได้แปลว่าเราเลือกงานผิด หรือแปลว่าไม่ได้ทำงานตรงสาย หรือแปลว่าเราควรหางานใหม่ที่ดีกว่าที่จะไม่พาให้เราหงุดหงิด ไม่มีใครทำแบบนั้นแล้วได้ผลดี เราควรต้องรู้อยู่แล้วว่าความหงุดหงิดในการทำงานเป็นเรี่องธรรมดาแม้เราจะได้ทำงานที่ตรงสายที่สุดก็ตาม”

2. จะใช้ความสามารถหรือของประทานของคุณเพื่อรับใช้พระเจ้าได้ดีที่สุดอย่างไร

อย่างที่สอง เราควรพิจารณาการใช้ของประทาน ความสามารถ และโอกาสที่พระเจ้าประทานให้เรา เพื่อรับใช้และเป็นพรต่อผู้อื่นในที่ทำงาน การทำงานในแต่ละวันไม่ใช่เพื่อตัวเราเองไปซะทั้งหมด แต่เป็นการที่เราจะรักผู้อื่นได้ผ่านการทำงานของเรา คือการที่เราจะปรนนิบัติและเป็นพรต่อผู้อื่นผ่านสิ่งที่เราทำ

เมื่อเราชั่งน้ำหนักทางเลือกของเราแล้ว มีคำถามง่ายๆ (ซึ่งอาจจะไม่ได้ง่ายเสมอไป) ที่เราอาจจะลองอธิษฐานและถามตัวเองคือ “มีทางเลือกไหนบ้าง ที่ให้โอกาสกับเราในการใช้ความสามารถที่พระเจ้าประทานให้ เพื่อปรนนิบัติผู้อื่นได้มากที่สุด” เป็นเวลาหลายปีที่ผมก็ถามตัวเองเหมือนกันว่า ของประทาน ความสามารถและโอกาสที่พระเจ้าประทานให้นั้น ผมจะใช้เพื่อเป็นผลดีต่อผู้อื่นอย่างไรได้บ้าง ในฐานะนักข่าว หรือการเป็นผู้นำพันธกิจ (ความสามารถที่คล้ายกันจะเป็นประโยชน์ต่อทั้ง 2 ทาง!)

ในเวลาหนึ่งผมก็ใช้ความสามารถนั้นในฐานะนักข่าว แต่ในอีกเวลาหนึ่งที่ผมได้ลองถามตัวเอง (และปรึกษาหารือกับคนอื่น) พระเจ้าได้ทรงให้ผมได้มาทำงานที่นี่ในวันนี้

 

3. ทำอย่างไรให้งานของคุณสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

อย่างที่ 3 ที่ควรพิจารณาคือไม่ใช่แค่ให้งานที่เราทำนั้นแสดงความรักต่อผู้อื่น แต่คือการที่ตัวเราเองจะสำแดงความรักต่อผู้อื่นได้มากที่สุดโดยการแบ่งปันเรื่องราวความรักของพระคริสต์กับพวกเขา ความไว้วางใจในความสัมพันธ์ต้องใช้เวลาในการพัฒนา และจะเป็นการยากในการพัฒนาความสัมพันธ์แบบนี้กับเพื่อนร่วมงานถ้าเรายังเปลี่ยนงานอยู่บ่อยๆ

ฉะนั้น อีกคำถามหนึ่งที่เราควรถามตัวเองก็คือ “ถ้าเปลี่ยนงานแล้วจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ในการที่แบ่งปันเรื่องราวของพระเยซูมากน้อยแค่ไหน หรือถ้าย้ายไปงานอื่นแล้วจะเปิดโอกาสให้เรา ได้ประกาศข่าวประเสริฐมากกว่านี้?”

ผมเชื่อว่าหากเราอธิษฐานด้วยใจจริงและไตร่ตรองคำถามเรื่องงานเหล่านี้อย่างดีแล้ว (และแสวงหาปัญญาจากคนอื่นว่าเราจะตอบคำถามยังไงดี) เราก็จะมีสันติสุขและตัดสินใจได้เอง! เราไม่ได้มีความรอบรู้แบบที่พระเจ้าทรงมี และเนื่องจากนี่ไม่ใช่คำถามเพื่อหลีกเลี่ยงความบาปแต่เพื่อแสวงหาปัญญา ถ้าเรามีใจที่ใฝ่รับใช้และรักผู้อื่นมากกว่าตนเอง เราก็สามารถตัดสินใจและยอมรับผลที่ตามมาได้อย่างสบายใจ 

ถ้าเราเลือกแล้วว่าจะเปลี่ยนงาน ไม่ได้แปลว่าเราจะทำตัวเหลาะแหละระหว่างรอเริ่มงานใหม่ได้ ตรงข้ามกันเลย หนึ่งในวิธีที่คริสเตียนจะสามารถเป็นพยานอันทรงพลังในที่ทำงานแต่ละวันได้ คือโดยการสำแดงความไม่คิดถึงตนเองโดยสิ้นเชิงก่อนจะหมดวาระการทำงาน

หลายคนจะรู้จักเพื่อนร่วมงานที่เพิ่งยื่นใบลาออก และพออีกไม่กี่สัปดาห์ก่อนจะหมดวาระ พวกเขาจะทำตัวขี้เกียจและปล่อยจอย ลองคิดดูว่าเราจะเป็นพยานที่ดีขนาดไหน ถ้าแทนที่เราจะทำตัวแบบนี้ แต่เราจะทำงานให้หนักกว่าเดิมในสัปดาห์สุดท้ายของเรา! 

เราจะทำได้ก็ต่อเมื่อเราคิดได้ว่าเราไม่ได้ทำงานเพื่อตัวเราเอง แต่เพื่อจะรักพระเจ้าและรักเพื่อนบ้านของเรา ให้ความรักนำทางเราไม่ว่าเราจะอยู่หรือจะไป หรือแม้แต่ตอนที่เตรียมตัวจะออก

YOU MAY ALSO LIKE

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน

WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ  สะสางงานต่างๆ  ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...

เสียงที่ดังพอ

เสียงที่ดังพอ

WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...

Share This