
WRITER: ออกัสตินัส รีอันโต ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ปาลีญา ธนาวัฒนเจริญ
EDITOR: Mustard Seed Team
ผมถูกสอนตั้งแต่ยังเด็กว่าการถวายสิบลดคือ การให้พระเจ้ากลับเพื่อที่จะช่วยให้คริสตจักรของพระองค์เติบโต ผมเริ่มถวายสิบลดตั้งแต่ผมเข้ามัธยมปลาย ทุกๆ เดือน ผมจะกันหนึ่งในสิบของเงินที่ได้ และใส่ไว้ในซองจดหมายพิเศษและเขียนเลขสมาชิกของผมบนซองจดหมาย
ผมยังคงถวายสิบลดแม้ว่าจะย้ายไปที่เมืองอื่นหลังจากจบมัธยมปลาย ช่วงเวลานั้น การกันเงิน 10 เปอร์เซ็นต์เป็นเรื่องง่าย เพราะผมไม่ได้มีสิ่งที่ต้องการมากมายนักในตอนนั้น
เจ็ดปีที่ผมถวายอย่างสัตย์ซื่อ แต่ว่าความมุ่งมั่นของผมเริ่มลดลงตั้งแต่ผมย้ายไปเมืองจากาต้าเพื่อทำงาน สิ่งของในเมืองจากาต้าแพงกว่าเมืองไหนๆ ที่ผมเคยอยู่ ผมต้องจ่ายทั้งค่าที่พัก ค่าเดินทาง ค่าอาหาร และส่งเงินให้พ่อแม่ หนึ่งในสิบของเงินเดือนของผมสามารถใช้จ่ายครอบคลุมค่าอาหารได้หนึ่งสัปดาห์หรือมากกว่านั้น
ผมตัดสินใจหยุดการถวายสิบลดในเดือนที่สี่ของการทำงานโดยไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเพื่อนที่โบสถ์ ถึงแม้ว่าเงินเดือนของผมจะสามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้ แต่ผมรู้สึกว่ามันจะเป็นการฉลาดกว่าถ้าผมจะเก็บ 10 เปอร์เซ็นต์นั้นไว้เพื่อใช้ยามฉุกเฉินแทน
ผมตัดสินใจหยุดการถวายสิบลดในเดือนที่สี่ของการทำงานโดยไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเพื่อนที่โบสถ์
การตัดสินใจนี้ได้รับการยืนยันจากบทความที่ผมอ่านและบทสนทนาที่ผมได้ยินว่า เราไม่จำเป็นต้องถวายสิบลด และสิ่งทีสำคัญกว่าคือ การถวายด้วยใจยินดี (2 โครินธ์ 9:7) สิ่งนี้ทำให้ผมคิดว่ามันคงจะดีกว่าที่ผมจะไม่ถวายสิบลด ถ้าผมรู้สึกไม่เต็มใจหรือไม่สามารถมีใจยินดีในการถวายได้
เงินส่วนสิบลดที่ผม “เก็บ” ไว้ ควรถูกนำไปใช้กับสิ่งที่สำคัญ เช่น การเปลี่ยนมือถือที่หน่วยความจำเต็ม แต่ผมกลับนำไปใช้บนสิ่งที่ไม่ได้จำเป็น เช่น การซื้อตั๋วรถไฟเพื่อไปเที่ยวในบางที่ที่ทำให้ผมสามารถออกจากกิจวัตรประจำวันในจากาต้าได้
ทั้งหมดของฉัน…แต่ไม่ใช่เงินของฉัน?
เป็นเวลากว่า 5 ปีที่ผมหยุดถวายสิบลด แต่สิ่งนี้เปลี่ยนไปเมื่อผมได้คุยกับเพื่อนที่เพิ่งได้งานใหม่ และย้ายไปที่เมืองเล็กๆ หลังจากทำงานหลายปีในจากาต้า
เราพูดคุยในทุกๆ เรื่องจนกระทั่งเขาได้ถามผมว่า “ยังไงก็ตาม คุณยังถวายสิบลดเป็นประจำรึเปล่า?” ผมตกใจกับคำถาม แม้ว่าเราจะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเงินและการบริหารเงิน แต่ผมไม่คิดว่าเราจะไปแตะที่หัวข้อเกี่ยวกับสิบลดและการถวาย
ผมพูดอย่างลังเลว่า “ผมยังถวายสิบลด แต่ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์”
“ทำไม?” ทันใดนั้น เขาเริ่มจริงจังขึ้นและนั่งพิงไปที่พนักเก้าอี้ของเขา “อย่างนั้นก็ไม่เรียกว่าสิบลดสิ คุณรู้ใช่ไหมว่า สิบ หมายถึง สิบเปอร์เซ็นต์?” เขาพูดติดตลกต่อไป
“การใช้ชีวิตที่จากาต้ามันแพงมาก และผมรู้สึกว่าเงินเดือนของผมไม่ได้สูงนัก เงินตรงนี้สามารถเอาไปใช้กับสิ่งอื่นได้”
ถึงแม้ว่าบทสนทนาจะเปลี่ยนไปเป็นเรื่องจริงจัง แต่ผมรู้สึกขอบคุณที่เพื่อนของผมใส่ใจในสิ่งที่ผมพูดและไม่ตัดสินผมบางทีอาจจะเป็นเพราะเราอยู่โบถส์เดียวกันมาหลายปีและเขารู้ว่าผมมักจะสัตย์ซื่อในการถวาย
“นอกจากนั้น” ผมพูดต่อว่า “สิบลดไม่ใช่สิ่งผูกมัดสำหรับเรา เพราะถ้าเราให้เพราะโดนบังคับ มันก็เปล่าประโยชน์” ในขณะที่ผมกำลังพยายามหาข้ออ้างสนับสนุนการตัดสินใจของผม ผมถึงขั้นอ้างพระคัมภีร์ “เปาโลกล่าวในพระธรรมโรม 12:1 ว่าเครื่องบูชาที่พระเจ้ายอมรับคือร่างกายของเรา เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตและเป็นการนมัสการอย่างแท้จริง”
“แต่…คุณจะให้ทั้งชีวิตของคุณได้อย่างไรถ้าคุณยังไม่สามารถให้ 10 เปอร์เซ็นต์ที่คุณมี” เพื่อนของผมถาม
ผมไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนั้นอย่างไรดี ตามหลักเหตุผลแล้ว ผมคิดอย่างนั้นเช่นกัน ผมจะให้ทุกสิ่งรวมถึงชีวิตของผมได้อย่างไร ถ้าผมยังไม่สามารถให้เงินส่วนเล็กๆ ของผม
ลองคิดเรื่องการถวายสิบลดใหม่
แนวความคิดเรื่องสิบลด (สิบลด หมายถึง หนึ่งในสิบ หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ มาจากพระธรรมมาลาคี 3:10 ถึงแม้ว่าจะเป็นพระบัญชาในพันธสัญญาเดิม แต่ผมเชื่อว่ามันยังเป็นข้อมูลอ้างอิงที่เป็นประโยชน์เมื่อคิดถึงการถวาย ถ้าเรามี 100 สิ่งที่เราต้องให้คืนแค่ 10 เรายังเหลือให้ใช้อีก 90 การปล่อยวางสิ่งที่เราผูกพันอยู่ จะช่วยเราที่จะไม่ฝากความมั่นคงของเราอยู่ที่ทรัพย์สมบัติของเรา (มัทธิว 6:21)
ตั้งแต่ที่ผมได้พูดคุยกับเพื่อน ผมตัดสินใจที่จะกลับมาถวายสิบลด ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เกิดขึ้นในทันที
สิ่งแรกที่ผมต้องแก้ไขคือทัศนคติเรื่องการถวาย…
พระเจ้าไม่ได้บังคับให้ผมถวายเงินจำนวนหนึ่งให้พระองค์ แต่การถวายเป็นการแสดงความรัก และการขอบพระคุณต่อพระพรที่ผมได้รับ
พระเจ้าไม่ได้บังคับให้ผมถวายเงินจำนวนหนึ่งให้พระองค์ แต่การถวายเป็นการแสดงความรัก และการขอบพระคุณต่อพระพรที่ผมได้รับ (โรม 8:32, สุภาษิต 3:9-10) ผมอาจจะไม่ได้มีเงินเดือนเยอะมากมาย แต่ผมมีทุกอย่างที่ผมต้องการ และทุกอย่างที่ผมมีจริงๆ แล้วเป็นของพระเจ้า แล้วทำไมผมถึงไม่เต็มใจที่จะมอบให้พระองค์?
และอันที่จริง เพราะผมทำงานให้กับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เงินเดือนของผมมาจากการบริจาคอย่างใจกว้างของคนอื่นๆ ที่พระเจ้าทรงเคลื่อนไหวในพวกเขาให้บริจาคเพื่อสนับสนุนงานนี้
สิ่งที่สองที่ผมทำคือการจัดการรายรับรายจ่ายเงินของผม ผมทำตารางเพื่อติดตามดูงบประมาณและค่าใช้จ่ายของผมในแต่ละเดือน และเมื่อผมได้พัฒนากิจวัตรนี้และบันทึกทุกรายการใช้จ่ายทั้งเงินสดและออนไลน์ ผมเห็นได้ทันทีว่าค่าใช้จ่ายส่วนไหนของผมที่ผมต้องควบคุมเป็นพิเศษ
เมื่อผมเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ ผมไม่เคยประสบปัญหาเงินไม่พอใช้อีกเลย ทั้งหมดนี้ผมได้เรียนรู้ว่าการถวายให้พระเจ้าทำให้ผมได้รับประโยชน์ (สุภาษิต 11:24) ดังนี้
1. เติบโตอย่างมีวินัยในการเรียนรู้การจัดทำงบประมาณรายเดือนและการบริหารการเงิน
2. มีความสุขที่สามารถสนับสนุนโบสถ์ท้องถิ่นของผม
3. ได้รับกำลังใจให้ถวายตัวแด่พระเจ้าอย่างสุดใจ ไม่วางใจในรายได้ของตัวเองแต่วางใจในพระเจ้า
การตัดสินใจที่จะถวายสิบลดเป็นเรื่องส่วนตัว และขึ้นอยู่กับหัวใจของเรา นั้นหมายความว่า มันไม่จำเป็นจะต้องเป็นจำนวนที่มาก แต่เกี่ยวกับความเต็มใจของเราที่จะมอบให้แก่งานของพระเจ้า
พระเจ้าได้ให้ทุกสิ่งแก่ผม ดังนั้นพระองค์สมควรที่จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุด และผมมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งนี้ต่อไป ด้วยใจยินดี
คำถามเพื่อใคร่ครวญ
1. อะไรที่ทำให้เราไม่สามารถถวายด้วยใจกว้างขวางได้?
2. คุณคิดว่ามันสำคัญไหมที่เราควรจะฝึกฝนในการถวายแม้ว่าพระเจ้าจะไม่ได้ “เรียกร้อง” สิ่งนั้นจากเรา?
3. อะไรที่จะช่วยคุณเพื่อให้คุณเริ่มถวายด้วยใจกว้างขวางได้?
YOU MAY ALSO LIKE
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน
WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ สะสางงานต่างๆ ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...
ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?
WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...
เสียงที่ดังพอ
WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...