WRITER: เรเชล มอร์แลนด์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: Joshua
EDITOR: สรสิทธิ์ ฑัมมารักขิตานนท์
ฉันมือสั่นขณะที่ฉันกำลังว้าวุ่นกับการหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตในมือถือว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน
ไม่กี่วินาทีต่อมา ฉันก็พบว่าตัวเองกำลังอ่านถึงอาการของผู้ป่วยที่มีเนื้องอกในสมอง
มีปัญหาด้านการมองเห็น? ใช่
เห็นไหมล่ะ เธอมีอาการหลักสองอัน
แต่ก็มีบางอาการที่ฉันไม่มีนะ
แต่เธอมีสองอาการนี้ไง เธอต้องไปหาหมอ ถ้าเกิดเป็นเนื้องอกในสมองจะทำยังไง
หลังจากหลายสัปดาห์ที่มีปัญหาในการมองเห็น ฉันตัดสินใจนัดหมอด้วยความกลัวเหลือเกินว่านี่จะเป็นอันตรายถึงชีวิตหรือไม่ มันรู้สึกราวกลับว่าเป็นเกลียวแห่งความกลัวที่ทำฉันจมดิ่งลึกและไม่สามารถปีนออกมาได้
ถ้าเกิดผลออกมาว่าเป็นเนื้องอกในสมองล่ะ? หยุด
มันก็จะเป็นคำอธิบายถึงปัญหาด้านการมองเห็นของฉันไง หยุดเดี่ยวนี้นะ
มันอาจเกิดขึ้นมานานแล้วก็ได้นะ หยุดเถอะเรเชล
และเธอก็จะได้พบว่าสิ่งที่เธอกลัวมาตลอดคืออะไร หยุด
มีคนมองไปที่เส้นประสาทตาของเธอและ… หยุด!
ฉันได้ขอร้องหมอด้วยน้ำตาอาบแก้ม ให้หมอตรวจทุกอย่างที่น่าจะเกี่ยวข้องกับอาการที่ฉันเป็น เพื่อจะกำจัดความกลัวนี้ออกไปซะ
หลังจาก 1 ชม. ของการตรวจและสแกนร่างกาย ฉันรู้สึกอายเหลือเกินที่พบว่า ฉันสูญเสียพลังงานและเวลาไปกับความกังวล ที่มากเกินไป หมอบอกว่าอาการปวดหัวและปัญหาในการมองเห็นของฉันนั้นเกิดจาก ความเครียด ซึ่งทางการแพทย์เรียกความผิดปกตินี้ว่า ไมเกรนที่ตา
“ความเครียด?” ฉันพูดขณะที่สั่งน้ำมูกออกไป
“ใช่ เธอแค่ต้องพักผ่อนให้มากขึ้น” หมอยืนยันพร้อมยื่นทิชชูให้ฉันจากนั้นก็ให้คำแนะนำที่ฉันจะไม่มีวันลืม
“จะมีบางสิ่งที่ผิดอยู่เสมอ ถ้าคุณพยายามที่จะหาว่าอะไรเป็นสิ่งที่ผิด”
หมอแนะนำว่าสิ่งที่คุณต้องทำคือแค่พักผ่อนให้เพียงพอ หมอไม่ได้บอกว่ามันเป็นการเสียเวลาที่มาหาเขาในครั้งนี้ แต่เขาชี้ให้เห็นว่าความกลัวมีพลังในการแต่งเติม ให้เราสร้างจินตนาการ และสามารถนำไปสู่ปัญหาได้
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าทุกสิ่งรอบตัวกำลังผิดแปลกไป
บางทีคุณอาจจะไม่เคยรู้สึกชื่นชมยินดีในการเจอกับตอนที่เป็นแพนิก (ภาวะตื่นตระหนกเฉียบพลัน) ในห้องนักจักษุวิทยาเหมือนอย่างที่ฉันเจอ แต่ฉันเชื่อว่าต้องมีสักอย่างในชีวิตของคุณที่ทำให้ความคิดไม่นิ่งสงบเหมือน หนูแฮมสเตอร์ที่วิ่งบนวงล้อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ความสัมพันธ์ งาน สุขภาพ การเงิน หรือ ความเป็นอยู่ส่วนตัว
และยิ่งเราให้น้ำหนักกับสิ่งเหล่านี้มากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งมีพลังทำให้เรากังวลมากขึ้น เหมือนอย่างที่จินตนาการในหัวของฉันทำให้ฉันถูกขังอยู่ในกรงแห่งความกลัวหลายสัปดาห์ ก่อนที่จะไปหาหมอ
ประเด็นเรื่องรูปแบบความคิดที่บั่นทอนนี้อยู่ในใจฉันมาระยะหนึ่งแล้ว ฉันก็ได้เรียนรู้ว่าเราสามารถมีอำนาจเหนือจินตนาการเหล่านั้นและเป็นสิ่งที่ต้องทำให้ได้ ในความเป็นจริงนั้น ความรู้สึกของเราผิดพลาดได้เสมอ และไม่สามารถเชื่อถือได้เลย เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันตระหนักได้ว่าฉันให้เสียงแห่งความคิดแง่ลบเข้ามาแทนที่เสียงของพระเจ้า ฉันรู้ว่าบางสิ่งบางอย่างต้องถูกเปลี่ยน และต้องฟังเสียงที่ถูกต้องแทน
การมีอำนาจเหนือจินตนาการของเราอีกครั้ง
จินตนาการนั้นเป็นส่วนที่น่าตื่นตาตื่นใจในชีวิตของคนเรา มันเป็นสิ่งที่สวยงามที่น่าทึ่ง เป็นแรงบันดาลใจของพวกเรา มันเป็นจุดเริ่มต้นของไอเดียที่สร้างสรรค์ที่หลายคนคาดคิดไม่ถึง ซึ่งนำไปสู่การบ่มเพาะแรงบันดาลใจและการพัฒนาที่ไม่หยุดยั้งของมนุษย์เรา
แต่ว่าจินตนาการนี้ก็สามารถกักขังเราได้เช่นกัน ถ้าเราปล่อยให้มันหลงทางไป
เพื่อนที่รัก ฟังฉันนะ ในขณะนี้มีสงครามเกิดขึ้น เป็นการต่อสู้ในจิตใจของพวกเรา (เอเฟซัส 6:12) ศัตรูพยายามจะเล่นงานจินตนาการของคุณ (2 โครินธ์ 10:3-5) แต่ว่าขอบคุณพระเจ้า เราไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตด้วยการถูกล่ามด้วยความกลัว พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่ดีต่อเราแต่ละคน (เอเฟซัส 2:10) เป็นการจัดเตรียมที่สมบูรณ์ ซึ่งพระองค์ก็ได้ทรงตรัสและสัญญากับพวกเรา (เยเรมีย์ 29:11, ฮีบรู 13:5, 1 เปโตร 5:6-7) สิ่งที่เราต้องทำคือย้ำเตือนความจริงนี้ในใจเราอยู่เสมอ
ฉันไม่รู้ว่าจะมีวิธีไหนที่มีพลังอำนาจในการเอาชนะรูปแบบความคิดเชิงลบไปมากกว่าการใคร่ครวญพระคำพระเจ้า และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมหนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการเอาชนะการพูดกับตัวเองในแง่ลบ คือการเรียนรู้ที่จะมีอำนาจเหนือคำพูดของเรา
จากการที่ตัวเองมีอาการคิดว่าตัวเองป่วย (hypochondriac) จึงทำให้รู้ว่าเราจำเป็นต้องหยุดฟังความคิดที่สับสนไปมาในใจของเรา และเริ่มที่จะฟังเสียงของพระเจ้ารวมถึงแผนการของพระองค์ที่มีในชีวิตของพวกเรา
ถ้าเกิดว่ามีอะไรที่ฉันได้เรียนรู้จากภาวะแพนิคที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า มันคือความจริงที่ว่าชีวิตของเรามักจะเดินตามทิศทางที่เราพูดกับตัวเอง ทั้งความกล้าหาญและความกลัว
แทนที่เมื่อเกิดอะไรขึ้น เราจะตอบสนองด้วยความกังวล ฉันอยากให้คำอธิษฐานและการนึกถึงพระสัญญาของพระเจ้าเป็นการตอบสนองโดยอัตโนมัติที่ทำงานทันทีเมื่อชีวิตไม่เป็นไปตามที่หวังไว้
ฉันไม่ได้กำลังแนะนำให้คุณเพิกเฉยต่อปัญหาที่เกิดขึ้น เราจำเป็นต้องอยู่กับความเป็นจริงและเผชิญกับปัญหาด้วยวิธีแก้ไขที่สามารถลงมือปฏิบัติได้และด้วยพระปัญญาจากพระคัมภีร์ อย่างไรก็ตาม เราก็จำเป็นต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าความคิดของเรานั้นสอดคล้องกับพระเจ้าแค่ไหน สำหรับฉันแล้ว เสียงของพระองค์นั้นมีอิทธิพลในการนำทางชีวิตของฉันไม่ใช่การพูดกับตัวเองในแง่ลบ
ตอนนี้ฉันกำลังปล้ำสู้กับความจริงนี้ ฉันอยากที่จะไปอยู่ในจุดที่สามารถมองเห็นปัญหาและไม่ให้มันเหนี่ยวรั้งฉันไว้เหลือเกิน ให้ฉันได้ยึดและรอคอยพระสัญญาของพระเจ้าอย่างหนักแน่น อันที่จริงในพระคัมภีร์นั้น พระเจ้าได้ทรงสัญญาอยู่หลายครั้งว่า พระองค์จะทรงดูแลลูกของพระองค์ และฉันก็รู้ว่าพระองค์จะทรงดูแลฉัน และนำฉันผ่านความยากลำบากต่างๆ ที่ฉันอาจจะต้องเผชิญ ดังนั้นฉันก็จะยังคงพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะจดจำความจริงนี้ไว้
เราจะไม่ละเจ้าหรือทอดทิ้งเจ้าเลย เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับพวกเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทำร้ายเจ้า เพื่อจะให้อนาคตและความหวังแก่เจ้า (จากพระธรรม ฮีบรู 13:5, เยเรมีย์ 31:3, เยเรมีย์ 29:11)
แล้วคุณล่ะ สนใจอยากร่วมเส้นทางใหม่ในชีวิตด้วยการฟังเสียงแห่งความรักของพระเจ้าไปด้วยกันกับฉันไหม…
YOU MAY ALSO LIKE
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน
WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ สะสางงานต่างๆ ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...
ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?
WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...
เสียงที่ดังพอ
WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...