fbpx
WRITER: เจน ลิม ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: เฮจี คิม
EDITOR: ใจทิพย์ อยู่มั่น

 “สิ่งที่เรากำลังพยายามทำอยู่นี้ มันจะช่วยให้คุณเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน แม้ว่าความวิตกกังวลยังคงอยู่” นักบำบัดของฉันกล่าวเป็นครั้งที่ร้อยแล้ว

นักบำบัดและฉันร่วมมือกันเพื่อจัดการกับโรควิตกกังวลของฉันมานานกว่าสองปีแล้ว บางวันฉันก็รู้สึกก้าวหน้าพอที่ควรจะ “จบ” จากการบำบัดในเร็วๆ นี้ แต่เมื่อใดก็ตามที่มีความเครียดใหม่ๆ เข้ามา ฉันรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังกลับมาที่จุดๆ เดิม มันเป็นความรู้สึกแสบร้อนที่ศีรษะ แน่นหน้าอก คิดอะไรไม่ออก และไม่สามารถทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำได้

ฉันรู้ว่าสิ่งที่นักบำบัดพูดนั้นเป็นความจริง แต่มันก็ยังคงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ดี ฉันไม่อยาก “ใช้ชีวิตกับ” ความวิตกกังวล ฉันอยากเตะมันออกไปและตีมันให้ตาย แต่ฉันก็เรียนรู้ว่านั่นมันไม่ใช่ทางออกที่ดี เพราะการต่อสู้หรือการเอาชนะด้วยการกำจัดไม่เคยใช้ได้ผลกับความวิตกกังวล

แต่ถึงอย่างนั้นการปลอบโยนที่อ่อนสุภาพและการจับมืออย่างนุ่มนวลก็ทำให้การบำบัดก้าวหน้าไปมากแล้ว

เพราะว่าในความเป็นจริงโรควิตกกังวลนั้นไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นเหมือนเด็กที่ถูกกักขังและถูกละเลยมายาวนาน

และกำลังส่งเสียงเรียกร้องให้ผู้คนมาเอาใจใส่ ดูแล และรักษาให้หาย มันมาพร้อมกับความรู้สึกที่ถูกมองข้ามกับคำพูดซ้ำๆ ว่า “อย่าร้องนะ” และ “อย่าไปคิดถึงมัน” มาเป็นเวลาหลายปี

สำหรับคนที่วิตกกังวล อิสระอาจเป็นเหมือนแนวคิดที่แปลกใหม่ แต่ในพระเมตตาอันไม่สิ้นสุดของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงย้ำเตือนให้ฉันนึกถึงเหตุการณ์ที่พระองค์ทรงนำให้ฉันผ่านพ้นไปในทุกๆ ครั้ง อย่างเช่น ในช่วงฤดูร้อน ฉันร้องไห้ตลอดการทำวิทยานิพนธ์ หลายสัปดาห์ที่ฉันใช้ชีวิตอยู่กับความวิตกกังวลขณะที่กำลังสอนในแต่ละวันหรือวันที่ฉันตัดสินใจลาออกแล้วเริ่มต้นใหม่ดีกว่าที่จะจบชีวิตตัวเอง หรือเวลาที่ฉันได้งานใหม่ที่ดีกับฉันมากขึ้น หรือปีที่ฉันเอาตัวรอดจากการทำงานจำนวนมากและผู้จัดการที่ทำงานด้วยกันยาก และอีกหลายๆ เหตุการณ์ในช่วงเวลานั้น

ในการเดินทางครั้งนี้ อิสรภาพมันไม่ได้มีเพียงแค่ครั้งเดียว มันยากที่จะเอาชนะก็จริง ความโล่งใจหายวับไปก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เราจินตนาการไม่ได้หรือไม่มีอยู่จริง

ในการเดินทางครั้งนี้ อิสรภาพมันไม่ได้มีเพียงแค่ครั้งเดียว มันยากที่จะเอาชนะก็จริง ความโล่งใจหายวับไปก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เราจินตนาการไม่ได้หรือไม่มีอยู่จริง พระเยซูเสด็จมาเพื่อช่วยฉันทุกครั้งและฉันรู้ว่าพระองค์จะทรงทำเช่นนั้นต่อไปจนถึงที่สุด

และถึงแม้ว่ามันจะฟังดูแปลกๆ แต่นี่ก็คืออิสรภาพสำหรับคนขี้กังวลอย่างฉัน

 

 

1. มีอิสระที่จะร้องไห้ ยอมแพ้ และจำนนต่อความกลัวจากความล้มเหลวและความละอาย

ตั้งแต่วัยเด็ก ฉันถูกปลูกฝังมาเสมอว่าการร้องไห้เป็นสิ่งที่คนอ่อนแอเขาทำกัน การยอมแพ้เป็นสิ่งที่คนขี้เกียจเขาทำกัน และการประสบความล้มเหลวเป็นสิ่งที่คนไร้ความสามารถเขาเผชิญกัน ดังนั้นเกือบทั้งชีวิตฉัน ฉันเก็บความรู้สึกไว้ข้างใน และก่อนที่ฉันจะอายุยี่สิบกว่าๆ ฉันไม่เคยล้มเลิกหรือยอมแพ้ให้กับอะไรที่สำคัญ เพราะฉันจะไม่เริ่มอะไรจนกว่าจะมั่นใจว่าฉันสามารถทำมันสำเร็จ

แต่เมื่อความวิตกกังวลของฉันมาถึงจุดสูงสุด ฉันเรียนรู้อย่างรวดเร็วว่าการร้องไห้ก็เปรียบเสมือนวาล์วที่จะปลดปล่อยและการปล่อยให้ตัวเองสามารถล้มเลิกหรือล้มเหลวได้นั้นก็จะทำให้เกิดความรู้สึกโล่งใจ

และฉันร้องไห้

ฉันปลดปล่อยความกลัวที่คิดว่าคนอื่นจะมองฉันอย่างไร ฉันรู้ว่าพระเจ้ารับเอาหยดน้ำตาและความกลัวต่างๆ (สดุดี 116:1-6) และทำให้ฉันมั่นใจว่าฉันนั้นเป็นที่รัก

แม้จะเขียนภายใต้สถานการณ์ที่ต่างกัน แต่คำพูดของอาจารย์เปาโลยังคงปลอบโยนฉันได้อย่างมาก: “ไม่ถูกบดขยี้ ถูกตีให้ล้มลง แต่ก็ไม่ถูกทำลาย” “ฉะนั้นเราจึงไม่ย่อท้อ” (2 โครินธ์ 4:8, 16) สำหรับความอ่อนแอทั้งหมดของฉัน พระเจ้าประทานฤทธิ์อำนาจที่เหนือกว่าของพระองค์ (ข้อ 7) ดังนั้นแม้ว่าฉันจะล้มลง พระองค์ก็จะทรงนำให้ฉันลุกขึ้นใหม่

2. มีอิสระที่จะปฏิเสธและแยกออกจากความต้องการที่เป็นไปไม่ได้

ในบางครั้ง ฉันเจอคนที่ทำงานแบบทุ่มสุดตัวและพูดว่า “เราสามารถทำได้และต้องทำ” แม้จะดูเป็นแรงบันดาลใจก็จริง แต่การนึกภาพว่าตัวเองต้องทำแบบเดียวกันนี้ทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายและไม่มีความสุขเลย

เมื่อผู้คนเข้ามาด้วยความคาดหวังและตารางงานต่างๆ ที่เป็นไปได้ยาก อิสระก็จะเกิดขึ้นเมื่อฉันรับรู้และยอมรับในข้อจำกัดของเวลา ทรัพยากร และร่างกายตัวเอง

ฉันจึงมีอิสระเมื่อปฏิเสธในสิ่งที่ฉันทำไม่ได้ เพื่อที่ฉันจะสามารถจัดลำดับความสำคัญและตอบตกลงในสิ่งที่สำคัญจริงๆ

เรามีอิสระที่จะเป็นตัวของตัวเอง เพราะพระเจ้าผู้ทรงอานุภาพและไร้ขอบเขตนั้นทรงห่วงใยเรา (สดุดี 73 : 26) และเมื่อเราทำงานเพื่อพระเจ้าไม่ใช่เพื่อคนอื่น (โคโลสี 3:23) เราก็จะเรียนรู้ที่จะให้ความคาดหวังและความปรารถนาของพระองค์อยู่เหนือสิ่งอื่นใด

3. มีอิสระในการพักสงบและพักในช่วงสิ้นวัน

เมื่อร่างกายของฉันเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานและความวิตกกังวล มันจะมีจุดที่ร่างกายฉันพบว่าไม่มีอะไรเหลือที่จะให้อีกต่อไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า ร่างกายและจิตใจของฉันจะรู้จักวิธีการพักผ่อน

ฉันตระหนักได้ว่า ตลอดปีที่ผ่านมาฉันเคยขอให้พระเจ้าประทานกำลังในการทำงานมาหลายปี แต่ฉันไม่เคยขอให้พระเจ้าสอนวิธีพักผ่อนเลยจนถึงตอนนี้

เพราะการพักผ่อน หมายถึง การละทิ้งการควบคุม มันคือการรู้ว่าควรจะหยุดเมื่อไหร่และอย่างไร แม้ในขณะที่คุณต้องการไปต่อ

ดังคำกล่าวอันชาญฉลาดของปัญญาจารย์ผู้เฉลียวฉลาดท่านหนึ่งได้กล่าวว่า

เพราะว่ามนุษย์ได้อะไรจากการตรากตรำทั้งสิ้น และการดิ้นรนที่เขาต้องตรากตรำภายใต้ดวงอาทิตย์เล่า? เพราะว่าปีเดือนทั้งหมดของเขามีแต่ความเจ็บปวด และภารกิจของเขาก่อความทุกข์ระทม ถึงกลางคืนจิตใจของเขาก็ไม่หยุดพักสงบ นี่ก็อนิจจังด้วย สำหรับมนุษย์นั้นไม่มีอะไรดีไปกว่ากินและดื่ม กับชื่นชมผลจากการตรากตรำของเขา นี่แหละข้าพเจ้าเห็นด้วยว่าเป็นมาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า ด้วยถ้าไม่อาศัยพระองค์แล้วใครจะกินได้เล่า? หรือใครจะชื่นบานได้?

ดังนั้น ในตอนสิ้นวัน ฉันจะดูรายการสิ่งที่ต้องทำและยอมรับว่าฉันทั้งทำบางอย่างเสร็จและไม่เสร็จ แต่นั้นก็ไม่เป็นไร ฉันขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงเห็นว่าการสร้างกลางวันและกลางคืนนั้นดี และฉันขอให้พระองค์ช่วยให้ฉันได้รับความชื่นชมยินดีในการพักสงบจากพระองค์

1 เปโตร 5:6-7 กล่าวว่า

เพราะฉะนั้น พวกท่านจงถ่อมตัวลงภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อว่าพระองค์จะทรงยกพวกท่านขึ้นเมื่อถึงเวลาอันควร จงละความกังวลทุกอย่างของพวกท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย

แต่พระธรรมตอนนี้ไม่ใช่คาถาวิเศษที่ทำให้ความวิตกกังวลหายไป ตรงกันข้าม สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เราทราบถึงแก่นแท้ของเรื่องนี้โดยแสดงให้เราเห็นว่าความวิตกกังวลและความถ่อมใจเกิดขึ้นควบคู่กันอย่างไร

เมื่อเราตระหนักถึงจุดยืนของเราจากฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เราถูกให้วางใจในพระองค์ ให้ขจัดความวิตกกังวลจากความล้มเหลวและความขายหน้า และให้แลกสิ่งเหล่านั้นเป็นความถ่อมใจ เราเรียนรู้ที่จะใช้อิสระในการยอมแพ้ การปฏิเสธ และการพักสงบ

ทุกครั้งที่ฉันเกิดความกังวล มันเป็นการกระตุ้นให้ฉันทำ “แบบฝึกหัดความไว้วางใจเหล่านี้” กับพระเจ้า ถอยกลับไปยังพระเมตตาและพระคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระองค์ รับแอกของพระองค์ และเรียนรู้จิตใจที่อ่อนโยนและถ่อมตนของพระองค์ (มัทธิว 11:28- 30)

YOU MAY ALSO LIKE

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน

WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ  สะสางงานต่างๆ  ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...

เสียงที่ดังพอ

เสียงที่ดังพอ

WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...

Share This