WRITER: เมลิซ่า โกะ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: แนน โชติรัตน์
EDITOR: Toey Jaitip
เพียงแค่เราหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และเลื่อนดูเนื้อหาต่างๆ ที่ถูกโพสต์ในโลกโซเซียลมีเดียก็สามารถทำให้ความรู้สึกมั่นใจของเราลดลงได้ แม้เราจะรู้ว่าสิ่งที่เราเห็นบนโลกโซเชียลมีเดียนั่นแสดงเพียง “ด้านความจริง” ที่คนๆ นั้นต้องการจะให้เห็น แต่บางครั้งเราก็อดไม่ได้ที่จะจมอยู่ในกับความคิดที่อาจจะทำร้ายจิตใจของเราได้โดยที่เราไม่รู้ตัว
ฉันจะบรรยายความคิดบางส่วนที่เกิดขึ้นในจิตใจของฉัน เมื่อฉันไม่รู้จักที่จะปกป้องจิตใจจากภัยอันตรายที่แฝงมากับโลกโซเชียลมีเดีย:
ฉันรู้สึกไม่มีความสุขเลย เมื่อได้เห็นชีวิตของคนอื่นก้าวไปข้างหน้าทั้งในด้านอาชีพการงาน และการเงิน หรือสามารถซื้อสิ่งของบางอย่างที่ตัวฉันเองก็อยากจะซื้อ แต่ก็ทำได้เพียงแค่มองและคิดว่า “วันหนึ่งฉันคงจะได้ซื้อบ้างแหละ”
ฉันอิจฉาเส้นทางที่คนอื่นเลือก ซึ่งดูจะประสบความสำเร็จมากกว่าเส้นทางของฉัน บางครั้งฉันรู้สึกไม่สบายใจและกังวลว่าเงินเดือนของฉันอาจจะไม่เพียงพอในการใช้จ่ายในแต่ละเดือน และเงินเดือนที่ฉันได้รับนั่นก็น้อยกว่าความต้องการของฉันมาก ดังนั้นฉันจึงหันไปฟังรายการสนทนาที่เกี่ยวกับการลงทุน เพื่อเรียนรู้เคล็ดลับการลงทุนอย่างชาญฉลาด โดยคิดว่า “นี่อาจเป็นโอกาสครั้งใหญ่ในชีวิตของฉัน!”
จากปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้ฉันกลายเป็นคนวิตกกังวลได้ง่ายๆ ดังนั้นฉันจึงหาวิธีผ่อนคลายความกังวล ด้วยการเลื่อนดูอินสตาแกรม (Instagram) และสิ่งที่ฉันได้รับจากการดูอินสตาแกรมก็คือ ความรู้สึกว่างเปล่าที่เพิ่มขึ้นในชีวิต ซึ่งเกิดจากการที่ฉันดูชีวิตของคนอื่น หรือดูสิ่งที่ฉันอยากจะได้ แล้วก็ได้แต่วาดฝันว่า “ถ้าเกิดฉัน… ถ้าเป็นฉัน… ถ้าฉัน…” และวงจรแห่งความทุกข์ก็ดำเนินต่อไป เมื่อฉันเลื่อนดูโซเชียลมีเดียเสร็จ ฉันก็เริ่มอารมณ์เสีย ไม่พอใจ และเกิดความทุกข์
และเหตุการณ์นี้เอง จึงทำให้ฉันเกิดคำถามและความสงสัยว่า เราในฐานะคริสเตียนจะมีความยินดีและพึงพอใจในโลกที่ด่ำดิ่งไปสู่ความบาปนี้ได้อย่างไร
ต่อไปนี้คือความจริงสี่ประการจากพระคัมภีร์ที่จะทำให้เรามีความมั่นใจได้เมื่อต้องเผชิญกับการถูกครอบงำโดยแรงกดดันของโลกนี้
1. เราได้รับพระพรเหนือขุมทรัพย์ทางโลก
เมื่อใดก็ตามที่ฉันรู้สึกว่าชีวิตของฉันไม่มีคุณค่า ฉันรู้สึกสบายใจทุกครั้งเมื่อได้คิดถึงความจริงที่ว่า เมื่อเราเลือกที่จะเชื่อ ไว้วางใจ และมอบชีวิตไว้ในพระคริสต์ เราจะกลายเป็นบุตรแห่งอาณาจักรของพระองค์ (โรม 8:17)
นี่เป็นความจริงที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับเราที่ควรจะระลึกอยู่เสมอ เพื่อเราจะไม่ลืมพระสัญญาอันวิเศษที่เรามีไว้กับพระองค์
ดังที่นักเขียนชาวอเมริกัน มาร์แชล ซีกัล กล่าวไว้ในบทความเรื่อง “อยู่อย่างลูกชายและลูกสาวของพระเจ้า (Live Like Sons and Daughters of the King)”:
ประการแรกคือ เมื่อพระเจ้าทรงไถ่เรา นั้นหมายความว่า พระองค์ทรงรับประกันแล้วว่าจะทรงค้ำจุนเราตลอดไปและจะไม่ลืมหรือทอดทิ้งลูกๆ ของพระองค์อย่างเด็ดขาด ดังนั้นในพระคริสต์เราจึงมีความปลอดภัยนิรันดร์ ประการที่สองคือ เรามีความสนิทสนมและมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเป็นส่วนตัวกับพระบิดาบนสวรรค์ ผู้ทรงรู้จักเราอย่างถี่ถ้วน ผู้ทรงรักเราตลอดเวลา และผู้ทรงสัญญาว่าจะปกป้องและเลี้ยงดูเรา ประการที่สามคือ ในพระคริสต์ เราเป็นบุตรของพระองค์ และเมื่อเราอยู่ในฐานะของบุตรแล้ว พระบิดาจึงทรงประทานทุกสิ่งทั้งความปลอดภัย ความใกล้ชิด และความเจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริงให้กับเรา
สมบัติล้ำค่าที่พระเจ้าทรงตั้งใจให้กับเรานั้นไม่เหมือนกับสิ่งที่โลกนี้มอบให้ ในขณะที่เราถูกสอนให้แสวงหาการยอมรับจากสังคมโลก พระคริสต์ทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อเรา จึงทำให้เราได้อยู่ในอาณาจักรของพระองค์
เมื่อฉันเดินอย่างใกล้ชิดกับพระเจ้าและดำเนินชีวิตตามคำแนะนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว ฉันจึงได้รู้ว่า ฉันได้รับพระพรเกินกว่าที่สมบัติล้ำค่าที่สุดที่ในโลกนี้จะให้ได้ แทนที่จะปล่อยให้ตัวเองถูกความอิจฉาริษยาหรือความขมขื่นเข้าครอบงำ ฉันขอแสวงหาและพึ่งพาพระบิดาบนสวรรค์ดีกว่า เพราะฉันรู้ว่าพระเจ้าจะทรงประทานทุกสิ่งตามความต้องการที่จำเป็นให้กับฉัน
2. เราสามารถปล่อยความกังวลของเราไว้ที่พระเจ้าได้
การเลือกติดตามพระเจ้าของเราคือ การที่เราไว้วางใจในพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อเราอยู่ตลอดเวลา เมื่อใดก็ตามที่ความกลัวและความกังวลผุดขึ้นในใจของเรา ขอให้เราส่งมันต่อไปให้พระเจ้าทันที ดังที่พระธรรม ฟีลิปปี 4:6-7 เตือนเราว่า
อย่ากระวนกระวายในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลพระเจ้าให้ทรงทราบทุกสิ่งที่พวกท่านขอ โดยการอธิษฐานและการวิงวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านทั้งหลายไว้ในพระเยซูคริสต์
มันเป็นความท้าทายของชีวิตนะที่จะไม่วิตกกังวลกับสิ่งใดๆ ที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรารู้สึกว่างานที่เราทำอยู่ ณ ตอนนี้ไม่มีความก้าวหน้า จนทำให้อาชีพการงานของเราไม่ก้าวหน้าไปเหมือนเพื่อนๆ ที่ก้าวไปสู่จุดสูงสุดในอาชีพการงานของพวกเขา แต่เมื่อเราระลึกว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเรา และเลือกที่จะวางใจในพระองค์ เราจะเปลี่ยนจากความรู้สึกขมขื่น ความรู้สึกกลัว และความรู้สึกวิตกกังวล เป็นการไว้วางใจในพระองค์ได้อย่างรวดเร็ว
3. มุ่งความสนใจไปที่ความรักที่ไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า
หลังจากสำเร็จการศึกษาด้านกฎหมาย ฉันก็ต้องการท้าทายตัวเองด้วยการไปทำงานในตัวเมือง ทันทีที่ฉันเรียนจบ ฉันก็รีบสมัครงานในตำแหน่งที่ว่างต่างๆ มากมาย และในที่สุดก็ได้งานที่บริษัทเล็กๆ อยู่ในตัวเมืองที่มีความเชี่ยวชาญในงานด้านการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาโดยเฉพาะ แต่หลังจากทำงานได้เพียงสองเดือน ฉันก็เริ่มที่จะหวาดหวั่นกับปัญหารถติดที่เกิดขึ้นในทุกวันของการไปทำงาน และฉันก็ยังมีความหวาดหวั่นกับรูปแบบการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในสถานที่ทำงาน ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกไม่มีคุณค่าเลย
ดังนั้นฉันจึงออกจากงานนั้นและกลับไปสู่ช่วงเวลาของการหางานอีกครั้ง แต่คราวนี้แทนที่ฉันจะหางานที่ท้าทายความสามารถของฉัน ฉันกลับใช้เวลาในการไตร่ตรองและแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของฉัน
แม้ว่าการที่จะกลับไปสู่ภาวะการว่างงานจะเป็นที่ทำใจยอมรับได้เรื่องยาก เพราะตอนนี้เพื่อนคนอื่นๆ ของฉัน เขาเจริญรุ่งเรืองในที่ทำงานกันไปหมดแล้ว แต่ลึกๆ ในใจฉันก็รู้ว่า ฉันต้องการงานที่จะช่วยให้ฉันมีความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว
เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง ฉันก็ได้พบกับสถานที่ทำงานใหม่ ซึ่งอยู่ใกล้บ้านของฉันมากขึ้น เพราะเหตุนี้เอง ฉันจึงสามารถเดินทางกลับบ้านไปหาครอบครัวได้ทุกๆ วันโดยไม่รู้สึกเหนื่อย และฉันยังสามารถรับใช้ที่คริสตจักรของฉันได้ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ ฉันไม่จำเป็นต้องย้ายออกห่างจากคริสตจักร หรือจากที่บ้านเหมือนเพื่อนหลายๆ คน ซึ่งสิ่งนี้มันมีความหมายสำหรับฉันเป็นอย่างมาก
เมื่อฉันมองย้อนกลับไปในชีวิตของฉันครั้งนี้ มันเตือนใจฉันว่า ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมเราจึงต้องประสบกับความพ่ายแพ้ชั่วคราว เราจะต้องไม่ตอบโต้ด้วยท่าที “หงุดหงิด” แต่เราจะต้อง “สงบอยู่ต่อพระยาห์เวห์ และเพียรรอคอยพระองค์. . . ” (สดุดี 37:7)
เมื่อเราจดจ่อกับสิ่งที่โลกนี้แสดงให้เราเห็นหรือไม่ให้อภัยกับสิ่งต่างๆ ที่เราเคยพลาดมากจนเกินไป เราจะมองไม่เห็นความรักและพระประสงค์อันไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้าในชีวิตของเรา แผนการของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเราอาจไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่เราใฝ่ฝันไว้ แต่เมื่อเราปฏิบัติตามแนวทางของพระองค์ด้วยความเชื่อและไว้วางใจ ชีวิตของเราก็จะเกิดผลแห่งความชอบธรรม
4. ลงทุนในอาณาจักรนิรันดร์
สุดท้ายนี้ ในฐานะผู้ติดตามพระคริสต์ เราต้องลงทุนในการสร้างอาณาจักรของพระเจ้ามากขึ้น และต้องลงทุนในทางโลกให้น้อยลง
ดังที่พระธรรมมัทธิว 6:19-21, 33 ได้เตือนเราว่า สมบัติทางโลกของเราสามารถถูกทำลายได้โดยสนิมและแมลงเม่า หรือถูกขโมยลักไป แต่ทรัพย์สมบัติของเราในสวรรค์จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์
สำหรับฉัน การลงทุนในการสร้างอาณาจักรของพระเจ้าดูเหมือนจะเป็นการใช้เงินเดือนที่พระเจ้าประทานพรให้ฉัน ช่วยสนับสนุนนักศึกษาพระคัมภีร์ที่กำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนพระคัมภีร์ หรือการระดมทุนเพื่อส่งมอบเครื่องอุปโภคบริโภคให้กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดร้ายแรง
ฉันยังมีโอกาสส่งต่อพระพรแก่ผู้อื่นด้วยวิธีการที่ไม่ใช่ทางการเงิน เช่น การเป็นผู้นำการนมัสการออนไลน์ เนื่องจากการการนมัสการรูปแบบปกติต้องหยุดชะงักชั่วคราว เพราะข้อจำกัดของสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19
แม้ว่าการจัดสรรเงินเดือนส่วนหนึ่งเพื่อเป็นพรแก่ผู้อื่นอาจหมายความว่า ฉันจะไม่สามารถซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมหรือเครื่องสำอางตัวล่าสุดได้ แต่การใช้เงินที่พระเจ้าประทานให้เป็นประโยชน์นั้นคุ้มค่ามากกว่าความสุขทางโลก
แม้ว่าเราจะรู้สึกว่าสถานการณ์ในชีวิตกำลังผลักดันเราให้ถึงขีดจำกัด มันก็จะเป็นสิ่งหนุนใจเราที่จะจดจำไว้ว่าไม่มีอะไรที่ยากเกินไปสำหรับพระเจ้า และให้เราพึ่งพาพระคุณของพระองค์เพื่อเสริมกำลังเราในแต่ละวัน เพราะทุกช่วงเวลาที่เราใช้ชีวิตโลกกำลังหลอกล่อให้เราดำเนินชีวิตที่แตกต่างออกไปจากเดิมอยู่เสมอ ดังนั้นขอให้เราอธิษฐานและทูลขอสติปัญญาจากพระเจ้าในทุกช่วงเวลาของชีวิต เพื่อที่รากฐานของเราในพระคริสต์จะมั่นคงและปลอดภัย
YOU MAY ALSO LIKE
กังวลจนไม่หลับไม่นอน
WRITER: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ฉันนอนไม่หลับทั้งคืน บางคืนเราก็มีอาการนอนไม่หลับ หลับๆ ตื่นๆ พอเช้าตื่นมาก็ไม่สดชื่น อารมณ์ไม่ดี การนอนไม่หลับส่งผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่เป็นครั้งคราว แต่สําหรับบางคนอาจเจอปัญหานี้เป็นประจำ...
ทำไมเราถึงไม่กล้าปฏิเสธ
WRITER: ซาร่า โซ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: สุมิตรา ชามรามดาบานEDITOR: ปวีณา นิลบุตร “ถ้าใช่ก็จงบอกว่าใช่ ถ้าไม่ใช่ก็จงบอกว่าไม่ใช่” (ยากอบ 5:12) ขณะที่ฉันเขียนข้อความนี้ ฉันเพิ่งจะพูดว่า "ไม่" ที่จะฟังความขัดข้องใจของแม่เรื่องคนสนิทในครอบครัว...
พระเจ้าช่วยฉันผ่านประสบการณ์เลวร้าย (ถูกล่วงละเมิดทางเพศ)
WRITER: แคทเธอรีน ฟลินน์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ในปี 2003 ฉันอายุ 24 ปี และอาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษตอนที่ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยเพื่อนร่วมห้องของฉัน...