WRITER: ซาราห์ โซ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ณัฐพร ชังเจริญ
EDITOR: Mustard Seed Team
การแต่งงานเป็นสิ่งที่ฉันต้องการมาโดยตลอดตั้งแต่อายุยังน้อย ตั้งแต่ฉันได้เห็นพ่อแม่และปู่ย่าตายายว่าการได้แต่งงานนั้นเป็นเช่นไร ความรักที่ยั่งยืนและทุ่มเทของพวกท่านพร้อมด้วยความมั่นคงที่พระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางของชีวิตคู่นำมาซึ่งความสามารถในการรัก การยอมรับ และการเสียสละในครอบครัว สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่โดดเด่นมากสำหรับฉัน ไม่มีครอบครัวหรือการแต่งงานใดที่สมบูรณ์พร้อม แต่ความพยายามอย่างตั้งใจที่จะรักและรับใช้กันและกันโดยมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางนั่นแหละที่ทำให้การอภัยและการคืนดีเป็นไปได้
ฉันต้องยอมรับว่าปีแล้วปีเล่าที่ต้องเป็นโสด (อย่างเลี่ยงไม่ได้) เป็นช่วงเวลาที่ยากสำหรับฉัน จากช่วงวัยรุ่นสู่วัยสาว ฉันมั่นใจว่าตัวฉันมีอะไรบางอย่างที่ ‘ผิดปกติ’ และนั่นทำให้ฉันเป็นคนที่ไม่สามารถ ‘เดต’ ด้วยได้ ฉันคิดว่าบางทีฉันอาจดูทะมัดทะแมงมากเกินไป เฉลียวฉลาดมากเกินไป กระทั่งมีความกระตือรือร้นในความเชื่อมากเกินไป
ฉันรู้สึกขอบคุณจริงๆ ที่ฉันไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการแต่งงาน แต่พระเจ้าเป็น เพราะไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ตาม การแต่งงานนั้นเป็นความคิดของพระองค์ ฉันรู้สึกขอบคุณสำหรับคำแนะนำและคำอธิษฐานของเหล่าที่ปรึกษาและพี่น้องในพระคริสต์ ที่บอกฉันว่าอย่าด่วนลงหลักปักฐานกับคนที่ดีรองลงมาแต่ต้องเป็นคนที่ดีที่สุด ให้อธิษฐานอย่างเฉพาะเจาะจงในเรื่องของคู่ครอง ให้จำไว้เสมอว่าพระเจ้ารักฉันและพระองค์รู้ความต้องการของฉันในชีวิตคู่ และให้วางใจในวันเวลาและการจัดเตรียมของพระองค์
ในขณะที่ฉันเป็นโสดอยู่นั้น มีคำถามมากมายที่ฉันเคยลองถามตัวเอง และในตอนนี้ ฉันที่เพิ่งได้เริ่มต้นความสัมพันธ์เป็นครั้งแรกก็รู้สึกดีใจมากที่ได้ใช้เวลาใคร่ครวญถึงคำถามเหล่านั้นอย่างจริงจัง
1. เป้าหมายในความสัมพันธ์ของฉันคืออะไร
ตอนแรก ฉันต้องการความสัมพันธ์ที่โรแมนติกและการแต่งงานเพื่อที่จะได้รู้สึกว่าฉันนั้น “ปกติ” ท่ามกลางเพื่อนๆ และเพื่อได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ในท้ายที่สุดฉันเพิ่งเรียนรู้ว่าเป้าหมายต่างๆ เหล่านี้นั้นเล็กเกินกว่ามุมมองของพระเจ้า
ในซีรี่ส์คำเทศนาเรื่องชีวิตคู่ Timothy Keller กล่าวว่า เป้าหมายสูงสุดของการแต่งงานทางโลกคือการนำมาซึ่งความบริสุทธิ์ทางจิตวิญญาณ (spiritual refinement) เพื่อสามีและภรรยาจะช่วยเหลือกันและกันให้เป็นเหมือนอย่างพระคริสต์มากยิ่งขึ้น จนกว่าจะถึงวันที่ทั้งคู่ได้กลับคืนสวรรค์
ด้วยความช่วยเหลือของข้อความข้างต้น รวมถึงหนังสือ คำเทศนา และพอดแคสต์เกี่ยวกับความสัมพันธ์และชีวิตคู่ ฉันจึงได้ใคร่ครวญถึงเป้าหมายในความสัมพันธ์ของฉันใหม่ ดังนี้
- เพื่อเราทั้งคู่จะได้รักและถวายงานรับใช้พระเจ้ามากขึ้นด้วยกัน – ถึงแม้ตอนนี้ฉันเองก็กำลังรับใช้พระเจ้าอยู่ และนั่นจะเป็นการดีมากยิ่งขึ้นเมื่อทั้งฉันและสามีในอนาคตของฉันจะได้ร่วมรับใช้เคียงข้างกันและกันเพื่อแผ่นดินของพระองค์
- เพื่อจะได้เรียนรู้มุมมองที่โรแมนติกของพระเยซู – ฉันรู้จักพระเยซูในฐานะเพื่อนและรู้จักพระเจ้าในฐานะพระบิดามาระยะหนึ่งแล้ว และฉันเองก็อยากรู้จักพระองค์ในฐานะคนรักด้วย เพื่อให้การแต่งงานในโลกของฉันส่อทางให้เห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพระคริสต์และเจ้าสาวของพระองค์ ซึ่งก็คือคริสตจักร
2. ฉันจะอยากเดตกับตัวเองไหม?
ในขณะที่ฉันอธิฐานกับพระเจ้าถึงสามีในอนาคตฉันก็พบว่า มีลักษณะบางประการใน ‘ลิสต์’ ของฉันที่ยังคงเหมือนเดิมเป็นเวลาหลายปี ในแง่ของ:
- ความเชื่อ : มีความสัมพันธ์ที่กระตือรือร้นกับพระเจ้า รู้เป้าหมายของชีวิตเขาเอง เป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณของครอบครัวเราได้
- ลักษณะการเข้าสังคมหรือบุคลิก : เป็นคนตลก เป็นผู้ฟังที่ดี คุยได้ทุกเรื่อง จริงใจ ให้เกียรติและดูแลครอบครัวของเขาได้
- สุขภาพทางอารมณ์ : เป็นคนที่ยอมรับฟังคำสอน มีความรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจในตัวเอง
- สุขภาพทางปัญญา : มีกรอบความคิดแบบเติบโต (Growth Mindset)
- มีความขยันหมั่นเพียรในการดูแลสุขภาพและรูปลักษณ์ของตัวเอง
วันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังอธิษฐานถึงลิสต์เหล่านี้ในช่วงเวลาที่ฉันเฝ้าเดี่ยว ฉันก็รู้สึกว่าพระเจ้าได้สัมผัสหัวใจของฉันและตรัสว่า “แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าเป็นเหมือนอย่างในลิสต์เหล่านี้แล้วหรือยัง?” นั่นทำฉันอึ้งไปเลย จากนั้นฉันจึงเริ่มใช้ลิสต์เหล่านั้นเสมือนกระจกที่สะท้อนตัวฉันเอง “ฉันมีความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับพระเจ้าแล้วหรือยัง? ฉันเคารพและดูแลครอบครัวของฉันแล้วหรือยัง? ฉันเป็นคนที่สอนได้และจริงใจที่จะแบ่งปันไหม?”
จนถึงจุดหนึ่ง ฉันคิดมาตลอดว่าชีวิตของฉันจะเริ่มต้นขึ้นก็ต่อเมื่อฉันเริ่มคบกับใครสักคนและแต่งงานกับเขา
แต่ใครจะอยากคบกับฉัน ถ้าหากฉันมัวแต่รอคอยใครสักคนเพื่อที่จะ ‘เริ่มต้น’ ชีวิตของฉันเอง?
และหากว่าสามีในอนาคตของฉันมีคุณสมบัติตามนั้นจริง เขาจะไม่ได้กำลังมองหาภรรยาในอนาคตที่มีคุณสมบัติคล้ายกันอยู่หรอกหรอ?
ในวันนั้นฉันจึงอธิษฐานว่า “พระเจ้าคะ ลูกจะไม่สองมาตรฐานอีกแล้ว พระองค์ทรงให้ลูกมีความปรารถนาที่จะพบสามีในอนาคตผู้มีคุณสมบัติเหล่านี้ ขอทรงโปรดที่จะสอนให้ลูกเป็นผู้หญิงที่พระองค์ทรงพอพระทัยด้วยคุณสมบัติที่เป็นไปได้เหล่านี้ด้วย อย่าให้ลูกคาดหวังสิ่งที่ลูกไม่ได้คาดหวังในตัวเองกับผู้อื่นเลย”
3. มีที่พอสำหรับความสัมพันธ์ที่จริงจังในชีวิตของฉันหรือเปล่า?
เพื่อจะวัดดูให้แน่ใจ ฉันคิดถึงมันในลักษณะนี้ คือหากฉันจะต้องแต่งงานในเร็วๆ นี้ ฉันพร้อมหรือยังสำหรับสิ่งต่างๆ ที่จะตามมาจากการแต่งงานทั้งในทางปฏิบัติ อารมณ์ จิตวิญญาณ และการเงิน?
นั่นเป็นความคิดที่น่ากังวล แต่ฉันรู้ว่าการที่ฉันจะมีใครสักคนที่สำคัญเข้ามาในชีวิต (และก็กลายเป็นคนสำคัญในชีวิตของเขาเช่นกัน) มันจะต้องอาศัยความเป็นหนึ่งเดียวกันและการประนีประนอม และนี่คือสิ่งที่ฉันจะต้องคิดให้รอบครอบ
- ในทางฝ่ายวิญญาณ ฉันเป็นคนที่มั่นคงในการใช้เวลากับพระเจ้า และยอมให้พระองค์ทำลายความคิดที่อันตรายและนิสัยที่ไม่น่ารักของฉันแล้วหรือยัง? ฉันได้หยั่งรากในกลุ่มคนที่เข้มแข็งและอยู่ในทางของพระเจ้าที่จะช่วยให้ฉันเติบโตฝ่ายวิญญาณแล้วหรือยัง?
- ในทางปฏิบัติ ตารางเวลาของฉันจะทำให้ฉันสามารถใช้เวลาร่วมกันกับสามีในอนาคตของฉันได้ไหมในแต่ละวัน? ฉันพร้อมที่จะปรับคำมั่นสัญญาของฉันไปพร้อมกับคู่ชีวิตของฉันหรือไม่?
- ในด้านสังคมและอารมณ์ ฉันเป็นผู้ใหญ่พอและพร้อมที่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเองไหม? ฉันพร้อมไหมที่จะรับฟังเรื่องราวต่างๆ – ความสุขและปัญหาต่างๆ ของเขา?
- ในด้านการเงิน ฉันพร้อมไหมที่จะช่วยแบกภาระค่าใช้จ่ายในงานแต่งและค่าบ้านของเรา? ฉันพร้อมไหมที่จะวางแผนและคุยกันถึงเรื่องการเงินของเรา?
- ในด้านสุขภาพ ฉันพอใจในกิจวัตรการกินอาหาร การออกกำลังกาย และการนอนของตัวเองแล้วหรือยัง?
มองย้อนกลับไป ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าสำหรับวันเวลาที่ดีเยี่ยมของพระองค์ที่ทรงกระทำในหัวใจของฉัน – ทำลายกำแพง การเสพติด และวิญญาณแห่งการบ่นต่อว่า ทั้งหมดนี้อาจช่วยให้ฉันมีความสัมพันธ์ที่โรแมนติกถ้าหากฉันได้คบกับใครสักคนก่อนหน้านี้
4. ฉันกำลังบูชาเรื่องรักใคร่และการแต่งงานอยู่หรือเปล่า?
สมัยที่ยังอยู่ในมหาวิทยาลัย มีนักเทศน์ท่านหนึ่งได้แบ่งปันในกลุ่มที่มหาวิทยาลัยถึงเรื่องราวชีวิตแต่งงานของเขา เขาพูดถึงความเป็นไปได้ที่จะสูญเสียภรรยาของเขาไป (ภรรยาที่ตอนนั้นกำลังตั้งท้องลูกคนแรกของพวกเขาอยู่) ในอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้
หากนั่นเกิดขึ้นจริง เขาคิดสงสัยว่าการสูญเสียนั้นจะทำให้เขาโกรธเคืองพระเจ้าและละทิ้งความเชื่อของเขาหรือไม่ ในตอนนั้นเขาก็คิดได้ว่า ทั้งภรรยาและลูกที่ยังไม่ลืมตาดูโลกของเขาล้วนเป็นของพระเจ้าอยู่ก่อนแล้ว และพระเจ้าไม่ได้ติดค้างเราใน ‘ชีวิตรักที่สุขสมชั่วนิรันดร์’ ที่เราอาจวาดหวังไว้
มันทำให้ฉันคิดถึงพระคำ “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21) ฉันได้รับการหนุนใจจากคำพยานของศิษยาภิบาล และนั่นทำให้ฉันคิดว่า ฉันพร้อมที่จะรู้สึกเช่นเดียวกันกับแฟนของฉันไหม?
ภายในเวลาไม่ถึงเดือนหลังจากบทความหัวข้อ โอบรับของขวัญแห่งความเป็นโสด ของฉันได้ตีพิมพ์ ฉันก็ได้พบกับแฟนคนปัจจุบัน เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้วที่เราคบกัน และฉันก็ขอบคุณพระเจ้าในทุกๆ วันสำหรับเขาและสำหรับสิ่งที่พระองค์ได้กระทำในเขาเพื่อช่วยให้ความเชื่อของฉันหนักแน่นมากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยพัฒนาทักษะชีวิตของฉัน และเพื่อเพิ่มพูนความสร้างสรรค์ในเป้าหมายของเรา
แต่บางครั้งฉันยังคงรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไปเมื่อได้เห็นเพื่อนๆ ของฉันแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาและดูเหมือนว่าพวกเขากำลัง ‘ก้าวไปสู่ขั้นต่อไป’ ในชีวิต ในขณะที่ฉัน ‘ยังคงติดอยู่’ ในสถานภาพโสด
แต่ฉันก็รู้ว่า ฉันกำลังยึดความหวังและความฝันของฉันไว้กับคนบาป แถมยังหวังจะให้เขา ‘ช่วย’ ฉันให้หลุดพ้นจากชีวิตที่ ‘ไม่สมบูรณ์’ และเติมเต็มมันให้กับฉัน
พระเจ้าทรงรู้ว่าฉันรอคอยมาเนิ่นนานและเฝ้าระวังที่จะรักษาความบริสุทธิ์ของตัวเองไว้ แต่ถ้าแฟนหนุ่มของฉันจะทิ้งฉันไป ฉันจะกล่าวโทษพระเจ้าไหม? จริงอยู่ที่พระเจ้าไม่ได้ติดค้างที่จะต้องประทานแฟนหรือสามีให้กับฉัน พระองค์ไม่แม้แต่จะติดค้างชีวิตของพระองค์เองหรือการไถ่ฉันให้พ้นจากความบาปความตายเสียด้วยซ้ำ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนมาจากพระคุณของพระองค์ หากพระเจ้าจะทรงคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีและสมควรที่ฉันจะแต่งงาน ก็ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย หากพระองค์จะทรงคิดว่ามันเป็นการดีและเหมาะมากกว่าที่ฉันจะอยู่เป็นโสดเรื่อยไป ก็ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย พระเจ้าทรงรู้ดีที่สุดและทางของพระองค์นั้นก็ดีกว่าและยิ่งใหญ่กว่าทางทั้งสิ้นของฉันเอง
การยอมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในความสัมพันธ์นั้นเป็นสิ่งที่ทั้งน่าตื่นเต้นและน่าปวดหัว ฉันกำลังเรียนรู้ในทุกวันว่าการที่จะรักใครสักคนและคนๆ นั้นก็รักเราตอบเป็นเช่นไร และในขณะเดียวกันฉันก็มั่นใจว่า หากเราให้พระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางของความสัมพันธ์ และติดสนิทอยู่กับสังคมของพระองค์ ความสัมพันธ์ที่จะก้าวไปสู่การสมรสนั้นจะเป็นความสัมพันธ์ที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า และเสริมสร้างให้เราเป็นเหมือนพระเยซูมากยิ่งขึ้น
และนี่คือแหล่งข้อมูลที่ฉันคิดว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคุณ
- คำเทศนาและพอดแคสต์
- “Finding the Love of Your Life” โดย Rick Warren
- ชุดคำเทศนาเรื่องชีวิตคู่ โดย Timothy Keller
- The Boundless Show โดย Focus on the Family
- หนังสือ
- Not Yet Married โดย Marshall Segal
- The Meaning of Marriage โดย Timothy Keller
- Passion and purity โดย Elizabeth Elliot
- Your Future ‘Other Half’ : It matters whom you marry โดย Rebecca VanDoodewaard
YOU MAY ALSO LIKE
กังวลจนไม่หลับไม่นอน
WRITER: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ฉันนอนไม่หลับทั้งคืน บางคืนเราก็มีอาการนอนไม่หลับ หลับๆ ตื่นๆ พอเช้าตื่นมาก็ไม่สดชื่น อารมณ์ไม่ดี การนอนไม่หลับส่งผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่เป็นครั้งคราว แต่สําหรับบางคนอาจเจอปัญหานี้เป็นประจำ...
ทำไมเราถึงไม่กล้าปฏิเสธ
WRITER: ซาร่า โซ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: สุมิตรา ชามรามดาบานEDITOR: ปวีณา นิลบุตร “ถ้าใช่ก็จงบอกว่าใช่ ถ้าไม่ใช่ก็จงบอกว่าไม่ใช่” (ยากอบ 5:12) ขณะที่ฉันเขียนข้อความนี้ ฉันเพิ่งจะพูดว่า "ไม่" ที่จะฟังความขัดข้องใจของแม่เรื่องคนสนิทในครอบครัว...
พระเจ้าช่วยฉันผ่านประสบการณ์เลวร้าย (ถูกล่วงละเมิดทางเพศ)
WRITER: แคทเธอรีน ฟลินน์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ในปี 2003 ฉันอายุ 24 ปี และอาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษตอนที่ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยเพื่อนร่วมห้องของฉัน...