
WRITER: เจน ลิม ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: Pakky
EDITOR: Mustard Seed Team
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันตั้งตาคอยที่จะได้แต่งงานมาตลอด ฉันได้อ่านหนังสือและถามคำถามกับตัวเองมากมายเพื่อที่จะเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งนี้
ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่อวยพรให้ฉันมีเพื่อนที่มีครอบครัวมากมายที่ทั้งโตกว่าและฉลาดกว่าฉัน พวกเขาแบ่งเวลามาพบปะฉันและแฟนของฉันในตอนนั้น (ซึ่งตอนนี้เป็นสามี) เพื่อแบ่งปันเรื่องราวและข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตหลังแต่งงาน
ในระยะเวลา 9 เดือนหลังจากที่ฉันได้แต่งงาน มีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น สถานการณ์ และอารมณ์ความรู้สึก ที่ฉันเคยจินตนาการว่ามันจะแตกต่างจากนี้เมื่อตอนยังโสด เพื่อนๆ ของฉันที่แต่งงานได้ไม่นานก็มีประสบการณ์ที่คล้ายๆ กัน
จากประสบการณ์ทั้ง 2 ด้าน ฉันหวังว่าสิ่งที่ฉันกำลังจะแบ่งปันต่อไปนี้จะเป็นประโยชน์กับคน 2 กลุ่ม อย่างแรกคือ ให้กำลังใจผู้ที่กำลังศึกษาดูใจกันอยู่และรอคอยที่จะได้แต่งงาน เพื่อเขาจะได้รู้ว่าควรจะเตรียมตัวทางด้านอารมณ์อย่างไร อย่างที่สอง ฉันอยากจะให้กำลังใจผู้ที่กำลังโสด เพื่อที่เขาจะได้พิจารณาสิ่งที่เขาจินตนาการเกี่ยวกับการแต่งงาน ซึ่งอาจจะไม่ได้เป็นไปตามนั้นทั้งหมดเสียทีเดียว
ดังนั้น นี่คือสิ่งที่ฉันคิดไม่ถึงจนกระทั่งหลังจากที่ฉันแต่งงาน
1. เรายังคงเป็นคนเดิมเหมือนกับตอนก่อนแต่งงาน และนั่นไม่เป็นไร
ช่วงไม่กี่เดือนก่อนจะถึงงานแต่งของฉัน (หรืออาจจะนานกว่านั้น) จิตใต้สำนึกของฉันได้บอกว่าฉันน่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงและมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นหลังจากแต่งงานทันที นึกภาพคล้ายๆ กับตัวการ์ตูนที่แปลงจากร่าง 1 เป็น ร่าง 2 ฉันคงจะยอมทำงานทุกอย่าง ทำอาหาร จัดการค่าใช้จ่ายในบ้าน และทำงานบ้านอื่นๆ ในใจลึกๆ ของฉันได้บอกว่าการแต่งงานคงจะเหมือนปุ่มรีเซ็ต ที่จะทำให้ชีวิตของฉันได้เริ่มใหม่เหมือนกับได้เลื่อนขั้นอะไรอย่างนั้น
ดังนั้น หลังจากวันแต่งงาน ฉันจึงทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ตามความรับผิดชอบที่ฉันได้วางไว้ให้ตัวเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือน ฉันรู้สึกว่ามันยากที่จะทำสิ่งเหล่านั้นต่อไป มีบางวันที่ฉันไม่อยากจะคิดอีกต่อไปแล้วว่าวันนี้จะทำอาหารอะไรดี
และฉันไม่ได้เป็นคนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ เพื่อนสนิทของฉันสารภาพกับฉันว่า ไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่จะแต่งงาน เธอเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการที่จะต้องรับ “บทบาทภรรยา” ซึ่งสำหรับเธอแล้วหมายถึงการทำอาหารและทำงานบ้านทุกอย่างซึ่งเธอไม่คุ้นเคยที่จะทำ ในขณะเดียวกัน เพื่อนอีกคนหนึ่งของฉันซึ่งแต่งงานก่อนหน้าเราทั้ง 2 คน ก็ได้แบ่งปันเรื่องตลกว่าเธอกับสามีเคยทะเลาะกันเพราะเธอไม่ยอมให้สามีของเธอช่วยทำอาหาร
สิ่งที่ฉันและเพื่อนของฉันเรียนรู้ก็คือ การอยากพัฒนาในเรื่องงานบ้านเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเป็น “ภรรยาตามแบบแผน” เพื่อที่จะ เป็น ภรรยาที่ดี
ในพระธรรมสุภาษิตบทที่ 31 ได้อธิบายเกี่ยวกับผู้เชื่อผู้หญิงได้เป็นอย่างดี (ภรรยาและแม่) มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับรายการสิ่งที่เราต้องทำให้เสร็จ แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับการเป็น “สตรีที่ยำเกรงพระยาห์เวห์” อีกข้อหนึ่งที่อธิบายเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีคือ พระธรรมกาลาเทียบทที่ 5 ซึ่งพูดเกี่ยวกับเสรีภาพในพระคริสต์ ซึ่งช่วยให้เราเป็นไท และสามารถใช้ชีวิตในทางพระคริสต์และมีผลของพระวิญญาณได้ ข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้ได้หนุนใจฉันเป็นพิเศษ
“แต่ความเชื่อซึ่งแสดงออกเป็นการกระทำด้วยความรักนั้นสำคัญ” กาลาเทีย 5:6
“พี่น้องทั้งหลาย เพราะว่าท่านถูกเรียกให้มีเสรีภาพ ขอแต่เพียงอย่าถือโอกาสใช้เสรีภาพเพื่อทำตามเนื้อหนัง แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรักเถิด” กาลาเทีย 5:13
การที่เราดูแลคู่ชีวิตของเราอย่างเต็มที่พร้อมๆ ไปกับการให้เกียรติพระเจ้า นั่นก็เพียงพอแล้ว สำหรับฉันนั่นหมายถึงการลดความคาดหวังในการเป็น “ภรรยาที่ดี” เพื่อที่ฉันจะได้หยุดรู้สึกผิดในเรื่องที่ฉันทำไม่ได้ และสามารถขอความช่วยเหลือจากสามีในยามที่ฉันต้องการ
การแต่งงานไม่สามารถเปลี่ยนแปลงให้ฉันให้กลายเป็นคนใหม่ในชั่วข้ามคืน และนั่นไม่ใช่ความหมายของการแต่งงาน ผู้เดียวที่จะเปลี่ยนฉันเป็นคนใหม่ได้คือพระเยซู (2 โครินธ์ 5:17) และฉันรู้ดีว่าพระองค์ยังคงทำงานอยู่ในตัวฉันเสมอ (ฟีลิปปี 1:6)
2. เราไม่สามารถ (และไม่จำเป็นต้อง) ทำทุกอย่างด้วยกัน แต่เราสามารถพยายามอย่างที่สุด ที่จะตอบสนองความต้องการของกันและกัน
เพื่อนของฉันได้บอกไว้ว่า มีช่วงเวลาหนึ่งที่เธอตั้งใจนอนให้ดึกขึ้นเพื่อที่เธอจะได้ใช้เวลากับสามีมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เธอก็ได้เรียนรู้ว่ามันโอเคที่เธอและสามีจะมีเวลานอนที่แตกต่างกัน และมันก็เป็นการเปิดโอกาสให้สามีของเธอมี “เวลาส่วนตัว” บ้าง
ฉันเคยให้ความสำคัญกับ “เวลาส่วนตัว” ของฉันมาก ไม่เว้นแม้แต่ช่วงที่ฉันกับสามี (สมัยเป็นแฟน)อยู่ห่างกันคนละจังหวัด แต่เมื่อเขากลับมาในเมืองที่ฉันอยู่ ฉันกลับรู้สึกว่าเราจะต้องใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุดและคุ้มค่าที่สุด หลังจากแต่งงาน ฉันพบว่าเราทั้งคู่ต่างต้องการ “เวลาส่วนตัว” เวลาส่วนตัวสำหรับสามีของฉันคือการเล่นเกมส์ แต่สำหรับฉันมักจะเป็นการอ่านหนังสือ
ฉันเคยคิดว่าความสนใจในสิ่งที่คล้ายๆ กันจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติและไม่ควรมีการบังคับ และนั่นก็ถูกในส่วนหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ได้ สำหรับฉันแล้ว มันหมายถึงการที่ฉันเรียนรู้ที่จะเล่นเกมส์มากขึ้นเพราะนั่นเป็นสิ่งที่สามีของฉันชอบ สำหรับเขา เขาเต็มใจที่จะดูรายการทีวีที่ฉันชอบและเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับมัน
ฉันนึกถึงข้อพระคัมภีร์ในพระธรรมฟีลิปปี 2:3-4 “อย่าทำสิ่งใดด้วยการชิงดีหรือถือดี แต่จงถือว่าคนอื่นดีกว่าตัวด้วยใจถ่อม อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆ ด้วย” จากคำกล่าวของจอห์น ไปเปอร์ “คำว่า ‘ประโยชน์’ ฟังดูเหมือนมีความหมายแคบ แต่ในภาษาต้นฉบับนั้นเป็นคำที่มีความหมายกว้างมาก หมายความว่า ‘อย่าเห็นแก่ (อะไรก็ตาม) ของตนเอง’ หรือ ‘จงเห็นแก่ (อะไรก็ตาม) ของคนอื่น’” นั่นทำให้ฉันคิดว่าประโยคนี้ครอบคลุมความต้องการที่หลากหลาย ตั้งแต่สิ่งที่สำคัญไปจนถึงสิ่งเล็กน้อย
เราต้องการที่จะยึดถือหลักการของข้อพระคัมภีร์ดังกล่าวคือ การมีความพยายามคิดว่าเราจะตอบสนองความต้องการของอีกฝ่ายได้อย่างไร ในชีวิตแต่งงานซึ่งก็เป็นหลักการเดียวกับการใช้ชีวิตในฐานะคริสเตียนด้วย เหมือนกับที่นักเขียน ซี.เอส. ลูอีส ได้กล่าวไว้ว่ามันไม่ใช่การที่เราต้องคิดถึงตัวเองน้อยลง แต่เราจะเริ่มคิดถึงตัวเองน้อยลง เมื่อเราคิดถึงคนอื่นมากขึ้น
3. การแค่รับรู้เกี่ยวกับความแตกต่างของเรานั้น แตกต่างจาก ไม่เหมือนกับการที่เราใช้ชีวิตต้องอาศัยอยู่กับมัน
ฉันรู้มาตลอดว่าสามีของฉันชอบฟังพลง เขาสร้างลิสต์เพลงให้ฉันตลอดเวลาและพาฉันไปงานแสดงดนตรีที่ต่างๆ ในขณะที่ฉันก็รักเสียงดนตรีเหมือนกัน ฉันเพิ่งจะเข้าใจเมื่อหลังแต่งงานว่าสามีของฉันฟังเพลงเพื่อที่จะผ่อนคลาย แต่สำหรับฉันแล้ว “การผ่อนคลาย” มักจะประกอบไปด้วยความสงบเงียบ (ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในบางครั้ง) นี่เป็นการเรียนรู้ที่จะผลัดกัน เราเปิดเพลงสักระยะหนึ่ง และปิดมันบ้างในเวลาอื่นๆ
อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันเรียนรู้ก็คือขั้นตอนการทำอาหารของเขา เมื่อเราทำอาหารด้วยกัน เขามักจะยืนกรานว่าการหั่น การปรุง การคน หรือขั้นตอนต่างๆ จะต้องเป็นไปตามที่เขาบอกเท่านั้น ในช่วงแรก ฉันคิดว่าเขามีประสบการณ์มากกว่า และพยายามที่จะทำตามสิ่งที่เขาบอก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฉันพบว่าวิธีของฉันก็ไม่ได้ผิดหรือแย่กว่าเสมอไป
จากสถานการณ์เหล่านี้ ฉันกำลังเรียนรู้ว่าเราต้องมีการกระทำที่สมดุล เรียนรู้ที่จะน้อมรับข้อเสนอแนะ ในขณะเดียวกันก็ต้องซื่อสัตย์กับความต้องการและความรู้สึกของตัวเอง และแบ่งปันความรู้สึกนั้นอย่างนุ่มนวลและเคารพสามี (ซึ่งไม่ง่ายเลย!)
ฉันคิดว่าคำสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ในพระคัมภีร์คือเรื่องของการเป็นกายเดียวกัน เราเป็นส่วนต่างๆ ของร่างกายที่แตกต่างกัน ทำงานไม่เหมือนกัน มีของประทานและบุคลิกที่แตกต่างกัน “เพื่อไม่ให้มีการแตกแยกกันในร่างกาย แต่ให้อวัยวะต่างๆ มีความห่วงใยแบบเดียวกันต่อกันและกัน” 1 โครินธ์ 12:25 และจากสิ่งนี้เอง เราถูกสอนให้อยู่ร่วมกันในความแตกต่าง โดยใช้หลักการความรักจากพระธรรม 1 โครินธ์ บทที่ 13
4. เพศสัมพันธ์ (และความใกล้ชิด) ไม่ได้ “ง่าย” อย่างที่เราจินตนาการไว้
ฉันอยากจะสารภาพว่าฉันได้ไอเดียเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์ส่วนมากมาจากหนังสือนิยายโรแมนติกที่ฉันอ่านสมัยมัธยม มันเป็นความคิดที่ติดตามฉันมาจนถึงวัยผู้ใหญ่ ฉันเรียนรู้ด้วยความลำบากว่าการดูหนังโป๊และการช่วยตัวเองนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย มันจะส่งผลกระทบต่อชีวิตเพศสัมพันธ์ของคุณ แม้กระทั่งหลังแต่งงาน
ความคาดหวังของฉัน (ซึ่งผิด) เมื่อก่อนแต่งงานคือ เพศสัมพันธ์น่าจะเป็นสิ่งที่ “เกิดขึ้นอย่างธรรมชาติ” ง่ายที่จะต้องการ และง่ายที่จะทำ (หากฝึกฝน) สิ่งที่ฉันคิดอีกอย่างคือการแต่งงานน่าจะช่วยให้ฉันหลุดพ้นจากความต้องการทางเพศแบบผิดๆ และหนังโป๊ แต่หลังจากที่ฉันแต่งงานแล้ว ฉันเรียนรู้ว่ามันไม่ได้ง่ายแบบนั้น
ในความเป็นจริง เพศสัมพันธ์นั้นเป็นงานอย่างหนึ่ง เราไม่ได้อยากทำมันเสมอ และบางทีมันก็ไม่ได้ทำให้เกิดความพึงพอใจอย่างที่หวังไว้ (เปาโลได้กล่าวไว้ในพระธรรม 1 โครินธ์ บทที่ 7 เกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ซึ่งเป็นหน้าที่ในชีวิตแต่งงาน สามีและภรรยาควรยอมกันและกันในสิ่งเหล่านี้ แม้กระทั่งการอธิษฐานมีบทบาทอย่างไรเกี่ยวกับสิ่งนี้) เพศสัมพันธ์อาจเป็นเรื่องดีได้เมื่อมีอารมณ์ความใกล้ชิด (ปรับตัวเข้าหาความรู้สึกของอีกฝ่ายและตั้งใจที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกดี) และการสื่อสารที่ดีและซื่อสัตย์ ตลอดจนความคิดที่อยากที่จะเป็นผู้ให้ ไม่ใช่รับอย่างเดียว
ลืมสิ่งที่คุณได้เรียนจากภาพยนต์เกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ไปซะ เพราะส่วนมากมันไม่สมจริงและไม่ได้ช่วยอะไร (หากคุณทำไม่ได้ นี่เป็นสัญญาณบอกให้คุณอธิษฐานและขอการเยียวยาจากพระเจ้า) ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่อย่างน้อยฉันมีเพื่อนบางคนในชีวิต (ทั้งที่เป็นคริสเตียนและไม่เป็นคริสเตียน) ที่พร้อมที่จะแบ่งปันคำแนะนำเชิงปฏิบัติก่อนที่ฉันจะแต่งงาน อย่างเช่นความจำเป็นที่จะสร้างความรู้สึกปลอดภัยเมื่อสื่อสารกับคู่ของเรา
5. ฉันยังสามารถรู้สึกเหงาได้
ข้อนี้สร้างความแปลกใจให้ฉันอย่างมาก (และน่าจะสร้างความแปลกใจให้คนที่ยังโสดเช่นกัน) มันเป็นไปได้ที่จะยังมีความรู้สึกเหงาทั้งๆ ที่สามีกำลังนั่งอยู่ข้างๆ ฉัน แน่นอน บางช่วงเวลาฉันรู้สึกผูกพันกับสามีอย่างมาก แต่ความรู้สึกแบบนั้นไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา
ฉันคิดว่าบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ในเรื่องนี้ก็คือ ฉันตระหนักได้ว่าฉันไม่สามารถพึ่งพาสามีให้เติมเต็มความต้องการทุกอย่างของฉันได้ พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเติมเต็มช่องว่างในจิตใจได้ เมื่อเกิดความรู้สึกอ้างว้าง ฉันเรียนรู้ที่จะแสวงหาพระเจ้ามากขึ้น เชิญพระองค์เข้ามาใกล้และลึกลงไปในจิตใจของฉัน ฉันพึ่งพาพระองค์มากกว่าที่พึ่งพาสามีมาก และนั่นทำให้ฉันได้รับความอิ่มเอมใจและความชื่นชมยินดีที่มีแต่พระองค์เท่านั้นที่ให้ได้
การแต่งงานเป็นสิ่งสะท้อนภาพของพระคริสต์และคริสตจักร (เอเฟซัส 5:21-33) พระองค์ได้ให้ของขวัญนี้กับเรา ไม่ใช่เพื่อให้เรามองหาสุดยอดของความสุขและความพึงพอใจในสิ่งเหล่านั้น แต่ทำให้เรา “สามารถเข้าใจถึงความกว้าง ความยาว ความสูง และความลึก คือให้ซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์ซึ่งเกินความรู้” (เอเฟซัส 3:18-19)
ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิตแต่งงาน เราได้ทดลองลิ้มรสชาติของสวรรค์และเห็นภาพว่าการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าจะเป็นอย่างไร ในเวลาที่เราอ่อนแอที่สุด เรามั่นใจได้ว่า ไม่ว่าเราจะขาดสิ่งใด แต่พระเจ้าสมบูรณ์แบบ และพระองค์จะทำให้เราถึงความสมบูรณ์เช่นกัน (ฮีบรู 10:14)
YOU MAY ALSO LIKE
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน
WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ สะสางงานต่างๆ ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...
ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?
WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...
เสียงที่ดังพอ
WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...