
WRITER: เอเวอลีน ฮัสตัน ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: Natty Grace
EDITOR: Mustard Seed Team
ในช่วงต้นปีที่แล้ว ฉันต้องเผชิญกับความวิตกกังวลในหลายๆ ด้าน ฉันเหนื่อยจากการต้องดูแลลูกสาวตลอดเวลา และล้าจากปัญหาสุขภาพจิตอย่างรุนแรง ต่อมาฉันก็ถูกเลิกจ้างงานในขณะที่ฉันลาคลอด เนื่องจากบริษัทประกาศว่าตำแหน่งของฉันไม่จำเป็นอีกต่อไป
ในขณะที่ใครหลายคนต่างตั้งตารอปีใหม่ด้วยความหวังอย่างตื่นเต้น ฉันกลับเริ่มต้นปีใหม่ด้วยความหวาดกลัว
แม้จะรู้สึกวิตกกังวลจนทำอะไรไม่ถูก แต่ฉันก็พยายามมีความหวังและความเชื่อในพระเจ้า ฉันยังคงมีวันที่ดีที่ได้ตื่นนอน อาบน้ำ มีเวลาเงียบๆ และเดินเล่นกับลูกน้อยพร้อมฟังเพลง ในช่วงเวลาดังกล่าว ฉันเชื่ออย่างเต็มที่ว่าพระเจ้าสามารถดูแลเราได้เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงดูแลนกบนท้องฟ้าและตกแต่งดอกลิลลี่ในทุ่งหญ้าให้งดงาม
แม้จะรู้สึกวิตกกังวลจนทำอะไรไม่ถูก แต่ฉันก็พยายามมีความหวังและความเชื่อในพระเจ้า
แต่ละวันฉันจมอยู่กับความรู้สึกดิ่ง ทุกอย่างมืดมนจนแทบทนไม่ไหว ฉันมักจะขลุกตัวอยู่แต่ในห้องนอน ไม่อยากทำอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นการตอบข้อความ อาบน้ำ หรือแม้แต่การปิดผ้าม่าน สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ฉันหลีกเลี่ยง
กิจกรรมที่เคยทำให้ฉันมีความสุขกลับกลายเป็นกิจกรรมที่น่าเบื่อ ฉันพยายามลองอ่านหนังสือที่เคยขอบและฟังพอดแคสต์ที่เคยชอบอีกครั้ง แต่ฉันก็ทำไม่ได้ ฉันมักไม่มีสมาธิ แค่จะอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน ฉันก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำมัน
เมื่อความเหนื่อยล้าทั้งทางจิตใจและร่างกายเข้าครอบงำฉัน มุมมองที่ฉันมีต่อพระเจ้าก็เริ่มหม่นหมองไป ราวกับว่าฉันล่องลอยอยู่ในทะเลที่เต็มไปด้วยฉลาม ซึ่งดูเหมือนว่าปัญหาในชีวิตจะไม่มีวันสิ้นสุด
ความช่วยเหลือจากพระเจ้า ผ่านทางใครบางคน
ช่วงเวลาที่มืดมน สิ่งหนึ่งที่ฉันอธิษฐานขอกับพระเจ้าคือ ขอให้ฉันได้รู้จักกับใครสักคนที่จะให้คำปรึกษาตามหลักพระคัมภีร์ ฉันเคยเข้ารับการบำบัดทางจิตมาก่อนและรู้ดีถึงประโยชน์ของมัน ฉันเฝ้ารอให้มีการบำบัดที่ไม่เข้มงวด แบบว่าหากวันใดฉันไม่สามารถไปเข้ารับการบำบัดได้ด้วยตนเอง นักบำบัดจะมาหาฉัน ในยามที่ฉันต้องการความช่วยเหลือ และพระเจ้าก็ทรงให้ฉันได้รู้จักกับที่ปรึกษาคริสเตียนผ่านเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งฉันได้บอกเธอไปว่าฉันต้องการความช่วยเหลือ
สิ่งหนึ่งที่ฉันอธิษฐานขอกับพระเจ้าคือ ขอให้ฉันได้รู้จักกับใครสักคนที่จะให้คำปรึกษาตามหลักพระคัมภีร์ ฉันเคยเข้ารับการบำบัดทางจิตมาก่อนและรู้ดีถึงประโยชน์ของมัน
เป็นเวลาสองสามเดือนที่ฉันได้เล่าให้กับที่ปรึกษาทั้งน้ำตาแห่งความขมขื่นใจ ว่าพระเจ้าทรงทำให้ฉัน “ผิดหวัง” อย่างไรบ้าง ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นที่รักและคงถูกลืมไปในบางครั้งจากพระองค์
เช่นเดียวกับเพื่อนของโยบ ที่ปรึกษาของฉันนั่งอยู่กับฉันในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากของฉัน และชี้แนะฉันให้เปิดพระคัมภีร์อยู่เสมอ ทุกสัปดาห์เธอจะให้ฉันทำบางอย่าง เช่น ท่องจำข้อพระคัมภีร์ที่จะช่วยให้ฉันต่อสู้กับความไม่เชื่อ มีข้อพระคัมภีร์บางข้อที่ช่วยให้ฉันผ่านพ้นความมืดมนมาได้ เช่น 2 โครินธ์ 4:16-18 โคโลสี 3:12-15 และ เอเฟซัส 1:3-6 นอกจากนี้ ฉันยังเขียนคำอธิษฐานส่วนตัวด้วยความรู้สึกที่ไม่ต้องเสริมเติมแต่งอะไร เขียนข้อพระคัมภีร์ที่ฉันอ่าน และข้อคิดที่ได้จากข้อพระคัมภีร์นั้นๆ
ในตอนแรก ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะทำตามได้ตลอด แต่ที่ปรึกษาของฉันก็บอกอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกว่า สิ่งที่เธอมอบหมายให้ฉันทำ ไม่ใช่ “สิ่งที่ต้องทำ”
ในวันที่ฉันทำไม่ได้ ฉันก็เพียงแค่จดบันทึกสิ่งที่ฉันรู้สึก เมื่อมองย้อนกลับไป ฉันก็เห็นว่าการทำแบบนี้มีประโยชน์กับฉันมาก เพราะช่วยกระตุ้นให้ฉันรู้จักตัวเองในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และตอนนี้มันยังช่วยให้ฉันได้มองกลับไปเห็นถึงความซื่อสัตย์ของพระเจ้า
หลังจากเข้ารับคำปรึกษาเป็นเวลาสองสามเดือน ในวันเกิดของฉันเดือนพฤษภาคม มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ฉันได้เข้ารับคำปรึกษาอีกครั้ง โดยเล่าถึงความฝันที่พังทลายและความหวังที่สูญหาย ฉันยอมเปิดเผยถึงการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณ สภาพจิต และความปั่นป่วนทางอารมณ์ของตัวเอง แต่ที่ปรึกษาก็ยังยืนยันกับฉันอีกครั้งว่าแม้ในสถานการณ์อันเลวร้ายที่ฉันเผชิญอยู่ พระเจ้าก็ยังทรงรักฉัน
แม้ว่าใจของฉันรู้อยู่แล้ว แต่วันนั้นเองที่ความคิดและจิตใจของฉันสามารถรับรู้ถึงความจริงข้อนี้ได้ในที่สุด
เมื่อสิ้นสุดช่วงเวลาของการรับคำปรึกษา ฉันไม่สงสัยในความรักของพระเจ้าอีกต่อไป จิตวิญญาณและจิตใจของฉันรู้ว่าฉันเป็นที่รักและไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไป
มี 2 สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับโรคซึมเศร้า ก็คือ หนึ่ง คุณไม่มีทางรู้เลยว่าเมื่อไหร่ภาวะซึมเศร้าจะหายไป และ สอง แม้ว่ามันจะดูเหมือนไม่มีวันหายดี แต่สุดท้ายความเศร้าโศกเหล่านั้นจะได้รับการเยียวยา ในช่วงเวลาเช่นนั้น การบอกให้ผู้อื่นรู้ว่าคุณกำลังเผชิญกับอะไรอยู่เป็นเรื่องที่ดีต่อตัวคุณเอง ในกรณีของฉัน ฉันสามารถเอาชนะความมืดมนในชีวิตได้โดยความช่วยเหลือจากผู้ที่คอยสอนเตือนหัวใจของฉันครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งฉันเกิดความเชื่อ
สิ่งต่างๆ ไม่ได้เปลี่ยนไป แต่หัวใจของฉันได้รับการฟื้นฟู
พระเจ้าทรงมีพระกรุณามากพอที่จะยกเมฆหมอกออกไปจากฉันหลังจากผ่านไปห้าเดือน พระองค์ทรงเปิดใจของฉันให้เข้าใจพระวจนะของพระองค์ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นอาหารฝ่ายวิญญาณในวันที่เหนื่อยล้าของฉัน
พระองค์ทรงนำให้ฉันกลับมามีความหวังอีกครั้งว่า ความชื่นชมยินดีจะมาในยามเช้า ฉันเพียงต้องอดทนให้ผ่านคืนนี้เท่านั้น
แม้ว่าฉันยังคงเป็นตัวหลักในการดูแลลูกน้อยของฉัน แต่ในที่สุดพระองค์ก็ทรงให้คนในครอบครัวเข้ามาช่วยเหลือฉัน และช่วยดูแลลูกของฉันเพื่อที่ฉันจะได้พักบ้าง ตลอดช่วงเวลานั้น สิ่งเดียวที่ฉันทำก็คือ การอธิษฐานด้วยการมอบทุกสิ่งให้กับพระองค์โดยความเต็มใจ ในบางวัน คำอธิษฐานของฉันก็เรียบง่าย เช่น “พระเจ้าโปรดช่วยลูกด้วย!” และพระองค์ก็ทรงประทานกำลังเพื่อให้ฉันสามารถต่อสู้ในวันนั้นๆ ได้
ในขณะที่ฉันรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในสภาวะอารมณ์ของตัวเอง แต่กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ที่ฉันกำลังเผชิญอยู่เลย ฉันยังคงไม่มีงานทำและยังรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ แต่อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะจิตใจของฉันได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่โดยพระวจนะของพระเจ้า ความมืดมิดจึงถูกขจัดออกไป ภาระของฉันไม่ใช่ภาระของฉันเพียงผู้เดียวอีกต่อไป และฉันต่อสู้กับความวิตกกังวลด้วยพระแสงแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
วันหนึ่งฉันตัดสินใจที่จะพัฒนาสภาพกายของตัวเอง เพื่อที่จะสามารถทำหน้าที่แม่ ลูกสาว พี่น้อง และเพื่อนได้อย่างเต็มที่ และเพื่อต่อสู้กับความเหนื่อยล้าทางร่างกาย ฉันจึงเริ่มต้นออกกำลังกายเกือบทุกวัน โดยเริ่มจากการเดินเบาๆ และออกกำลังกายแบบง่ายๆ ฉันชอบการเต้นมาตั้งแต่เด็ก ฉันจึงรวมการเต้นไว้ในตารางการออกกำลังกายด้วย เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้กับตัวเอง ฉันได้ให้รางวัลตัวเองด้วยการซื้อตั๋วหนัง ชุดใหม่ หรืออะไรก็ตามที่อยากได้ในทุกสิ้นเดือน ขึ้นอยู่กับผลงานการออกกำลังของตัวเอง
แม้ว่าฉันจะยังได้รับอีเมลตกสัมภาษณ์หรือไม่ได้รับการพิจารณาเข้าทำงานอยู่เรื่อยๆ แต่ฉันก็ยังมั่นใจว่า พระเจ้ายังคงอยู่ในการกระบวนการนี้ และเมื่อถึงเวลา ฉันจะได้รับการตอบรับ และในที่สุดพระองค์ก็มาทันเวลา ฉันได้งานในช่วงปลายปี 2565 หลังจากที่ตกงานในสภาพทุลักทุเลมาเป็นเวลาถึงหกเดือน
สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้
เมื่อมองย้อนกลับไป ฉันอาจถามตัวเองว่า มีอะไรที่ฉันสามารถทำให้มันดีขึ้นได้หรือไม่? เช่น หากฉันเข้ารับการบำบัดรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ฉันกลับใช้เวลาค้นหาความช่วยเหลืออย่างเชื่องช้า เพราะคิดไปเองว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในสภาพที่เลวร้ายขนาดนั้น ฉันยืนกรานว่า ตัวเองไม่เป็นไร ฉันไม่คิดว่าตัวเองต้องให้ความสำคัญในการต่อสู้เพื่อที่สภาพจิตใจจะดีขึ้น ตอนนี้ ฉันกำลังเรียนรู้ถึงสัญญาณเตือนบางอย่าง เช่น ความเหนื่อยล้า การนอนไม่หลับ การขาดแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต ความวิตกกังวล ความเศร้า ความเฉยเมย เป็นต้น
ถึงอย่างนั้น ฉันก็ได้มีประสบการณ์อย่างใกล้ชิดกับพระเจ้าในฐานะผู้จัดเตรียมและผู้เล้าโลมใจ พระองค์นั้นจริงแท้ เข้าถึงได้เป็นการส่วนตัว และพระคำของพระองค์นำมาปฏิบัติได้จริง นอกจากนี้พระองค์ยังเป็นผู้เดียวที่ฉันเชื่อและวางใจ ความเชื่อของฉันคงจะพังทลายลงถ้าหากไม่มีพระคริสต์คอยโอบกอดฉันไว้แน่น
เมื่อปี 2565 ใกล้จะสิ้นสุดลง ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าอย่างมากที่ทรงปกป้องฉัน ตอนนี้ฉันสามารถเริ่มต้นปีใหม่ด้วยความมั่นใจมากขึ้น หลังจากที่ได้ผ่านเปลวไฟที่ถลุงขี้แร่ออกไปจากชีวิตฉัน ฉันเชื่อว่านี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงสำแดงความรักต่อฉัน และเสริมกำลังความเชื่อของฉันในพระองค์ให้เป็นพระเจ้าผู้จัดเตรียมและผู้นำการพักสงบเพียงผู้เดียว
ปีนี้ ฉันตั้งตารอที่จะออกไปข้างนอกกับลูกสาวของฉันให้บ่อยขึ้น ออกไปพบปะกับเพื่อนๆ บ่อยขึ้น ยังคงเข้ารับการบำบัดรักษาอย่างต่อเนื่อง อ่านหนังสือมากขึ้น ลองดื่มชาประเภทต่างๆ ไปร้านอาหารใหม่ๆ และซื้อรถคันแรกให้กับตัวเอง สิ่งที่ฉันมั่นใจอย่างหนึ่งก็คือ แม้ว่าฉันจะตั้งตารอที่จะเพลิดเพลินกับสิ่งเหล่านี้ แต่ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงโอบล้อมฉันไว้ด้วยการทรงสถิตของพระองค์ และไม่มีใครสามารถแย่งฉันไปจากพระหัตถ์ของพระองค์ได้
YOU MAY ALSO LIKE
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน
WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ สะสางงานต่างๆ ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...
ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?
WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...
เสียงที่ดังพอ
WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...