WRITER: ศุภิสรา เจริญศรีศิลป์
EDITOR: Mustard Seed Team
“จิตใจของข้าพเจ้าสงบคอยพระเจ้าเท่านั้น เพราะความหวังของข้าพเจ้ามาจากพระองค์ พระองค์เท่านั้นเป็นศิลาและความรอดของข้าพเจ้า ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว สวัสดิภาพและเกียรติของข้าพเจ้าอยู่ที่พระเจ้า ศิลาแข็งแกร่งและที่ลี้ภัยของข้าพเจ้าคือพระเจ้า” สดุดี 62:5
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ฉันได้รับการตอบรับให้เข้าเรียนปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยในต่างประเทศที่ฉันได้ยื่นสมัครไป เป็นธรรมดาว่าเมื่อสิ่งที่อธิษฐานนั้นกลายเป็นจริง การขอบคุณพระเจ้าสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเลยเป็นเรื่องง่าย แต่ขั้นตอนต่อไปของการจะเข้าเรียนต่อคือ การหาทุน แน่นอนว่าก่อนจะได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัย ฉันได้ยื่นสมัครขอทุนปริญญาโทไปแล้ว และเตรียมตัวสอบนานกว่า 3 เดือน ตั้งแต่ก่อนสอบ ขณะสอบ และรอผลสอบ ฉันตั้งหน้าตั้งตาอธิษฐานอย่างจริงจัง ฉันบอกพระเจ้าเสมอว่าขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า แต่ถ้าได้ทุนก็จะดีมาก และไม่นานมานี้ผลสอบออกมาว่า “ฉันไม่ผ่าน” จากที่คิดมาตลอดว่าตัวเองจะรับได้ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เพราะฉันทำเต็มความสามารถแล้วและฝากความหวังฝากผลลัพธ์ไว้กับพระเจ้า แต่เปล่าเลย เมื่อผลสอบออกมา ฉันกลับรู้สึกผิดหวังในพระเจ้าและในตัวเองมาก
ฉันไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังตัดสินความรักที่พระเจ้ามีให้ผ่านสิ่งที่พระองค์ประทานให้ และวัดคุณค่าของตัวเองผ่านสิ่งภายนอกที่มี
(เช่น คะแนนสอบ, ที่ทำงาน, ความสามารถ, เงิน เป็นต้น) เหตุการณ์นี้ได้ทำให้ฉันกลับมานั่งคิดจริงๆ ว่า ฉันกำลังฝากความหวังไว้ในสิ่งของที่พระเจ้าจะประทานให้หรือฝากความหวังไว้ที่พระลักษณะและพระสัญญาของพระเจ้ากันแน่
ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนฉันมารู้จักพระเจ้าได้ไม่นาน ฉันรู้ว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ พระเจ้าแสนดี พระเจ้าทำได้ทุกอย่าง และฉันก็เคยได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้า (ที่ตรงกับความต้องการของฉันด้วย) มาหลายต่อหลายครั้ง ฉันไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังตั้งความหวังว่าพระเจ้าจะต้องเติมเต็มและตอบตามสิ่งที่ฉันอยากได้ตลอด เช่น อยากสอบได้คะแนนดีๆ อยากทำงานดีๆ อยากมีชีวิตและมีครอบครัวที่ดี แต่เมื่อผลลัพธ์ไม่ได้ออกมาตามที่หวังไว้ ฉันก็จะตัดสินพระเจ้าว่าพระองค์ไม่รู้หรอว่าฉันมีความจำเป็นมากแค่ไหน ไหนพระองค์บอกว่ารักฉัน ไหนพระองค์บอกว่าทรงรู้ทุกอย่างไง ฉันตัดสินพระเจ้าและความรักของพระองค์จากสิ่งภายนอกที่พระองค์ประทานให้ฉัน หนำซ้ำฉันยังหันกลับมากล่าวโทษตัวเองว่าทำได้ไม่ดีพอ ยังไม่ดีพอ กดดันตัวเองให้ไปถึงมาตรฐานที่สูงเกินความเป็นจริงและคอยเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นเพื่อสร้างแรงผลักดันในทางลบให้กับตัวเอง
ฉันรู้สึกพอแล้วกับคำว่า “มีความหวัง” ถ้ามีความหวังแล้วมันจะต้องเจ็บปวดและหัวเสียทุกครั้ง ฉันขอไม่มีความหวังดีกว่า ทุกๆ ครั้งที่ฉันได้ยินคำว่า “ความหวัง” ผ่านคำเทศนาและเพลงนมัสการ ฉันจะรับฟังคำนี้โดยรู้สึกสะดุดอยู่ในใจเสมอ ฉันไม่เคยเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่าความหวังเลย เพราะฉันเชื่อมาตลอดว่า เมื่อคนเรามีความหวังหรือความคาดหวังในสิ่งใดก็ตาม สิ่งที่ตามมาก็คือความผิดหวัง เพราะฉะนั้นถ้าฉันไม่หวัง ฉันก็จะไม่ผิดหวัง และฉันก็จะไม่ต้องเจ็บปวดกับผลลัพธ์ในอนาคตที่ฉันไม่อาจจะคาดการณ์ได้ แต่คำว่าความหวังที่ฉันคิดว่าฉันเข้าใจมาตลอดนั้น มันเป็นความคิดความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนไปหมด…
จริงๆ แล้วคำจำกัดความของความหวัง (อ้างอิงจาก Cambridge Dictionary) คือ ความปรารถนาที่อยากจะให้บางสิ่งเกิดขึ้นหรือเป็นจริง แต่ไม่มีเครื่องยืนยันได้ว่ามันจะเกิดขึ้นจริง…
คนเรามักจะตีความความหวังโดยมุ่งเน้นหรือจดจ่อในสิ่งที่เราขอและปรารถนา แต่เรากลับไม่ได้สนใจเลยว่าผู้ที่เราฝากความหวังไว้นั้นเป็นใคร
เมื่อเวลาผ่านไป ฉันได้รู้จักพระลักษณะของพระเจ้า ได้เรียนรู้พระวจนะและพระสัญญาของพระองค์มากขึ้น ฉันถึงได้เข้าใจว่าความหวังที่แท้จริงนั้นไม่ใช่ความคาดหวังในสิ่งที่พระเจ้าจะประทานให้เพื่อที่สิ่งๆ นั้นจะมาตอบสนองความปรารถนาของตัวเอง แต่ความหวังคือความเชื่อว่าเหตุการณ์ทุกอย่างรวมกันจะเกิดผลดีแก่คนที่รักพระเจ้า (โรม 8:28) เป็นความมั่นใจในพระเจ้าที่แม้ว่าท่ามกลางปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตพระเจ้ายังคงสถิตอยู่กับเรา และพระองค์ทรงอยู่เหนือปัญหาและความท้าทายที่เรากำลังเผชิญ แม้ในช่วงเวลาที่อนาคตของเราจะดูไม่แน่นอน (อ้างอิงจากหนังสือ The case for hope by Lee Strobel)
การมีความหวังที่สิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นนั้นสำคัญ แต่การมีความหวังในผู้ใดนั้นสำคัญกว่า
เมื่อเรามีความหวังในพระเจ้า ในพระลักษณะที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงและพระสัญญาของพระองค์ที่เป็นความจริง เราก็จะได้รับการชูใจอย่างมากมาย (ฮีบรู 6:18) และเมื่อเราเชื่อว่าเรากำลังเดินอยู่ในแผนการที่ดีเลิศที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับเรา เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทำร้ายเรา เพื่อจะให้อนาคตและความหวังแก่เรา (เยเรมีย์ 29:11) ไม่ว่าจะเจอกับปัญหาใดเราก็จะยังคงขอบคุณพระเจ้าและมีความหวังต่อไปได้
ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังคงมีหลายต่อหลายเรื่องที่ฉันยังไม่เข้าใจและยังหาคำตอบไม่ได้อย่างชัดเจน แต่ฉันรู้สึกดีใจและขอบคุณพระเจ้าที่ได้รู้และย้ำความจริงในเรื่องความหวังนี้อีกครั้ง “ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการไม่ได้ทุนครั้งนี้ เพราะเหตุการณ์นี้ทำให้ลูกได้กลับมาสำรวจใจตัวเองอีกครั้งและเป็นเหตุที่ทำให้ลูกได้เขียนบทความนี้ออกมา และลูกเชื่อว่าแม้สถานการณ์ในอนาคตจะดูน่ากลัว ไม่แน่นอน และลูกจะต้องเดินในทางยากลำบากอีกแค่ไหน โดยพระองค์ลูกตะลุยกองทัพและกระโดดข้ามกำแพงได้ เพราะพระมรรคาของพระองค์ก็ไร้ตำหนิ พระดำรัสของพระองค์เป็นเครื่องพิสูจน์จนเห็นจริงแล้ว พระองค์ทรงเป็นโล่ของทุกคนที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์ (2 ซามูเอล 22:30-31) และลูกวางใจและหวังใจในพระเจ้าที่สุดยอดของลูก”
สุดท้ายนี้ หากคุณกำลังเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบากหรือพบกับความผิดหวังอยู่ ขอให้คุณรู้ว่าคุณไม่ได้เผชิญหน้ากับมันเพียงลำพัง มีคนอีกมากมายร่วมสู้ไปกับคุณและที่สำคัญพระเจ้าทรงอยู่ข้างๆ คุณเสมอ ฉันขอหนุนใจว่าขอให้เรายังคงยึดมั่นในความหวังที่ประกาศรับไว้นั้นโดยไม่หวั่นไหว เพราะว่าพระองค์ผู้ประทานพระสัญญานั้นทรงซื่อสัตย์ (ฮีบรู 10:23) และความหวังที่เรายึดนั้นจะเป็นเสมือนสมอที่แน่นอนและมั่งคงของจิตใจ (ฮีบรู 6:19)
YOU MAY ALSO LIKE
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน
WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ สะสางงานต่างๆ ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...
ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?
WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...
เสียงที่ดังพอ
WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...