
WRITER: Mustard Seed Team
เพราะหลายครั้ง…เราดูเหมือน“ไม่รู้สึก” แต่จริงๆ แล้วเรากำลัง“หลบ” หลายครั้ง…เราหัวเราะออกไป แต่ข้างใน“ร้องไห้เงียบๆ” ปฏิเสธความรู้สึก โยนอารมณ์ให้คนอื่น ปลอมความรู้สึก หนีไปในโลกส่วนตัว บางครั้งเวลาเราเจ็บปวด เสียใจ หรือรู้สึกผิด สมองของเราจะหาวิธี “ป้องกัน” เพื่อไม่ให้เรารู้สึกแย่เกินไป วิธีนี้เรียกว่า Defense Mechanism (กลไกป้องกันทางจิตใจ) มันเกิดขึ้นอัตโนมัติ เหมือนเป็นเกราะที่ใจสร้างขึ้นเพื่อให้เราอยู่รอดในสถานการณ์ยากๆ เหมือนตอนดาวิดเคยทำผิดกับบัทเชบา และเลือกจะ “ซ่อน” และ “ปิดบัง” ความผิดด้วยวิธีต่างๆ (2 ซามูเอล 11) เขาวางแผนให้เอาอุรียาห์สามีของบัทเชบากลับบ้านเพื่อปกปิดเรื่องท้อง และเมื่อแผนไม่สำเร็จ เขาก็สั่งให้เอาอุรียาห์ไปอยู่แนวหน้าสงครามจนถูกฆ่า นี่คือตัวอย่างของการใช้ “กลไกป้องกัน” ที่อันตราย แทนที่จะเผชิญความจริง ดาวิดกลับพยายามปกปิดและโยนปัญหาออกไป แต่สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้บาปและความเจ็บปวดหนักขึ้น จนวันที่พระเจ้าส่งนาธันมาตักเตือน ดาวิดจึงยอมสารภาพและร้องต่อพระเจ้าว่า ‘เพราะข้าพระองค์ทราบถึงการละเมิดของข้าพระองค์แล้ว และบาปของข้าพระองค์อยู่ต่อหน้าข้าพระองค์เสมอ‘ สดุดี 51:3
Defense Mechanism คือ กลไกป้องกันตนเองทางจิตใจที่มนุษย์ทุกคนใช้ การใช้ Defense Mechanism ไม่ผิดที่จะใช้ ซึ่งคนส่วนใหญ่ใช้โดยไม่รู้ตัว เพื่อหลีกเลี่ยงอารมณ์ที่เจ็บปวด เช่น ความกลัว ความอับอาย ความโกรธ หรือความผิดหวัง มันช่วยให้เราไม่เครียดจนเกินไป ช่วยให้เราเอาตัวรอดทางใจ ในช่วงเวลายากๆ ได้ เหมือนยาพาราที่บรรเทาอาการปวด กลไกเหล่านี้ถูกใช้เพื่อ “เอาตัวรอด” เกราะนี้ช่วยได้ในบางเวลา แต่ถ้าใช้บ่อยเกินไป หรือใช้เพือ “หลีกหนี” หรือ “ปิดกั้น” ความรู้สึกตลอดเวลา จะทำให้เราไม่กล้าเผชิญปัญหา ปัญหาก็ไม่ถูกแก้จริงๆ ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างก็พังง่าย เพราะเราปิดบังความรู้สึกแท้จริง หรือโทษคนอื่นตลอด และเราอาจไม่รู้จักตัวเองจริงๆ แต่คำถามคือ…เรากำลังเยียวยาหรือแค่ซ่อน?
กลไกการป้องกันตัว ช่วยได้แค่ตอนแรก แต่ไม่แก้ปัญหาลึกๆ การใช้กลไกการป้องกันตัว ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย
กลไกการป้องกันตัวเองที่ใช้แล้วช่วยเป็นประโยชน์

การเปลี่ยนอารมณ์ลบไปเป็นสิ่งสร้างสรรค์ (Sublimation) ‘เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ทำการดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ก่อนแล้วเพื่อให้เราดำเนินตาม’ เอเฟซัส 2:10 เช่น แทนที่จะระเบิดอารมณ์ เอาไปแต่งเพลง เขียนบทความ เล่นกีฬา
ใช้อารมณ์ขันเพื่อรับมือกับเรื่องเครียด (Humor) ‘ใจร่าเริงเป็นยาอย่างดี แต่จิตใจชอกช้ำทำให้กระดูกแห้ง‘ สุภาษิต 17:22 เช่น ล้อเลียนตัวเองแทนที่จะเศร้า
เลือก “เก็บ” ความรู้สึกไว้ก่อน แต่ไม่ลืม (Suppression) ‘มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง และมีวาระสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์‘ ปัญญาจารย์ 3:1 เช่น ยังไม่ร้องไห้ตอนประชุม แต่จะร้องทีหลัง
ทำสิ่งดีเพื่อผู้อื่นเพื่อลดความเจ็บปวดของตน (Altruism) ‘จงช่วยรับภาระของกันและกัน และด้วยการกระทำเช่นนี้ท่านทั้งหลายก็ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระคริสต์’ กาลาเทีย 6:2 เช่น เมื่อเสียคนรัก หันไปช่วยเหลือคนที่สูญเสียเหมือนกัน
กลไกการป้องกันตัวเองที่ควรระวัง…
อารมณ์จากต้นเหตุไปยังสิ่งอื่นที่ปลอดภัยกว่า (Displacement) เช่น โดนหัวหน้าดุ กลับไปตะคอกใส่น้อง
กดอารมณ์หรือความทรงจำไว้ในจิตใต้สำนึก (Repression) เช่น ลืมว่าตนเองเคยโดนทำร้ายในวัยเด็ก (โดยไม่รู้ตัว)
แสดงออกตรงข้ามกับที่รู้สึกจริง (Reaction Formation) เช่น ชอบใครแต่ทำเป็นเกลียดเขา
ใช้เหตุผล/ตรรกะกลบความรู้สึก (Intellectualization) เช่น แทนที่จะเศร้ากลับอธิบายแบบวิชาการเรื่องความตายแทน
แก้ตัวให้ตัวเองดูดี (Rationalization) เช่น สอบตกแต่กลับบอกว่า “ก็ไม่ได้อยากเรียนสายนี้อยู่แล้ว“
ทำอะไรเพื่อชดเชยความรู้สึกผิด (Undoing) เช่น ด่าว่าเพื่อนเมื่อวานแต่ซื้อของให้วันนี้
กลไกการป้องกันตัวเองที่อาจบิดเบือนความจริง
ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์หรือพฤติกรรม
ปฏิเสธความจริงที่เจ็บปวด (Denial) เช่น รู้ว่าคนรักนอกใจ แต่บอกตัวเองว่า “เขาไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก“
โยนความรู้สึกของตัวเองใส่คนอื่น (Projection) เช่น ตัวเองอิจฉา แต่บอกว่า “เธออิจฉาเราแน่ ๆ เลย”
แสดงความโกรธแบบอ้อมๆ (Passive Aggression) เช่น ไม่พอใจเพื่อนแต่ทำเป็นลืมนัด หรือพูดจาเหน็บแนม
แสดงอารมณ์รุนแรงโดยไม่คิด (Acting Out) เช่น โกรธแต่กลับไปทำลายของ ตะโกน วิ่งหนี
ถอยกลับไปใช้พฤติกรรมแบบเด็ก (Regression) โกรธแต่เลือกไม่พูดกับใคร, ซุกตัวอยู่ในห้อง
แปลงความเครียดเป็นอาการทางกาย (Somatization) เครียดร่างกายสะท้อนเป็นปวดหัว ปวดท้อง

การรู้เท่าทันและยอมรับอารมณ์เป็นจุดเริ่มต้นของการรักษา “การหนีจากความรู้สึก” ไม่ใช่คำตอบ และ พระเจ้าทรงเปิดทางให้เราซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตนเองได้ พระคัมภีร์ไม่เคยบอกให้เรา “แข็งแกร่งตลอดเวลา” แต่บอกว่า “ความอ่อนแอของเรา คือที่ที่ฤทธิ์เดชของพระเจ้าทำงาน” (2 โครินธ์ 12:9) พระเจ้าทรงรับฟัง พระเจ้าทรงช่วยให้เรารับผิดชอบใจตนเอง พระเจ้าทรงรักเราในแบบที่เราเป็น พระเจ้าไม่ละสายตาจากเรา
การรับรู้ความรู้สึกของตัวเอง คือ ความกล้าเปิดใจกับพระเจ้า ซึ่งเป็นจุดเริ่มของการฟื้นฟู ️ ลองเขียนสิ่งที่เรารู้สึกจริง ๆ ต่อหน้าพระเจ้า อธิษฐานโดยไม่ต้องใช้คำหรู แต่ใช้ “ใจจริง” อ่านสดุดี เช่น บทที่ 42, 139 เพื่อเรียนรู้ว่า “ความเจ็บ” ไม่ใช่ความผิด
“ในวันที่เราปิดใจ พระเจ้ายังเปิดใจ” พระองค์ไม่รังเกียจน้ำตา ไม่กลัวคำถาม และไม่ทิ้งเราในความว่างเปล่า

“ถ้าเราสารภาพบาป พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” (1 ยอห์น 1:9)
การสารภาพคือการวางเกราะลง และยอมให้พระเจ้ามาแตะต้องรักษาใจเรา แทนที่จะป้องกันตัวเองด้วยกลไกจิตใจ เราสามารถวางใจในพระเจ้า เปิดใจสารภาพ และให้พระองค์รักษา ในพระเจ้า เราสามารถรู้สึกได้อย่างปลอดภัย พระเจ้าทรงมองเห็นทุกบาดแผล และไม่ปล่อยให้เราหลอกตัวเอง พระเจ้าไม่ต้องการให้เราซ่อน แต่ให้เราซื่อสัตย์กับใจตนเอง
YOU MAY ALSO LIKE
ความบาป 5 ประการที่แฝงอยู่และทำให้เรารู้สึกผิด
WRITER: จัสมิน ออง ชคูลฟีลด์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: ปาลีญา ธนาวัฒนเจริญEDITOR: Mustard Seed Team ในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดโควิด-19 เราได้เห็นว่าการเลือกของแต่ละคนสามารถช่วยหยุดการแพร่ระบาดของโรคหรือทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคไปทั้งชุมชนได้...
เมื่อฉันมีความวิตกกังวลแล้ว ฉันยังวางใจพระเจ้าได้ไหม?
WRITER: แมเดลีน เกรซ ชคูลฟีลด์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: ปาลีญา ธนาวัฒนเจริญEDITOR: ธนากร พูลสินกูล ฉันรู้สึกราวกับว่ามีผ้าห่มผืนใหญ่ทับอยู่บนอกของฉัน เมื่อฉันลองหายใจลึกๆ เข้าไปในปอดและพยายามไอออกมาด้วยความรู้สึกแสบ...
ชีวิตที่ถูกซ่อนไว้จากความจริง
TRANSLATOR: เจ.ที.เอ็ม.EDITOR: Mustard Seed Team คุณเคยทำตัวเองหล่นหายไหม รู้สึกโกรธตัวเองและต่อว่าตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีกจากความผิดพลาดในชีวิตบ้างไหม หรือถามตัวเองว่าฉันเกิดมาทำไม หรือรู้สึกว่าโลกนี้มันไม่ได้มีที่ยืนสำหรับฉันเลย ความเจ็บปวดหรือความรู้สึกไร้ค่าเหล่านี้...