WRITER: แมเดลีน เกรซ ชคูลฟีลด์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ปาลีญา ธนาวัฒนเจริญ
EDITOR: ธนากร พูลสินกูล
ฉันรู้สึกราวกับว่ามีผ้าห่มผืนใหญ่ทับอยู่บนอกของฉัน เมื่อฉันลองหายใจลึกๆ เข้าไปในปอดและพยายามไอออกมาด้วยความรู้สึกแสบ นั่นทำให้เหงื่อของฉันไหลออกมาและรู้สึกถึงอาการวิงเวียนราวกับว่ามีบางสิ่งพุ่งเข้ามาที่หัวและพยายามกรีดร้องรอบๆ หูของฉัน
ฉันนั้นเป็นเด็กขี้กังวล ตอนอายุ 4 ขวบฉันมักจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บ้าง ด้วยการตั้งคำถามจริงจัง และพยายามเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับโลกที่กว้างใหญ่
เมื่ออายุ 12 ปีฉันมักจะตื่นขึ้นพร้อมกับความรู้สึกที่ปั่นป่วนในท้องและความคิดที่กระสับกระส่าย แม้ว่าฉันไม่สามารถบอกได้ว่าฉันกำลังกังวลถึงเรื่องอะไร แต่ฉันสามารถบรรยายถึงความรู้สึกหวาดกลัวที่เกิดขึ้นในจิตใจที่เกิดขึ้นกับฉันในแต่ละวันได้
สมัยมัธยม ฉันกลายเป็นเจ้าแม่ของการจัดตารางเวลา รายการสิ่งที่ต้องทำ และปฏิทินที่เต็มไปด้วยรหัสสีต่างๆ เพราะฉันคิดว่าถ้าฉันสามารถควบคุมบางสิ่งได้ ฉันจะสามารถมองข้ามความกังวลใจที่ฉันมีต่อตัวเองได้ แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้ผล เพราะเมื่อใดก็ตามที่ฉันทำข้อสอบได้ไม่ดี หรือเรียนตามคนอื่นๆ ในห้องไม่ทัน หรือทะเลาะกับเพื่อนของฉัน เมื่อนั้นความวิตกกังวลก็กลับมา
ในช่วงมหาวิทยาลัยก็มีความท้าทายของมัน เพราะการเรียนที่ไม่มีรูปแบบตายตัวหรือสิ่งที่ทำเป็นประจำในห้องเรียนนั้นทำให้ฉันรู้สึกสูญเสียการควบคุม ฉันวิตกกังวลเกี่ยวกับการได้คะแนนที่ดี การมีเพื่อนใหม่ การไปที่ต่างๆ รอบๆ มหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งการส่งอีเมลไปหาอาจารย์ แทนที่ฉันจะเผชิญหน้ากับความวิตกกังวลและจัดการกับมัน ฉันเลือกที่จะถอยหนี ผัดวัน และทำตัวเหมือนกับว่าฉันไม่สนใจชีวิตมหาวิทยาลัยเลย
ฉันไม่ได้ใช้คำว่า “วิตกกังวล”เพื่ออธิบายสิ่งที่ฉันเป็นมาหลายปีจนกระทั่งนักจิตวิทยาที่ฉันไปพบ ได้อธิบายสิ่งนี้กับฉัน เธอบอกฉันว่า “ความวิตกกังวลไม่ใช่ความเครียด” และ “ความเครียดมีพื้นฐานมาจากปัจจัยภายนอก เช่น การทำงานตามเวลาที่กำหนด หรือการที่งานยุ่งมาก แต่สิ่งที่คุณกำลังอธิบายคือความวิตกกังวล มันอยู่ตรงนั้นเสมอไม่ว่าสิ่งนั้นจะเต็มหรือว่างเปล่า มันเป็นปัจจัยภายในเพราะมันไม่จำเป็นต้องถูกกระตุ้นโดยสิ่งรอบตัวคุณ มันแค่อยู่ตรงนั้น”
ตอนนี้ฉันอายุ 23 แล้ว แต่ความกังวลไม่ได้หายไป
แม้ว่ามันจะไม่มีอาการอย่างมือสั่น กัดริมฝีปาก และหวาดระแวง แต่บางครั้งมันเป็นแค่ความไม่แน่ใจว่าจะเลือกซื้อระหว่างแอปเปิ้ลสีแดงหรือสีเขียวในซูเปอร์มาร์เก็ต ฉันเหมือนรู้สึกตัวเองหยุดชะงักไปกับตัวเลือกเหล่านั้นและจบลงด้วยการออกจากซูเปอร์มาร์เก็ตด้วยความงุนงงและเดินกลับไปที่รถมือเปล่า บางเวลาเป็นเหมือนอย่างคนตาบวมที่สวมเสื้อฮูดตัวใหญ่ออกไปนั่งร้องไห้อยู่ในห้องน้ำเล็กๆ และบางวันที่ความวิตกกังวลทำให้ฉันเป็นเหมือนคนที่เสียงดังและงี่เง่าที่สุดในห้อง จนทำให้ฉันต้องหยุดเล่นโทรศัพท์ไปนานหลายสัปดาห์โดยไม่ตอบข้อความใดๆ
ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ความวิตกกังวลนั้นไม่ใช่ความเครียดและไม่ใช่ “การเป็นคนมีความคิดในแง่ลบ” มันไม่ใช่เครื่องประดับที่เราจำเป็นต้องใส่ ซึ่งเราสามารถถอดมันลงเมื่อไหร่ก็ได้
ฉันเชื่อว่ามันเหมือนการป่วยทางจิตอื่นๆ เราทุกคนมีปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถทำให้เราอ่อนไหวต่อความวิตกกังวลมากขึ้น และบางคนอาจจะต้องต่อสู้กับมันมากกว่าคนอื่น และมันโอเค
พวกเราเติบโตขึ้นมาในยุคที่การแสดงความรู้สึกจำเป็นต้องได้รับความสนใจ และปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือทุกสิ่ง เราถูกสอนให้ปรับตัวเองให้เข้ากับตัวตนภายใน และให้สิ่งนั้นนำเราในการตัดสินใจ แต่เราควรจะทำอย่างไรในเมื่อเรามีอารมณ์มากมายภายในสมองของเราที่เกินกว่ามนุษย์จะตีความได้ แล้วเราจะทำอย่างไรในเมื่อสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำง่ายเหมือนกับการอธิษฐานเกี่ยวกับมัน หรือการควบคุมความคิดกังวลใจ
ความสมเหตุสมผลของความเชื่อและความวิตกกังวล
เมื่อไม่นานมานี้ ขณะที่ฉันกำลังเลื่อนดูอินสตราแกรม ฉันพบข้อความบนแอคเคาท์ของคริสเตียนคนหนึ่งว่า “ความกังวลเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับความไว้วางใจ คุณไม่สามารถวางใจในพระเจ้าในขณะที่ยังวิตกกังวลอยู่ เพราะทั้งสองสิ่งนี้จะเกิดขึ้นพร้อมกันไม่ได้” ไม่ว่าภาพพื้นหลังจะดูสวยงามขนาดไหน แต่ข้อความเหล่านี้ก็อาจทำให้ตระหนักได้ แม้ว่าฉันเปิดใจที่จะรับฟังความจริงที่ท้าทายความเชื่อของเรา แต่สำหรับฉันข้อความเหล่านี้กลับสร้างความเจ็บปวด
มันบอกอะไรเกี่ยวกับความเชื่อของฉันถ้าฉันเป็นคนที่ต่อสู้กับความวิตกกังวล? ทำไมฉันถึงต้องบอกคนที่โบสถ์ว่าฉันกำลังต่อสู้กับมัน ในเมื่อพวกเขาก็จะบอกว่าฉันต้องวางใจในพระเจ้ามากขึ้น? ทำไมมันไม่ง่ายอย่างนั้น?
เมื่อฉันบอกคนในกลุ่มเซลล์ของคริสตจักรว่าฉันได้ไปพบนักจิตวิทยา เพราะฉันต่อสู้กับความวิตกกังวล พวกเขากลับงงงวยและกล่าวว่า “แต่คุณรู้จักพระเจ้า” “ลองพึ่งพาพระองค์สิ”
หลายปี ที่ฉันรู้สึกล้มเหลวในความเชื่อ ฉันวางใจในพระเจ้า ฉันพูดคุยกับพระองค์ทุกวัน แต่แล้วทำไมฉันยังต้องดิ้นรนอยู่?
มีเพื่อนๆ คริสเตียนและศิษยาภิบาลนับไม่ถ้วนที่ได้ให้คำปรึกษาฉันตลอดหลายปีที่ผ่านมา บางคนก็มีคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ มีคนหนึ่งบอกกับฉันว่าความเชื่อของฉันอ่อนแอ และวิทยากรรับเชิญบอกกับฉันอย่างง่ายๆ ว่าฉันต้องตัดสินใจที่จะไม่กังวล แม้ว่าคำแนะนำเหล่านี้จะมีความหมายที่ดี แต่ว่ามันไม่ได้ช่วยเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ช่วยคือเมื่อฉันได้พูดคุยกับเพื่อนคริสเตียนที่เข้าใจสิ่งที่ฉันต้องเผชิญ เพราะพวกเขาไม่ได้มองข้ามความกังวลของฉันหรือตั้งคำถามเกี่ยวกับความเชื่อของฉัน ในทางกลับกัน พวกเขากลับบอกว่าฉันไม่ต้องอายกับการต่อสู้นี้และมันคือสิ่งที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อนำฉันเข้าใกล้พระองค์ และสิ่งเหล่านี้ก็ได้สร้างความหวังให้กับฉัน
ข้อพระคัมภีร์ที่ฉันมักจะได้ยินบ่อยที่สุดในการเทศนาสำหรับคริสเตียนที่ต่อสู้กับความกังวลคือ พระธรรมฟีลิปปี 4:6 “อย่ากระวนกระวายในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลพระเจ้าให้ทรงทราบทุกสิ่งที่พวกท่านขอ โดยการอธิษฐานและการวิงวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ” คริสเตียนหลายคนมักตีความข้อพระคัมภีร์นี้ในทางที่ผิด หากคุณกำลังต่อสู้กับความกังวลนั่นแปลว่าคุณกำลังไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าที่ไม่ให้กังวล แต่ว่าสิ่งนี้ใช่สิ่งที่พระคัมภีร์ข้อนี้กำลังจะสื่อจริงๆ หรือเปล่า?
จากการต่อสู้กับความวิตกกังวลของฉันในฐานะคริสเตียน ฉันได้เข้าใจว่าความกังวลเป็นรูปแบบหนึ่งของการทดลอง และการทดลองไม่ใช่ความบาป แต่เป็นสิ่งที่แม้แต่พระเยซู
ผู้ไม่มีบาปยังได้พบเจอ ซึ่งการตอบสนองต่อการทดลองต่างหากคือสิ่งสำคัญ ในทางเดียวกันฉันเชื่อว่าการมีความวิตกกังวลหรือการอยู่ในความตื่นตระหนกนั้นไม่ใช่ความบาป เพราะการตอบสนองต่อความวิตกกังวลเหล่านั้นต่างหากที่สำคัญ ด้วยความคิดแบบนี้ เมื่อฉันอ่านพระธรรมฟีลิปปี 4:6 ซึ่งเป็นเหมือนคำเชิญให้ฉันอธิษฐานและใกล้ชิดกับพระเจ้า และฉันเชื่อว่าพระธรรมตอนนี้กำลังพูดเมื่อเรารู้สึกกังวล ซึ่งจะเกิดขึ้นกับเราทุกคน และเมื่อเราอธิษฐานมอบความรู้สึกนี้ เราก็กำลังให้พระเจ้ารับรู้ความรู้สึกของเรา และเราจะไม่ปิดบัง มองข้าม หรือแกล้งทำเป็นว่าเราไม่กังวล แต่เรากำลังยอมรับความคิดเหล่านี้และอธิษฐานขอสันติสุขจากพระเจ้า
พระธรรมโรม 12:2 กล่าวว่าเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่ และฉันพบความหวังใจในพระคัมภีร์ข้อนี้ แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน และเราไม่ได้รับการสัญญาว่าจะมีทางออกแบบเดียวกันสำหรับทุกความเจ็บป่วยทางจิตใจ แต่คำว่า เปลี่ยนใหม่ เป็นคำกริยา และไม่ใช่การอยู่เฉยๆ นั่นหมายความว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของเราทีละเล็กทีละน้อยจนยอมจำนนต่อพระเจ้า (2 โครินธ์ 10:5)
สร้างความแตกต่างระหว่างการมีกับการเป็น
เมื่อประมาณสองถึงสามปีก่อน ฉันได้ไปเรียนภาษาสเปนที่โรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่ง มีสิ่งหนึ่งที่ฉันสังเกตได้เกี่ยวกับภาษาสเปนคือความแตกต่างที่ชัดเจนเกี่ยวกับการอธิบายความรู้สึกที่เกิดขึ้นและการอธิบายลักษณะนิสัยเฉพาะของคน เช่น แทนที่จะพูดว่าฉันหิว ในภาษาสเปน คุณจะพูดว่า “ฉันมีความหิว” (tengo hambre) แทนที่จะพูดว่าฉันกังวล คุณจะพูดว่า “ฉันมีความกังวล” (tengo ansiedad)
ฟังดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่สิ่งที่ฉันเรียนรู้เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างมีความวิตกกังวลกับการเป็นกังวล ช่วยเปลี่ยนให้ฉันมองอัตลักษณ์ของตัวเองว่าเป็นคนที่กำลังต่อสู้กับปัญหาทางจิตใจ คุณเห็นไหม ฉันไม่ใช่คนขี้กังวล นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันเป็น มันเป็นแค่บางสิ่งที่ฉันต่อสู้อยู่
เราไม่อาจสามารถควบคุมทุกความคิดที่เข้ามาในขณะที่เรากำลังอยู่เฉยๆ หรือสิ่งที่โผล่เข้ามาเมื่อเรากำลังยุ่งจนไม่ได้สังเกต แต่เมื่อใดก็ตามที่ความคิดกังวลเหล่านั้นเปิดเผยตัวตน และรู้ถึงสิ่งที่มันจะทำ ดังนั้นเราต้องควบคุมการการตัดสินใจของเราให้ตอบสนองอย่างถูกต้อง
เพราะฉะนั้น ฉันขอหนุนใจผู้อ่านทุกท่าน หันกลับมาหาพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงแสนดี พระองค์ทรงเป็นผู้พิทักษ์ที่ยิ่งใหญ่ และทรงต่อสู้ในสงครามแทนเราเมื่อเรามอบมันให้กับพระองค์ ดังนั้นเราจึงสามารถวางใจในพระองค์ได้เพราะพระองค์ชนะแล้ว
ในวันที่เรารู้สึกหนักและความกังวลคืบคลานเข้ามา เราสามารถหันไปหาพระเจ้าได้ และบอกพระองค์ว่ามีสิ่งใดในจิตใจของเรา และอธิษฐานขอให้พระองค์เติมเราด้วยสันติสุขของพระองค์
ซึ่งเป็นความสงบที่ท้าทายทุกเหตุผล
และมันดีจริงๆ
YOU MAY ALSO LIKE
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน
WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ สะสางงานต่างๆ ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...
ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?
WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...
เสียงที่ดังพอ
WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...