fbpx
WRITER: ปลา
EDITOR: Mustard Seed Team

ฉันรู้สึกเหนื่อยและท้อทุกครั้งที่ต้องไปทำงาน ด้วยการเดินทางที่เบียดเสียดในรถไฟใต้ดิน ความโกลาหล แออัดของบ้านเมือง เพราะเมืองที่ฉันอยู่มันวุ่นวายมาก พูดได้ว่าเมืองนี้ติดอันดับ 1 ใน 10 ของเมืองที่วุ่นวายที่สุดในโลก นอกจากนั้นแล้วยังต้องปวดหัวกับคนอีก ไม่ว่าจะเป็นเจ้านาย ลูกค้า และเพื่อนร่วมงาน

ฉันเบื่อกับอารมณ์ไม่คงที่ของแต่ละคนในที่ทำงาน ไม่ชอบที่พวกเขาเอาเปรียบฉันและเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ มันทำให้ฉันคิดว่า สักวันถ้าฉันได้เป็นเจ้าของร้านหรือธุรกิจ ฉันจะไม่ให้เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้นเด็ดขาด ฉันจะมีลูกน้องที่ดี และแน่นอนว่าจะเป็นเจ้านายที่ดีเช่นกัน ฉันต้องเผชิญกับความวุ่นวายแบบนี้อยู่หลายปี สุดท้ายฉันก็เลือกที่จะย้ายไปอยู่เมืองอื่น และการเริ่มต้นใหม่ครั้งนี้ทำให้ฉันได้เป็นเจ้าของร้านอาหารและได้มารู้จักกับ “พระเจ้า”

เมื่อฉันได้เป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหาร ฉันรู้สึกดีใจที่พระเจ้ามอบโอกาสที่ทำให้ฉันได้เติบโต เป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น

แต่โอกาสที่พระเจ้ามอบให้นี้ มันมาพร้อมกับจุดอ่อนที่ฉันเคยหลีกหนีมาโดยตลอดนั่นคือ ปัญหาเรื่องคน

เนื่องจากในประเทศและในพื้นที่ที่ฉันอยู่นี้ มีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง สิ่งที่เราหวังไว้ในธุรกิจจึงไม่ได้เป็นดั่งใจที่เราคิด รายได้ที่ไม่ถึงเป้าที่เราวางไว้ และเรื่องปวดหัวที่ต้องเจอมากที่สุดแทบจะทุกวันนั่นคือ ปัญหากับ “ลูกน้อง” ฉันได้อธิษฐานกับพระเจ้าเสมอ ให้พระเจ้านั้นประทานเพื่อนร่วมงานที่ดี เพื่อการทำงานในชั่วโมงที่ยาวนานในแต่ละวันจะผ่านไปด้วยดี แต่ทุกอย่างเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ จนฉันถึงขั้นถอดใจและอยากจะทิ้งธุรกิจที่ปวดหัวนี้ไปซะ!

ในทุกวันที่ฉันต้องทำงาน ฉันต้องรับภาระความรู้สึกมากมายจากผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า บริษัทส่งของที่เราค้าขายด้วย ซึ่งสองอย่างแรกนี้ฉันยังพอทนกับมันได้ เพราะมันเป็นความสัมพันธ์ที่ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ความรู้สึกที่มันไม่ยอมหายไปไหน ก็คือความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในการทำงานร่วมกันกับลูกน้อง ระยะเวลาในการทำธุรกิจ ฉันได้เจอกับลูกน้องทุกวัย ตั้งแต่วัย 20 ไปจนถึง 70 ปี แต่ละคนมาในรูปแบบที่ต่างกัน ซึ่งบางรูปแบบฉันก็เคยเจอ บางรูปแบบที่ไม่คิดว่าจะมีอยู่ก็ยังต้องเจอ จนบางครั้งทำให้ฉันรู้สึกว่ามันเป็นเพราะบุคลิกของฉันหรือเปล่า เพราะฉันลักษณะที่ดูเด็กเกินไป? ไม่มีความเป็นผู้นำ? ไม่สามารถปกครองได้หรือเปล่า? หรือมาตรฐานที่ฉันวางไว้ในที่ทำงานมันสูงไป ลูกน้องจึงไม่สามารถไต่ไปถึงมาตรฐานนั้นได้? หรือฉันอดทนมากเกินไปจนคนเหล่านั้นข้ามเส้นที่ฉันขีดไว้? ความรู้สึกเหล่านี้ก่อตัวขึ้น จนทำให้ฉันไม่มั่นใจในการทำงาน ในการวางตัว ในการตัดสินใจ จนถึงไม่มั่นใจในสิ่งที่ดีที่ฉันกำลังทำ ฉันพยายามที่จะเข้าใจทุกคน จนไม่เป็นตัวของตัวเอง พยายามลดมาตรฐานลงมาเพื่อลดการกระทบกระทั่ง ผลที่ได้คืองานที่ออกมาไม่อยู่ในมาตรฐานที่ควรจะเป็น เมื่อสะสมความรู้สึกลบและบวกด้วยเวลา นอกจากอยากจะขายธุรกิจทิ้งแล้ว ฉันยังได้ความรู้สึกที่ไม่ดีเพิ่มขึ้นคือ การไม่อยากสุงสิง ข้องเกี่ยว พบปะ หรือต้องพูดคุยกับคนอีก มันทำให้ฉันกลัวที่จะเข้าหาคน เพราะกลัวความเจ็บปวดจากการคาดหวังแล้วไม่ได้สิ่งที่เราหวังนั้น…

ตลอดระยะเวลาที่เปิดธุรกิจ ฉันได้อธิษฐานถึงพระเจ้าเสมอ แต่การอธิษฐานในบางครั้งทำให้ฉันรู้สึกเหมือนพระเจ้าไม่ได้ฟัง ทำให้บางครั้งปัญหาเหล่านี้มันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพระเจ้าเริ่มจืดจางลง เพราะฉันคิดไปเองว่าพระเจ้าเงียบ และไม่ตอบคำถามอธิษฐานของฉันในระหว่างที่ฉันมีปัญหา จนฉันเริ่มสงสัยในพระเจ้า ทำให้การแก้ไขปัญหานั้นมาจากการพึ่งพาตัวเอง ไม่ได้พึ่งพาพระเจ้า เพราะการขาดความเชื่อที่มากขึ้นๆ ฉันได้มองปัญหาเหล่านั้นใหญ่กว่าพระเจ้ามากขึ้นทุกที ฉันกำลังมีมุมมองที่ไม่ดีในพระเจ้า กำลังตั้งคำถามว่า นี่หรือคือสิ่งที่พระเจ้าประทานให้

เมื่อเวลาผ่านไป ปัญหาเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ แต่ฉันก็ไม่เคยหยุดที่จะอธิษฐาน ถึงแม้บางครั้งจะรู้สึกเหนื่อยต่อการกระทำและความสัมพันธ์นี้ก็ตาม

แต่ในทางกลับกัน พระเจ้าไม่เคยเหนื่อยหรือท้อในตัวของฉันเลย พระองค์ทรงทำงานในใจฉัน ให้ฉันรื้อฟื้นความสัมพันธ์ที่แตกร้าวระหว่างลูกน้อง และความคิดลบที่อยากจะแยกออกจากสังคมที่วุ่นวาย โดยการประกาศข่าวดีของพระองค์

ฉันเริ่มมีการสนทนากับลูกน้อง (ที่ไม่ใช่เรื่องงาน) ถึงเรื่องการทะเลาะและหาวิธีแก้ไขปัญหาที่ดูเหมือนไม่มีจุดจบนี้ด้วย “การประกาศ” ฉันได้ทำในสิ่งที่พระเจ้าเร้าใจนี้มาเรื่อยๆ แน่นอนว่าบางครั้งก็ท้อ แต่ฉันคิดเสมอว่าถึงแม้พวกเขาเหล่านั้นอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่ฉันเชื่อว่าอย่างน้อยพวกเขาก็ได้ยิน และคำประกาศเหล่านั้นที่ฉันได้พูดออกไป สักวันต้องตกผลึกไปในใจพวกเขาบ้างไม่มากก็น้อย

เมื่อการรับใช้พระเจ้าโดยการประกาศได้เข้ามาแทนที่บรรยากาศที่ตึงเครียดในการทำงาน ได้เข้ามาแทนที่บทสนทนาที่แตกร้าว ทำให้ฉันและลูกน้องได้พูดคุยในเรื่องชีวิตส่วนตัวมากขึ้น ปัญหาต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของลูกน้อง ทำให้ฉันได้รู้จักพวกเขามากขึ้น และอยากที่จะช่วยเหลือพวกเขา ให้พวกเขาได้รับเชื่อ ได้รับความรอด และรู้จักกับพระเจ้ามากขึ้น สิ่งเหล่านี้มันทำให้การอธิษฐานของฉันกับพระเจ้ากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ฉันเริ่มอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงทำงานในจิตใจของลูกน้องทุกคน ให้ในสิ่งที่ฉันได้พูดเป็นคำพูดที่ฉันพึ่งพาการทำงานของพระองค์ ฉันจะทำในส่วนของฉันอย่างเต็มที่ ทำในสิ่งที่ฉันมีและขอพระเจ้าทรงทำในสิ่งที่ฉันไม่สามารถทำได้ จนความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับลูกน้องเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จนลูกน้องของฉันได้บอกกับฉันว่า “วันนี้…พร้อมจะรับเชื่อแล้ว” มันเป็นความรู้สึกที่ตื้นตันและตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก และสิ่งแรกที่นึกขึ้นได้คือ ฉันขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงทำงานในใจของคนที่เราหว่านไว้ “อย่าเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราจะได้เก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควร” (กาลาเทีย 6:9) และสิ่งนี้ทำให้มุมมองเก่าที่ไม่ดีเปลี่ยนเป็นมุมมองใหม่ที่พระเจ้าทำให้ฉันเข้าใจในความสัมพันธ์ของฉันกับคนอื่นมากยิ่งขึ้น พระเจ้าทำให้ฉันคิดได้ว่า มนุษย์เราล้วนไม่สมบูรณ์มีมุมที่ไม่น่ามองรวมถึงตัวฉันเอง แต่พระเจ้าได้ทำให้เหตุการณ์ต่างๆ มาหล่อรวมกันเป็นผลดีให้ผู้ที่รักพระองค์เสมอ (โรม 8:28) ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าขอบคุณมากจริงๆ

แม้ในช่วงแรกของการรับเชื่อ ลูกน้องของฉันอาจจะยังไม่เข้าใจในความรอด อาจจะขาดการไปโบสถ์และสามัคคีธรรม แต่ฉันรู้สึกว่าฉันเข้าใจพวกเขามากยิ่งขึ้น ไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่พวกเขาทำ แต่เข้าใจในการทำงานของพระเจ้าว่าพระองค์ทรงมีเวลาที่เหมาะสมเสมอ และเราทุกคนก็เหมือนต้นไม้ ที่เติบโตต่างกัน บางต้นเกิดผลไว บางต้นเกิดผลช้า สิ่งที่ฉันสามารถทำได้คือการอธิษฐาน ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป ฉันได้ใช้เวลาอธิษฐานมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะมีเป้าหมายที่เยอะขึ้น นอกจากเรื่องรับใช้ เรื่องชีวิต ครอบครัว และธุรกิจแล้ว ก็มีเรื่องลูกน้องที่อยากจะเห็นพวกเขาเติบโตในพระเจ้าและในที่สุดฉันก็ได้เห็นต้นกล้าอ่อนเหล่านี้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ฉันได้เห็นพวกเขามีคำถามในสิ่งที่เขาเชื่อมากยิ่งขึ้น เมื่อคำตอบตอกย้ำความเชื่อ พวกเขาจึงก้าวเข้ามาหาพระเจ้าใกล้ๆ ทีละก้าว ทีละก้าว เริ่มเข้าร่วมกลุ่มสามัคคีธรรมบ้าง เริ่มไปโบสถ์ด้วยกันบ้าง จากทีละก้าวในวันนั้น ในวันนี้ลูกน้องของฉันวิ่งเข้าหาพระเจ้าอย่างจริงจัง เพราะอยากรู้จักพระเจ้ามากขึ้น พระเจ้าที่เขาเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นความจริง พวกเขาตื่นเต้นในทุกๆ วันอังคาร วันที่เรามีสามัคคีธรรม และที่สำคัญพวกเขาได้ประกาศให้ครอบครัวได้รู้จักกับพระเจ้า ฉันรู้สึกได้เลยว่าเวลาของพระเจ้ามาถึงแล้ว

พระองค์ทรงตอบคำอธิษฐานที่ฉันเฝ้าอธิษฐานอยู่ทุกวัน และคำตอบของพระองค์นั้นทั้งแก้ไขปัญหาในระยะสั้นและระยะยาว เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพระเจ้า และระหว่างฉันกับลูกน้อง คนรอบข้าง เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ให้เรามองมันอย่างเข้าใจมากยิ่งขึ้น และวางใจในพระองค์ วันนี้บรรยากาศในการทำงาน เราทุกคนรู้ว่าเราเป็นผู้เชื่อแล้ว เรารู้ว่าพระเจ้านั้นทรงสถิตอยู่กับเรา ทำให้การตอบสนองของเราทุกคนดีขึ้น และเราจะเติบโตไปด้วยกัน

YOU MAY ALSO LIKE

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน

WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ  สะสางงานต่างๆ  ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...

เสียงที่ดังพอ

เสียงที่ดังพอ

WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...

Share This