WRITER: หัตถกิจ ศ.
EDITOR: Mustard Seed Team
มันอาจไม่ใช่เหตุผลที่ถูกต้องที่สุดที่จะเฝ้าเดี่ยว เมื่อต้องการคำชี้แนะบางอย่างจากพระเจ้า แต่เราควรจัดสรรเวลาแสวงหาพระเจ้าในทุกวันอยู่แล้ว และรู้สึกหิวพระวจนะแม้ว่าจะดูไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันเลยก็ตาม แต่พระเจ้าทรงน่ารักยิ่งนัก หลายครั้งเราจะพบว่าพระองค์ยินดีให้เราทำเช่นนั้น และอันที่จริง ทรงวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อให้คำตอบนั้นมาถึงเราในวันอันเหมาะสม
บ่ายวันหนึ่งช่วงปลายปี 2019 ผมกำลังนั่งกลุ้มใจเพราะทำอุปกรณ์เครื่องใหม่เอี่ยมของห้องแลปเสียหาย แม้ว่าจะใช้มันอย่างระมัดระวังที่สุดแล้วแต่อุบัติเหตุยังเกิดขึ้น พนักงานบริษัทที่มาติดตั้งเคยชี้แจงราคาของตัวเครื่องรวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้คู่กันเอาไว้ ถ้าจำไม่ผิด ของชิ้นเล็ก ที่ผมทำเสียมีราคาอยู่ที่หลักหมื่นบาทเลย
ในวันเดียวกันยังมีอุบัติเหตุในห้องแลปอย่างอื่นเกิดขึ้นกับผมและงานวิจัยของผมอีก จนรุ่นพี่คนหนึ่งถึงกับพูดออกมาว่า “กลับบ้านไปทำบุญหน่อยเถอะ ดูเหมือนว่าบุญจะหมดแล้วนะ”
“นั่นเป็นความคิดแบบคนที่ไม่ได้รู้จักพระเจ้า”
ชีวิตพวกเขาถูกแขวนอยู่บนโชคชะตาซึ่งเป็นไปตามผลจากการกระทำ แต่ความจริงแล้ว ชีวิตเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ในเวลาแบบนี้คริสเตียนถูกสอนให้นั่งลงอธิษฐาน แสวงหาความช่วยเหลือจากพระเจ้า รับฟังเสียงของพระองค์ ผมตัดสินใจนั่งลงเฝ้าเดี่ยว และอ่านพระวจนะผ่าน ‘มานาประจำวัน’
(ถ้าคุณยังไม่เคยอ่าน มานาประจำวันเป็นข้อพระคัมภีร์และบทความสั้นๆ ที่ช่วยย่อยพระคัมภีร์เหล่านั้นให้คุณเข้าใจได้ง่ายขึ้น ส่งตรงถึงคุณวันต่อวัน เป็นอาหารฝ่ายวิญญาณที่จะทำให้เติบโตขึ้นในทางของพระเจ้า)
หัวข้อในวันนั้นคือ “การขอบคุณที่จริงใจ” เมื่ออ่านจบผมขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกต้องทั้งหมดหรือไม่ เหมือนกับว่า ให้เราเรียนรู้ที่จะขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่ง? โดยมีคำว่า “อย่างจริงใจ” กำกับเอาไว้ด้วย
ผมตระหนักได้ว่าบทเฝ้าเดี่ยวในวันนี้มีมาถึงผมอย่างตั้งใจ แต่…มันง่ายไปไหมนะ? คริสตจักรสอนเรื่องประมาณนี้มาตั้งนานแล้ว เป็นเรื่องง่ายสำหรับผมที่จะก้มศีรษะลงในบ่ายวันนั้น และอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ผมพร้อมที่จะไว้วางใจ อะไรทำนองนี้ จึงขมวดคิ้วเพราะเหตุนั้น
ผมตัดสินใจทำตามที่รุ่นพี่แนะนำ หมายถึงแค่ ‘กลับบ้าน’ นะครับ
เพื่อไปตั้งหลักและพักผ่อนหลังจากเจอเรื่องหนักมาทั้งวัน แต่ในระหว่างที่ผมขับมอเตอร์ไซค์ออกมาใกล้จะถึงประตูมหาวิทยาลัย ยางรถเกิดระเบิดขึ้น ผมเสียหลักจนต้องจอดข้างทาง ลมยางไหลออกไปเร็วมากทำให้ขับต่อไปไม่ได้ ผมต้องเดินเข็นรถไปอีกไกลภายใต้แดดยามบ่ายของประเทศไทย
ยอมรับว่าโมโหอยู่บ้าง “อะไรมันจะต้องเจอเรื่องแย่เยอะขนาดนี้” ผมคิดในใจ พยายามระงับอารมณ์ไว้แล้วใคร่ครวญ เมื่อกี้ผมได้เอ่ยปาก “ขอบคุณพระเจ้า” ไปแล้วไม่ใช่หรือ แน่นอนว่านั่นไม่ใช่เครื่องการันตีว่าชีวิตนี้ผมจะไม่ต้องประสบความทุกข์ยากอีก แต่มันเหมือนกับว่าพระเจ้าต้องการสอนอะไรบางอย่าง และผมยังเข้าใจไม่ครบถ้วน เลยต้องมาเดินเหงื่อโชก ถ้าเช่นนั้นที่ถูกต้องคือแบบไหนหล่ะ?
บทกลอนส่งท้ายของมานาประจำวันในวันนั้นหนุนใจเราโดยตั้งเป็นคำถามเอาไว้ว่า
คุณอยากขอบคุณพระเจ้าในสิ่งใดในวันนี้ที่พระองค์ทรงสร้างไว้ การเขียนคำอธิษฐานขอบพระคุณช่วยสร้างเสริมวิญญาณของการขอบพระคุณในทุกสถานการณ์ได้อย่างไร
เมื่อเหนื่อยเต็มทน ผมได้เงยหน้ามองท้องฟ้าระหว่างที่พักหายใจหอบ คือผมเป็นคนชอบดูท้องฟ้าครับ ไม่ว่าอากาศจะหม่นหรือสดใส ทุกครั้งที่ดูจะรู้สึกถึงฝีพระหัตถ์อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
เดี๋ยวก่อนนะ! รู้สึกได้ถึง – ฝีพระหัตถ์ – อันยิ่งใหญ่ – ของพระเจ้า อย่างนั้นหรือ?
ที่ข้างถนนผมได้เปล่งเสียงหัวเราะออกมา ไม่ใช่คลั่งเพราะอากาศร้อน แต่ผมประทับใจที่พระเจ้าใช้วิธีอันเฉพาะเจาะจงเพื่อสื่อสารกับเราแต่ละคน เมื่อผมมองดูมัน ผมรู้สึกได้ถึงกำลังใจจากพระเจ้า ท้องฟ้าในวันนั้นสวยถูกใจผมมาก ราวกับว่าพระเจ้าตระเตรียมวินาทีนี้เอาไว้ ผมเริ่มกล่าวขอบคุณพระเจ้าสำหรับท้องฟ้าที่สวยงามนี้ แล้วพระเจ้าได้ประทานความเข้าใจในส่วนที่เหลือให้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี เพราะพระคัมภีร์บอกไว้ให้ผมทำแบบนั้น “..ให้ขอบคุณพระเจ้าในทุกสถานการณ์ นี่แหละเป็นสิ่งที่พระเจ้าอยากให้คุณทำในพระเยซูคริสต์” (1 เธสะโลนิกา 5:18) มันเป็นการกระทำด้วยความเชื่อฟังก็จริง แต่ยังไม่ได้ออกมาจากความจริงใจ เพราะลึกๆ แล้วผมยังไม่ได้เข้าใจว่า “ต้องขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งใดในวันเวลาที่ไม่น่าชื่นชมแบบนี้?” แต่ท้องฟ้าในวันนั้นทำให้ผมรู้ ท้องฟ้าที่พระเจ้าทรงสร้างไว้ให้เราได้ชื่นชม ท้องฟ้าที่แสดงถึงพระสิริของพระเจ้า ว่าพระองค์ยังทรงปกคลุมและครอบครอง
“แต่พระเจ้ายังครอบครอง ยังทรงครอบครองอยู่เป็นนิตย์ … บรรดาผู้ที่รู้จักพระนามของพระองค์ก็วางใจในพระองค์ …” (สดุดี 9:7,10)
ในระหว่างที่ยังเพ่งมองท้องฟ้า ผมจึงได้กล่าวขอบคุณพระเจ้าและสารภาพความรู้สึกที่มีต่อพระองค์ออกมา
“ขอบคุณนะครับ ที่ผมมีพระองค์”
ผมอาจรู้จักคำว่า ไว้วางใจอยู่แล้ว ในฐานะที่พระองค์เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ แต่การได้เรียนรู้ที่จะจริงใจในคำขอบคุณเนื่องด้วยความวางใจนั้น ทำให้ผมรู้สึกเข้าใกล้คำว่า “สนิทสนม” กับบุคคลหนึ่งซึ่งเขามีตำแหน่งเป็นพระเจ้า
และนั่นคือพระพรที่ผมได้รับผ่านการเฝ้าเดี่ยว
YOU MAY ALSO LIKE
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน
WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ สะสางงานต่างๆ ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...
ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?
WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...
เสียงที่ดังพอ
WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...