WRITER: อิซาเบล คริสอสโตโม ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: Mustard Seed Team
EDITOR: Mustard Seed Team
ฉันนั่งอยู่ในห้องน้ำ พยายามหายใจ น้ำตาไหลอาบแก้ม “เธอนั้นไม่ดีพอ” ความคิดของฉันกระซิบบอก “ใช่ ฉันไม่ดีพอสำหรับอะไรเลย” ฉันตอบกลับ ฉันตะโกนออกไปด้วยความหงุดหงิด แล้วเอากำปั้นทุบกำแพงและร้องไห้หนักกว่าเดิม
ฉันเป็นนักเรียนต่างชาติที่เข้าเรียนในโรงเรียนในประเทศเกาหลีใต้ ฉันควรจะกลับไปเรียนต่อในเดือนมีนาคม 2020 สำหรับปีการศึกษาสุดท้ายของฉันหลังจากพักร้อนกับครอบครัวที่ฟิลิปปินส์ แต่ข้อจำกัดในการเดินทางบังคับให้ฉันต้องอยู่บ้าน นั่นแปลว่าฉันต้องยกเลิกแผนการทุกอย่าง รวมถึงโครงการวิจัยต่างๆ การฝึกงาน และบทบาทการเป็นผู้นำในองค์กร
ฉันใช้เวลาช่วงแรกของการปิดประเทศหรือล็อกดาวน์อย่างกระวนกระวาย พยายามมองหาโอกาสใหม่ๆ แทนที่โอกาสต่างๆ ที่ฉันต้องยกเลิก วันเวลาผ่านไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันจมดิ่งในความวิตกกังวลและความสงสารตัวเอง ฉันเริ่มเชื่อว่าตัวฉันเองนั้นไม่มีคุณค่า ไร้ค่า ไม่มีอนาคต
หลายเดือน ที่ฉันตื่นมาแล้วก็รู้สึกหมดหวังและไม่สามารถขยับตัวได้เพราะความวิตกกังวล จนมาถึงจุดที่ฉันใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ร้องไห้บนเตียง ฉันกลายเป็นคนขี้หงุดหงิดและถึงขั้นเกรี้ยวกราดใส่ครอบครัวของฉันในบางครั้ง ฉันอิจฉาเพื่อนๆ ที่สามารถกลับไปเรียนต่อได้ก่อนที่จะล็อกดาวน์ และกลับมาใช้ชีวิตปกติของพวกเขาได้
เป็นเวลานาน ที่ฉันคิดว่าตัวเองเป็นนักเรียนที่ดีโดยเข้าร่วมในทุกๆ กิจกรรม ฉันไม่เคยคิดเลยว่าฉันสร้างอัตลักษณ์ขึ้นโดยไม่รู้ตัวจากผลสำเร็จทางของการศึกษาของฉัน สิ่งเหล่านี้กลายเป็นแหล่งแห่งความสุขและความปลอดภัยที่ยิ่งใหญ่ของฉัน และเมื่อมันถูกเอาไปจากฉัน ฉันรู้สึกว่างเปล่า
เรียนรู้ที่จะค้นหาคุณค่าของตัวเองในพระเจ้า
ฉันอยากที่จะเป็นแพทย์มาตลอด ฉันคิดว่าทางที่แน่นอนที่สุดที่จะไปถึงเป้าหมายนี้คือการมีผลงานความสำเร็จมากมาย ซึ่งจะช่วยให้ฉันมีโอกาสที่จะเข้าเรียนต่อในโรงเรียนแพทย์
แต่ในขณะที่ฉันยุ่งกับกิจกรรมต่างๆ ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพระเจ้ากลับถูกสั่นคลอน
ถึงแม้ฉันกระตือรือร้นในการรับใช้ที่โบสถ์ แต่ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างฉันกับพระเจ้ากลับเป็นอะไรที่ครึ่งๆ กลางๆ
ฉันใช้เวลาใคร่ครวญพระคำพระเจ้าน้อยลงเรื่อยๆ ฉันอธิษฐานอย่างไม่เต็มใจ ฉันมักจะใช้เวลาว่างไปกับการหางาน วางแผนอาชีพ และเพ้อฝันถึงอนาคตของตัวเอง
ฉันทำทั้งหมดนี้โดยบอกกับตัวเองว่าฉันต้องประสบความสำเร็จเพื่อที่จะถวายเกียรติพระเจ้า และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้อื่น ขณะที่ความสำเร็จไม่ได้ผิดอะไร และพระเจ้าทรงเรียกพวกเราให้ทำอย่างดีที่สุดและถวายเกียรติพระเจ้าในทุกสิ่งที่เราทำ (ปัญญาจารย์ 9:10, 1 โครินธ์ 10:31) สิ่งเหล่านี้ไม่ควรมาแทนที่พระเจ้าในชีวิตของเรา
วันหนึ่ง อีกครั้งที่ฉันรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการเรียนและการตัดสินใจเรื่องการงาน แต่ฉันรู้สึกแย่และรู้สึกพ่ายแพ้มากกว่าเดิม ฉันรู้สึกถูกปฏิเสธเพราะเหมือนจะไม่มีใครเข้าใจว่าฉันกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ และฉันไม่ได้รับการสนับสนุนแบบที่ฉันคิดว่าจะได้รับจากคนที่ฉันเคยขอความช่วยเหลือ แต่ฉันรู้ว่าพระเจ้าไม่ปฏิเสธฉัน ดังนั้นฉันหันไปหาพระองค์ด้วยคำอธิษฐาน
และเมื่อก่อนฉันสามารถเปล่งเสียงอธิษฐาน ฉันรู้สึกพระเจ้าพูดอย่างอ่อนโยนว่า “หาคุณค่าของเจ้าในเรา”
และฉันเลยสารภาพว่าฉันตกลงสู่การบูชารูปเคารพ และฉันทูลขอการอภัยจากพระองค์
พระเจ้าใช้ความล้มเหลวเหล่านี้เพื่อเปิดเผยสภาพที่แท้จริงในใจฉัน พระเยซูกล่าวในพระธรรมมัทธิว 6:21 “เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย” ฉันเพิ่งตระหนักว่าฉันได้เปลี่ยนให้ความสำเร็จต่างๆ ของฉันกลายเป็นรูปเคารพ เพราะฉันไม่มีสันติสุขเมื่อพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเหล่านั้นถูกพรากไปจากฉัน
แต่มันไม่ได้จบลงแค่นั้น ไม่กี่วันหลังจากที่ฉันอธิษฐาน ฉันกลับมากังวลเหมือนเดิม ในขณะที่ฉันเริ่มใช้เวลาอ่านพระคัมภีร์และอธิษฐานมากขึ้น ความคิดของฉันยังคงดื้อรั้นไม่ยอมปล่อยวางความปรารถนาที่อยากจะประสบความสำเร็จ หลังจากประกาศพระสัญญาจากพระเจ้า ฉันมักจะถูกครอบงำด้วยสถานการณ์ต่างๆ และไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่พระองค์
วันหนึ่ง ความวิตกกังวลของฉันแย่มากจนฉันต้องรีบไปห้องฉุกเฉินเพราะฉันรู้สึกแน่นหน้าอกและหายใจลำบาก ขอบคุณพระเจ้า คุณหมอรักษาได้รวดเร็วและฉันได้กลับบ้านภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่นั่นคือสัญญาณเตือนที่ช่างทรมานเหลือเกินสำหรับฉัน
พระธรรมสดุดีบทที่ 23 ให้ภาพที่สวยงามของการพักสงบและความพึงพอใจ “พระยาห์เวห์ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ พระองค์ทรงคืนความสดชื่นแก่ชีวิตข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์” (สดุดี 23:1-3) มองที่ตัวเอง ฉันเห็นสุขภาพของตัวเองในจุดที่แย่ที่สุด ทางกาย ทางจิตใจ และทางอารมณ์ เพราะฉันละทิ้งผู้เลี้ยงที่แท้จริง ฉันถูกทำให้หลงทาง
ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงพบฉัน หลายเดือนหลังจากอยู่ในวงจรที่เลวร้ายของความสงสารตัวเองและวิตกกังวล ในที่สุดฉันก็ยอมจำนนต่อรูปเคารพของฉันและเลือกจดจ่ออยู่กับพระเจ้าผู้เลี้ยงดูของฉัน
ลูกขององค์จอมกษัตริย์
ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ฉันได้รับการเตือนว่าพระเจ้านั้นทรงเป็นจอมกษัตริย์ของทุกสิ่งทุกอย่างและเป็นพ่อที่รัก และพระองค์ทรงใส่ใจในเราที่สุด (เฉลยธรรมบัญญัติ 10:12-13)
มารใช้รูปเคารพของฉันเพื่อล่อลวงฉันจากพระเจ้าและจากพระพรที่ดีงามต่างๆ ที่ฉันมีในพระองค์
พระเจ้าทรงแทนที่คำว่า “เธอไม่ดีพอ” ในความคิดของฉันด้วยพระคำที่ปลอบโยนของพระองค์ว่า “เจ้าคือลูกของเรา” และฉันรู้สึกขอบพระคุณพระองค์จริงๆ
เมื่อฉันตัดสินใจที่พักสงบในตัวตนของฉันในฐานะลูกของพระองค์ ฉันเห็นความรักของพระองค์ที่ไหลล้นในชีวิตของฉัน
แม้ฉันจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับพระเจ้ามานานแล้วก็ตาม พระองค์ยังคงดูแลบาดแผลของฉันตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา พระเจ้าไม่เพียงแต่นำการรักษาฝ่ายจิตวิญญาณมาให้ฉันเท่านั้น พระองค์ยังฟื้นฟูสุขภาพร่างกายของฉันด้วย พระองค์ทรงรับเอาอาการซึมเศร้าและแทนที่ความวิตกกังวลของฉันด้วยสันติสุข “ที่เกินความเข้าใจ” (ฟีลิปปี 4:7)
ขณะที่ฉันประหลาดใจในการทรงสถิตของพระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ ฉันสามารถตื่นขึ้นมาในแต่ละวันและเต็มไปด้วยความหวัง ตอนนี้ฉันสามารถพบกับความชื่นชมยินดีในช่วงเวลาที่ได้ใช้กับครอบครัว และพระเจ้าสำแดงวิถีทางใหม่ๆ ที่ฉันสามารถรับใช้พวกเขา ฉันเริ่มบทสนทนาที่มีความหมายมากขึ้นกับเพื่อนๆ
เดือนกันยายน 2020 หกเดือนหลังจากเริ่มล็อกดาวน์ พระเจ้าประทานโอกาสใหม่ในออนไลน์ให้ฉัน ฉันยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนมากมายในการเรียนของฉัน หลายครั้งที่ฉันถูกล่อลวงให้วิตกกังวล แต่พระเจ้าย้ำเตือนฉันเสมอว่า “เจ้าคือลูกของเรา” ถึงแม้พระองค์ไม่ได้เปิดโอกาสอื่นๆ ให้กับฉัน หรืออาชีพการงานที่ฉันได้วางแผนไว้นั้นจะไม่สำเร็จ แต่ฉันรู้ว่าฉันมีคุณค่าและมีอนาคตในพระองค์
ให้พระเจ้าอยู่เหนือสิ่งอื่นใด
เมื่อใดก็ตามที่ฉันถูกล่อลวงให้เอาความสำเร็จอยู่เหนือพระเจ้า ฉันได้รับการย้ำเตือนว่าการปฏิเสธรูปเคารพของฉันนั้นไม่ใช่การทำเพียงครั้งเดียวจบ มันคือการยอมจำนนในทุกวัน เราต้องตั้งใจจริงในการให้พระเจ้ามาเป็นที่หนึ่งอยู่เหนือทุกสิ่ง ในทุกๆ วัน
มันยากแต่เรามีความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่เมื่อเราต้องการ พระเจ้าอวยพรเราด้วยการประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อนำเรา (ยอห์น 14:15-17) พระคัมภีร์เพื่อสอนเรา (2 ทิโมธี 3:16-17) และคริสตจักรที่หนุนใจซึ่งกันและกัน (1 เธสะโลนิกา 5:11 ; ยากอบ 5:16) หากเราหลงผิดไปกับการกราบไหว้รูปเคารพ พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมจะให้อภัยเรา (1 ยอห์น 1:9) ในพระคริสต์ เราไม่จำเป็นที่จะต้องยึดปัญหาทั้งหมดไว้คนเดียว (ยอห์น 16:33)
การให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่งเป็นผลดีกับเรา แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือเราให้พระองค์เป็นที่หนึ่งเพราะพระองค์ทรงสมควรได้รับการสรรเสริญ ฉันอธิษฐานที่เราจะร้องเพลงไปด้วยกันกับลูกของพระองค์ “จงถวายพระเกียรติซึ่งควรแก่พระนามของพระองค์แด่พระยาห์เวห์ จงนมัสการพระยาห์เวห์ผู้ทรงงดงามในความบริสุทธิ์” (สดุดี 29:2)
YOU MAY ALSO LIKE
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน
WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ สะสางงานต่างๆ ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...
ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?
WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...
เสียงที่ดังพอ
WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...