fbpx
WRITER: สวิตตา เจริญศรีศิลป์
EDITOR: Mustard Seed Team

เมื่อปลายปี 2020 ฉันได้มีโอกาสไปตรวจสุขภาพประจำปีครั้งแรกตอนอายุ 26 ปี และพบว่าระดับน้ำตาลในเลือดของฉันสูงกว่าเกณฑ์ปกติ หลังจากนั้น 3 เดือนฉันได้ไปตรวจเพิ่มเติมเพื่อดูว่าฉันเข้าเกณฑ์เป็นเบาหวานแล้วหรือยัง และหาแนวทางรักษาต่อไป ผลออกมาว่าน้ำตาลสะสมของฉันเข้าเกณฑ์เป็นเบาหวาน

ตอนนั้นฉันรู้สึกทำตัวไม่ถูก และตั้งตัวไม่ทัน อาจเพราะฉันไม่เคยคิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับฉันจริงๆ และมาในช่วงอายุที่ไม่น่าเป็นไปได้เลย ด้วยความที่ฉันเป็นคนจริงจังกับเรื่องสุขภาพมากเป็นพิเศษอยู่ด้วยแล้ว เหตุการณ์ในครั้งนี้จึงเรียกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายที่ใหญ่มากจริงๆ สำหรับชีวิตของฉัน

ฉันเริ่มศึกษาเรื่องโภชนาการและสัดส่วนอาหารอย่างจริงจัง พร้อมเริ่มต้นออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อ และทุกๆ วันฉันจะเจาะน้ำตาลหลังอาหารดูว่าค่าน้ำตาลของฉันสูงมากแค่ไหน ลึกๆ แล้วฉันยังทำใจไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าวันไหนที่ฉันออกไปกินข้าวที่ร้านอาหารนอกบ้าน หรือเผลอกินอาหารบางอย่างที่มีน้ำตาลแฝงและทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นสูงฉันจะเศร้ามาก ฉันพยายามอย่างหนักและทำทุกวิธีที่จะหายจากโรคนี้ให้เร็วที่สุด ช่วงเวลาหกเดือนที่ผ่านมา ถึงแม้ค่าน้ำตาลสะสมจะดีขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ แต่ทว่าจิตใจของฉันนั้นกลับตรงกันข้าม ฉันยังไม่มีความสุขและความชื่นชมยินดี ฉันรู้สึกเหมือนคนหมดหวัง รู้สึกว่าร่างกายตัวเองมีตำหนิ การเป็นเบาหวานทำให้ฉันเห็นว่าจริงๆ แล้ว

ฉันได้ยึดเอาสุขภาพเป็นความมั่นคงและความปลอดภัยในชีวิตแทนที่พระเจ้า

เมื่อมองย้อนกลับไปฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่ที่ตัวเองค่อยๆ เริ่มปล่อยมือจากสถานการณ์ที่ตัวเองควบคุมไม่ได้ แต่เมื่อได้คิดทบทวนดู จริงๆ แล้วพระเจ้าทรงใช้เรื่องราวหรือเหตุการณ์เล็กๆ ในแต่ละวันค่อยๆ สอนและสำแดงให้ฉันเห็นว่ามีอะไรบ้างที่เป็นส่วนของฉันที่ต้องทำ และมีอะไรบ้างที่เป็นส่วนของพระองค์ ฉันต้องเรียนรู้ที่จะวางใจพระองค์ มีประโยคนึงของนักเทววิทยาชาวอเมริกัน ชื่อ Reinhold Niebuhr ที่ฉันได้อ่านเจอบนเฟซบุ๊คของเพื่อน คำอธิษฐานนี้ทำให้ฉันได้ทบทวนเขาอธิษฐานว่า

 “พระเจ้าโปรดประทานความสงบให้ฉันยอมรับสิ่งที่ฉันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ฉันทำได้ และสติปัญญาที่จะรู้ถึงความแตกต่างนั้น”

ฉันได้ใคร่ครวญถึงความหมายของมันจริงๆ และเมื่อฉันเริ่มยอมรับในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ หรือเหนือการควบคุมของตัวเอง ฉันก็เริ่มที่จะเป็นอิสระจากความกังวล และความกลัวที่เกาะกุมฉันอยู่ 

จากที่เคยเป็นคนที่กังวลและมีกรอบในชีวิตสูงมาก ฉันพบว่าทุกวันนี้ฉันมีความสุขขึ้นมาก ทั้งๆ ที่ชีวิตยังมีปัญหาเข้ามาอยู่เป็นปกติ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ ฉันจัดการกับมันได้ดีขึ้น

ฉันยอมรับข้อบกพร่องของตัวเองและคนอื่นได้มากขึ้น มองเห็นโอกาสแทนที่จะเห็นความล้มเหลว

ฉันยังคงตั้งใจควบคุมน้ำตาลในเลือดต่อไปแต่ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป ฉันไม่รู้สึกเศร้าหรือติดกับดักความกลัวแล้วแม้น้ำตาลในเลือดขึ้นสูงบ้างเป็นครั้งคราว เพราะฉันได้ทำดีที่สุดแล้วในจุดที่ฉันทำได้ และที่เปลี่ยนไปอีกอย่างคือ ฉันได้เลือกที่จะเชื่อและวางใจว่าพระเจ้ายังทรงดูแลชีวิตฉันอยู่ แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นคือ เบาหวานยังทำให้ฉันเห็นคุณค่าและเป้าหมายของชีวิตมากขึ้น เห็นคุณค่าของลมหายใจที่ยังมีอยู่ในวันนี้ และผลักดันให้ฉันใช้เวลาลงทุนกับสิ่งที่คุ้มค่าและสำคัญมากที่สุดกับสิ่งที่พระเจ้าให้กับฉัน

เมื่อนึกย้อนไปในช่วงแรกๆ ที่รู้ว่าตัวเองเป็นเบาหวาน ฉันเคยขอกับพระเจ้าว่าถ้าเป็นไปได้ ขอพระองค์ทรงให้ฉันหายจากโรคนี้ได้ไหม แต่ลึกๆ ในใจฉันก็รู้ว่าเบาหวานคือโรคที่ต้องควบคุมไปตลอดชีวิต เป็นเหมือนหนามในเนื้อที่ไม่มีวันหายไปจากชีวิตของเปาโล แต่ตอนนี้ฉันอยากขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ฉันเห็นว่า ฉันชอบที่จะพึ่งพาตัวเองมากแค่ไหน และเพราะหนามในเนื้อนี้พระเจ้าทรงทำให้ฉันเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตโดยพึ่งพาพระคุณของพระองค์ในทุกๆ วัน

จริงๆ ถ้าเลือกได้ ฉันก็อยากไม่มีโรคเบาหวานในชีวิต เพราะมันจะทำให้ฉันใช้ชีวิตได้ตามใจและสบายมากกว่า แต่ก็เพราะมันอีกเช่นกันที่ทำให้ฉันค้นพบความจริงของพระเจ้าและอยู่เพื่อสิ่งสำคัญในทุกๆ วันของชีวิตต่อจากนี้ 

วันนี้มีอะไรไหมที่เป็นเหมือนหนามในเนื้อในชีวิตของคุณ? อาจเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ดีในอดีตที่ตามหลอกหลอน ความสัมพันธ์ที่ทิ้งรอยแผลเอาไว้ หรือแม้แต่ปัญหาสุขภาพที่คอยฉุดให้ท้อใจ ไม่ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ฉันหวังว่าเรื่องราวของฉันจะเป็นที่หนุนใจ

เมื่อเราได้ทำส่วนของเราอย่างที่สุดแล้ว ขอที่เราจะได้วางใจพระองค์ในส่วนที่เหลือ

เพราะพระเจ้าที่ฉันรู้จักนั้น พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและแสนดี พระองค์จะทรงดูแลและรับรองชีวิตลูกๆ ของพระองค์ทุกคนแน่นอน 

“แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘พระคุณของเราก็มีพอสำหรับเจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น’ เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงยินดีโอ้อวดในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในความอ่อนแอของข้าพเจ้า ในการถูกว่ากล่าวต่างๆ ในการขัดสน ในการถูกข่มเหง ในการยากลำบาก เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น” 2 โครินธ์ 12:9-10 

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความเข็มแข็งและความมั่นคงในจิตใจที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นในลูกผ่านเหตุการณ์นี้ ลูกขอสรรเสริญพระองค์

YOU MAY ALSO LIKE

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน

WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ  สะสางงานต่างๆ  ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...

เสียงที่ดังพอ

เสียงที่ดังพอ

WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...

Share This