WRITER: แอชลีย์ แอชคราฟต์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ชลิดา สุภาแสน
EDITOR: Mustard Team
คุณแม่จะอีสเตอร์ไปด้วยกันไหม?
ในวันนั้นลูกสาวของฉันอยู่กับคุณยายของเธอ และฉันได้ยินว่าพวกเขาจะตกแต่งวันอีสเตอร์กัน เมื่อฉันไปถึงที่นั่นเพื่อรับลูกกลับบ้าน ลูกกระตือรือร้นมองมาที่ฉัน ในมือถือตะกร้าที่เต็มไปด้วยไข่หลายใบ และถามฉันว่าคุณแม่จะอีสเตอร์ไปด้วยกันไหม? แทนที่จะเป็นคุณแม่จะตกแต่งวันอีสเตอร์ด้วยกันไหม?
ตอนแรกฉันขำในหลักไวยากรณ์ของลูกสาว แต่หลักจากนั้นลูกสาวได้พูดบางอย่างที่กินใจมาก
อีสเตอร์เป็นคำกริยาหรืออย่างน้อยก็ควรจะเป็น อีสเตอร์เป็นวันเฉลิมฉลองประจำปีในการฟื้นพระชนม์ของพระเยซู เป็นเวลาแห่งความตั้งใจและการเฉลิมฉลองอย่างมีจุดประสงค์ แต่อีสเตอร์จะเป็นอย่างไรหากเรานำวันอีสเตอร์มาอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา?
ต้อนรับพระองค์
เมื่อพระเยซูเสด็จมาถึงกรุงเยรูซาเล็มในวันอาทิตย์ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ ฝูงชนจำนวนมากเอาเสื้อผ้าของตนมาปูตามถนนหนทางและต้อนรับพระองค์ พวกเขารู้ว่าชายผู้นี้ที่เข้ามาในเมืองของพวกเขาไม่ใช่คนธรรมดา พวกเขาโห่ร้องว่า “โฮซันนา แก่บุตรของดาวิด ขอให้ท่านผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ โฮซันนา ในที่สูงสุด” (มัทธิว 21:8-9)
เราเรียกวันนี้ว่าวันใบปาล์ม และมักจะระลึกถึงด้วยความชื่นชมยินดีไปพร้อมๆ กันในคริสตจักร แต่วันนั้นไม่ได้เป็นแค่เพียงวันที่ระลึกถึงการที่พระเยซูเสด็จเข้าเมืองเยรูซาเล็มเท่านั้น แต่เป็นเวลาแห่งการทูลขอการทรงนำจากพระองค์ในชีวิตของเราด้วยเช่นกัน เป็นวันแห่งการต้อนรับและปรับตัวเราน้อมรับในวิถีทางของพระองค์
เมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้เขียนบันทึกต่างๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ฉันต้องทำและรับผิดชอบ กุญแจแห่งความสัมพันธ์ในชีวิตของฉัน, และสถานที่ต่างๆ ที่ฉันได้ค้นพบตัวเอง แต่ละวันฉันเขียนรายการต่างๆ และต้อนรับพระเยซูเข้ามาในทุกสิ่งที่ฉันทำ ในความสัมพันธ์และในสถานที่ต่างๆ แน่นอนว่าพระองค์ทรงประทับอยู่แล้ว ณ ที่นี่ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า
แต่ทั้งหมดนี้เกี่ยวกับความตั้งใจที่ฉันจะต้อนรับพระองค์เข้ามาในชีวิตและรับรู้ถึงพระองค์อีกครั้งว่าพระองค์ทรงเป็นที่หนึ่งในชีวิต เป็นวิธีการที่จะบอกว่า “นี่ไม่ใช่จุดประสงค์ของฉัน แต่เป็นน้ำพระทัยของพระองค์”
แต่มันไม่ง่ายเลย เมื่อฉันต้อนรับพระเยซูเข้ามาในบ้านของฉัน ชีวิตการแต่งงานของฉัน ในหน้าที่ต่างๆ ของฉันในฐานะคนเป็นแม่ ในห้องเรียนของฉัน ในความสัมพันธ์ ให้พระองค์เป็นต้นแบบและเป็นฐานที่มั่นคงในชีวิต ฉันสัมผัสได้ว่าการทรงสถิตของพระเจ้าต้องการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ เหล่านี้ เช่น การโกหก ความวิตกกังวล และความมั่นคงต่างๆ ที่เราคิดว่ามั่นคง แต่มันไม่มีความหมายใดๆ อีกต่อไป เมื่อเราได้ต้อนรับพระองค์เข้ามา ส่วนหนึ่งของการต้อนรับคือการเชื่อและมั่นใจในพระเจ้าอยู่เหนือสิ่งใดๆ ให้เราต้อนรับพระคริสต์ในเทศกาลอีสเตอร์นี้ ไม่ว่าจะต้องจ่ายราคาสูงสักเท่าใดก็ตาม
ระลึกถึงพระองค์
ในเย็นวันนั้นก่อนที่พระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์ พระเยซูร่วมฉลองเทศกาลปัสกาพร้อมกับเหล่าสาวกของพระองค์ ซึ่งเป็นเทศกาลที่ระลึกถึงการช่วยกู้ที่พระเจ้าทรงช่วยชาวอิสราเอลออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ อาหารมื้อนี้เองที่พระเยซูทรงตั้งเป็นอาหารมื้อสุดท้ายหรือที่เรียกว่าพิธีมหาสนิท พระองค์ทรงนั่งพร้อมกับพวกเหล่าสาวกรายล้อม พระองค์ทรงหยิบขนมปัง เมื่อขอบพระคุณแล้วก็ทรงหักขนมปังส่งให้พวกเขา ตรัสว่า “นี่เป็นกายของเรา ซึ่งให้ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย จงทำอย่างนี้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเรา” เมื่อรับประทานแล้ว จึงทรงหยิบถ้วยน้ำองุ่นและทรงทำเหมือนกันตรัสว่า “ถ้วยนี้ที่เทออกเพื่อท่านทั้งหลาย” (ลูกา 22:19-20)
ถ้อยคำของพระเยซูที่ตรัสว่า “จงทำอย่างนี้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเรา” เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในสายตาของฉัน พระองค์ทรงเรียกร้องให้เราระลึกการเสียสละของพระองค์บนไม้กางเขนโดยการหักขนมปังและดื่มน้ำองุ่น สิ่งนี้ต้องเป็นส่วนหนึ่งในอีสเตอร์ของเราในปีนี้ เมื่อเราหักขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้ เราก็กำลังเข้าส่วนกับพระองค์ และเป็นการบอกว่า “เราต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนี้”
ซึ่งหมายความว่าเราต้องการร่วมทนทุกข์ไปกับพระองค์ และในฐานะการเป็นบุตรของพระเจ้า อนาคตของเรามีความมั่นคงแน่นอน เราจะฟื้นคืนพระชนม์ร่วมกับพระองค์
ให้เราระลึกถึงการเสียสละของพระคริสต์ด้วยการเข้าส่วนกับอาหารค่ำมื้อสุดท้ายในสัปดาห์อีสเตอร์
โศกเศร้ากับพระองค์
วันศุกร์ในช่วงสัปดาห์ปัสกา พระเยซูทรงถูกตรึงที่กางเขน หลังจากถูกทรมานเป็นเวลาหลายชั่วโมง พระองค์ทรงร้องออกมาว่า “ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอฝากจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” (ลูกา 23:46) แล้วก็สิ้นพระชนม์ ในพระธรรมมัทธิวกล่าวว่าในเวลานั้นเกิดแผ่นดินไหวเมื่อพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์(มัทธิว 27:51) และเมื่อเราอ่านต่อมาจะพบกว่าท้องฟ้าเกิดมืดมัวจนถึงบ่ายสามโมง(ลูกา 23:44-45)
ให้คุณลองจินตนาการดูว่าคุณจะรู้สึกหนักอึ้งเช่นไร หากคุณยืนอยู่ที่ปลายกางเขนนั้น? และร่วมในประสบการณ์แผ่นดินไหวและความมืดปกคลุม? เพื่อเห็นด้วยตาของคุณเองถึงความบาปและความละอายต่างๆ บนโลกใบนี้ ทั้งหมดนี้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น พระบุตรของพระเจ้าถูกตรึงที่กางเขน พระเจ้าพระบิดาทรงหันหลังให้พระบุตรของพระองค์เอง นี่ดูเหมือนเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์
เราจะร่วมในการเศร้าโศกนี้ได้อย่างไร? เราจะสัมผัสกับความหนักหน่วงที่เกิดขึ้นในเวลานั้นได้อย่างไร? แต่ฉันคิดว่าคำตอบที่ชัดเจนคือเราไม่ต้องการเผชิญกับสิ่งนี้ เราแค่นั่งลง และใคร่ครวญกับมันอย่างไม่เร่งรีบเพื่อให้มันแค่ผ่านๆ ไปถึงวันอาทิตย์เท่านั้น
แต่เราจำเป็นต้องนั่งลงในวันศุกร์ประเสริฐเพื่อโศกเศร้ากับเหตุการณ์การสิ้นพระชนม์ของพระเยซู ที่พระองค์ทรงรับความบาปของเราทั้งหลายไว้
เราทั้งหลายต้องขอให้พระเจ้าช่วยให้เราเข้าใจให้ได้มากที่สุดถึงการเสียสละของพระองค์ ถึงการสูญเสียและความอับอายในโลกใบนี้ เราเสียใจกับอดีต ในความบาปของเราที่แยกเราออกจากพระเจ้า แต่อย่างไรก็ตามเรื่องราวไม่ได้จบแค่ตรงนี้…
รอคอยพระองค์
ลองคิดภาพวันเสาร์ถัดมาจะเป็นอย่างไร? เมื่อพระเยซูอยู่ในอุโมงค์ฝังศพ สาวกของพระองค์หมดหวังหรือไม่? หรือมีไม่กี่คนที่ได้รับความเข้าใจผ่านทางพระวิญญาณและเริ่มรวบรวมคำสองของพระเยซูและรอคอยอย่างมีความหวังว่าพระองค์จะกลับมา?
ความตึงเครียดของวันเสาร์ ระหว่างที่พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ในวันศุกร์และในการเป็นขึ้นของพระองค์ในวันอาทิตย์ ไม่ควรจะโดนมองข้ามไป พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์และสาวกของพระองค์บางคนสิ้นหวัง แม้เรารู้ว่าพระองค์จะเป็นขึ้นมาอีกครั้งในวันอาทิตย์ แต่ช่วงระหว่างนี้เป็นช่วงเวลาที่ยาก
ความตั้งใจในการรอคอย การนั่งรอท่ามกลางความตึงเครียด และแสดงออกถึงความเข้าใจว่าเราไม่ได้เป็นผู้ควบคุมดูแล
เช่นเดียวกับความโศกเศร้า อย่าให้เรารีบๆ ให้เรื่องนี้มันผ่านไป แต่ความชื่นชมยินดีในวันอาทิตย์จะดูไม่เข้าท่าเลยหากไม่มีช่วงโศกเศร้าใจในวันเสาร์
การรอยคอยพระคริสต์เป็นอย่างไรในทุกวันนี้? ทั้งในช่วงเทศกาลอีสเตอร์และในชีวิตประจำวันของเราด้วย? บางทีเราอาจะอยู่ในช่วง “ระหว่าง” สถานการณ์ของเราตอนนี้ สถานที่ไหนและอะไรที่เราถูกขอให้รอคอย? เราจะยึดมั่นในพระคริสต์ได้อย่างไรในช่วงแห่งการรอคอยนี้? และเรากำลังรอคอยอะไรกันแน่?
ในฐานะคริสเตียน เรารอคอยความสมบูรณ์ของอาณาจักรของพระเจ้า เรารอคอยการเสด็จกลับมาของพระเยซู เวลาที่ความบาปไม่มีอำนาจเหนือโลกนี้อีกต่อไป แล้วในการรอยคอยนี้ เราจึงมองไปยังวันอาทิตย์ที่จะมาถึง
ชื่นชมยินดีในพระองค์
ในเช้าวันอาทิตย์ พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย และมาต่อปรากฎต่อหน้าเหล่าสาวก เพื่อนๆ และครอบครัว พระองค์ทรงฟื้นพระชนม์และทรงชนะความตาย พระองค์ทรงเอาความบาป ความอับอายออกไปเพื่อเราอย่างสมบูรณ์
ลองจินตนาการถึงวันนั้นดู? วันที่ความโศกเศร้าทั้งหลายและความสิ้นหวังถูกยกออกไป? หรือฝันร้ายที่สุดของเราถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่เรื่องจริง? เหล่าสาวกคิดถึงพระเยซูเป็นอย่างมากและตอนนี้พระองค์ทรงประทับยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขาและมีเนื้อหนังอีกครั้ง พระองค์ทรงเป็นผู้ที่พระองค์ทรงเป็น พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่รักษาพระสัญญา พระองค์มาเพื่อช่วยผู้คนให้รอดจากความบาปเพื่อพระสิริของพระองค์ หนี้บาปที่เราไม่สามารถจ่ายราคาได้ ถูกชดเชยอย่างสมบูรณ์ พระองค์ทรงเตรียมหนทางสำหรับคุณและฉันให้ได้มารู้จักพระองค์และอยู่กับพระองค์ตลอดไป
ความบาปไม่สามารถแยกเราออกจากพระเจ้าของเราได้อีก และวันอาทิตย์ที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมานั้นเป็นวันที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์
อีสเตอร์ปีนี้ให้เราดื่มด่ำกับความชื่นชมยินดีเหตุเพราะพระคริสต์ทรงเป็นขึ้นมา ให้เราร้องเพลงสรรเสริญดังก้องกังวาล ยกชูมือขึ้นสูงเพื่อรับการอภัยบาป รับพระเมตตา และความดีงามของพระองค์ ให้เราสวมกอดพี่น้องในพระคริสต์และประกาศกับคริสตจักรทั่วโลกว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นแล้ว!
เพื่อนๆ จะอีสเตอร์ไปกับฉันไหม?
YOU MAY ALSO LIKE
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน
WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ สะสางงานต่างๆ ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...
ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?
WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...
เสียงที่ดังพอ
WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...