fbpx
WRITER: ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: พันทนิน พัวบัณฑิตกุล
EDITOR: MUSTARD SEED TEAM

มีหลายสิ่งที่เป็นอุปสรรคในการอ่านพระวจนะของพระเจ้า บ่อยครั้ง เราคิดว่าเราไม่มีเวลา แต่บางทีเหตุผลที่จริงๆ คือ เรารู้สึกเหนื่อยและล้าเกินไปจากการทำงานและเหตุผลส่วนตัว เมื่อเรามีกำลังในการอ่าน เราอาจยังแก้ตัวว่าไม่ง่ายที่จะเข้าใจพระคำ เราไม่เข้าใจบริบทและไม่สามารถเข้าถึงได้

แม้เราจะเข้าใจ ก็ไม่ง่ายที่จะปฏิบัติตามในสิ่งที่เราอ่าน… รักศัตรูหรอ? เป็นไปไม่ได้! ให้อภัยหรอ? แล้วความเจ็บปวดของเราล่ะ! ให้ด้วยใจกว้างขวางหรอ? แต่เราไม่มีอะไรจะให้…

ซาตานจะทำทุกอย่างในการยับยั้งและทำให้เราขาดกำลังใจ โดยให้เราคิดว่าพระคำของพระเจ้าเป็นเรื่องยาก แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าให้พระคำของพระองค์ไม่ใช่เพื่อเป็นภาระกับเราแต่เพื่อชูเราขึ้น มากกว่าแค่หน้าที่ พระคำของพระองค์อวยพรเราโดยการทำให้เราเห็นว่าพระองค์เป็นใคร และพระองค์รักเราเพียงใด

หลังจากนี้ ถ้าคุณรู้สึกไม่แน่ใจว่าจะศึกษาพระคำของพระเจ้าอย่างไร นี่คือคำแนะนำที่จะช่วยให้คุณหยั่งรากลึกในพระคำของพระเจ้า :

1. เชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ทรงทำการ

เมื่อเราต้องการให้บางสิ่งเกิดขึ้น เรามักจะทำอย่างไร ตั้งเป้าหมาย วางแผน สร้างลิสต์ในสิ่งที่ต้องทำและตั้งเตือนไว้

แต่การได้ยินและการตอบสนองพระคำของพระเจ้าเป็นความพยายามในการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์จริงๆ หน้าที่ของเราคือ ทำให้เต็มที่และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำให้เราเข้าใจจริงๆ ว่าพระคัมภีร์พูดว่าอะไร จดจำพระคำและนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน (ยอห์น 14:26, 16:13; 1 โครินธ์ 2:10-16)

วีธีหลักในการเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์คือ ผ่านการอธิษฐาน เราจำเป็นต้องอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะขอพระเจ้าอย่างถ่อมใจในการที่พระองค์จะเปิดเผยพระองค์แก่เรา (สดุดี 119:18, เอเฟซัส 1:18) ดังนั้น เราสามารถดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้าได้ เราสารภาพและขอการอภัยจากบาป ที่อาจซ่อนเราจากการได้ยินและเชื่อฟังพระคำของพระเจ้า

เราอธิษฐานพึ่งพาพระปัญญาของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างตั้งใจ และให้พระองค์ทรงนำเราในขณะที่เราอ่านพระคัมภีร์ รวมทั้งนำคำถามของเราสู่พระวิญญาณและขอความเข้าใจ เช่นเดียวกับการอธิษฐานให้เราจำสิ่งที่เราอ่านหรือได้ยิน

การอธิษฐานและพระคำของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ไปด้วยกัน และพระคำของพระเจ้าก็สอนเราให้เห็นถึงการมีอยู่และการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (เช่น โรมบทที่ 8) การเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามามักเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นพร้อมกันของการอ่านเกี่ยวกับพระองค์ในพระคำ ในขณะที่โต้ตอบกับพระองค์ในคำอธิษฐาน

2. รับพระคำในวิธีที่แตกต่างกันอย่างสม่ำเสมอ

การอ่านพระคัมภีร์นั้นสำคัญ แต่ไม่ใช่เป็นวิธีการเดียวในการที่เราจะสามารถรับพระคำพระเจ้า

โคโลสี 3:16 บอกกับเราว่า “จงให้พระวจนะของพระคริสต์อยู่ในพวกท่านอย่างบริบูรณ์ จงสั่งสอนและเตือนสติกันด้วยปัญญาทั้งสิ้น จงร้องเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงวิญญาณด้วยการขอบพระคุณพระเจ้าในใจของท่าน”

ไม่ดีเหรอที่พระเจ้าทรงไม่เพียงแค่ให้เราอ่านพระคำของพระองค์ แต่ยังให้เราร้องด้วย? พระองค์ทรงรู้ว่าเสียงดนตรีสามารถเชื่อมโยงจิตวิญญาณของเราในระดับที่แตกต่างกันได้ สำหรับวันที่เรารู้สึกว่าการอ่านพระคัมภีร์เป็นเรื่องยาก ทำไมเราไม่เริ่มร้องเพลงล่ะ? ดูเพลงที่สะท้อนพระคำจากพระคัมภีร์และเต็มไปด้วยศาสนศาสตร์ เพลงที่เน้นพระลักษณะของพระเจ้าจริงๆ และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อผู้ที่พระองค์รัก

เมื่อเราพบว่าเราติดขัดเรื่องการมีสมาธิในการอ่าน การฟังอาจเป็นวิธีที่ช่วยเราได้ เราสามารถรับพระคำของพระเจ้าโดยการฟังพระคัมภีร์เสียง หรือคำเทศน์ที่ถูกบันทึก หรือในรูปแบบพอดแคสต์ หรือการเฝ้าเดี่ยว เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกเฉื่อยชา ก่อนที่จิตใจของเราจะไม่อยู่นิ่ง และมีความรู้สึกไม่พอใจหรือมีความคิดที่ไม่ช่วยอะไรเลย เราสามารถเลือกที่จะจูนเข้าสู่พระคำพระเจ้าไม่ว่าในเพลงหรือถ้อยคำ 

เราอาจไม่ได้ยินหรือย่อยทุกสิ่งอย่างแท้จริง เราสามารถอธิษฐานขอพระเจ้าให้ทรงนำความคิดของเราและนำทางเราสู่สิ่งที่เป็นจริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่ควรแก่การสรรเสริญ รวมทั้งถ้ามีสิ่งใดที่ยอดเยี่ยม สิ่งใดที่น่ายกย่อง (ฟีลิปปี 4:8)

3. พระเจ้าไม่ปล่อยให้คุณต้องเดินทางเพียงลำพัง

เมื่อก่อน พระคัมภีร์ควรเป็นสิ่งที่นำเราว่าจะทำและใช้ชีวิตอย่างไร เปิดเผยว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ใด พระเจ้าต้องการให้เรารู้จักพระองค์ (ยอห์น 20:31) และมีประสบการณ์กับพระองค์ด้วยตัวของเราเอง สดุดี 34:8 กล่าวว่า “ลองชิมแล้วจะรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดี” ยิ่งเราเคี้ยวพระคำของพระเจ้า เรายิ่งสามารถชิมและซาบซึ้งในพระลักษณะที่มหัศจรรย์และความจริงที่หล่อเลี้ยงจิตใจได้

ดังนั้น ถ้าเราใช้ชีวิตให้ช้าลง อ่านบทความเดิมซ้ำไปซ้ำมาสักสองสามวัน (หรือสักสองสัปดาห์) และใช้เวลาคิดถึงว่าพระคำที่อ่านนั้นมีความหมายอย่างไร? เราสามารถเขียนข้อพระคัมภีร์ที่สำคัญและบันทึกให้เห็นและเข้าถึงได้ (เช่น บนโต๊ะหรือในโทรศัพท์ของเรา) และเมื่อไหร่ก็ตามที่เราพบว่าเราต้องการพักจากงาน เราสามารถกลับมาอ่านข้อพระคัมภีร์เหล่านั้นและใคร่ครวญ (เฉลยธรรมบัญญัติ 11:18, 20)

การจดจ่อสามารถเกี่ยวข้องกับการถามคำถาม ตัวอย่างเช่น เมื่อเราอ่านพระคำ “อย่ากังวล” แทนการพยายามที่จะดับความคิดกังวล เราสามารถถอยหลังก่อนและถามคำถามว่า อะไรอยู่ภายใต้ความกังวลของเรา ที่เรารู้สึกว่าเราไม่สามารถวางใจพระเจ้าได้และทำไม? แม้พระเจ้าจะบอกกับเราว่าอย่ากังวล พระคำของพระเจ้าพูดถึงพระลักษณะและพระสัญญาของพระองค์อย่างไร?

ผู้ที่จดจ่อกับพระคำพระเจ้าก็เหมือน “ต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ” (สดุดี 1:2-3) ต้นไม้ต้องการเวลามากในการที่จะดูดซับสารอาหารเพื่อที่จะเติบโตและออกผล และใน 2 ทิโมธี 2:3-7 เราได้รับการหนุนใจให้ยืนหยัดในความเชื่อเหมือนทหาร นักกีฬา และชาวนา ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับอดทน กระทำซ้ำๆ ผู้ที่ซึ่งปฏิบัติอย่างเสียสละ ขยันและอดทน เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะให้ความเข้าใจแก่เราเพราะเรายืนหยัดในการตอบสนองถ้อยคำแห่งความจริงของพระองค์

4. พูดคุยกับใครสักคน

คุณเคยมีประสบการณ์กับช่วงเวลาที่คุณรู้สึกติดขัดกับอะไรบางอย่าง และการพูดคุยกับใครสักคนเพื่อให้เขาช่วยให้คุณเข้าใจแจ่มแจ้งไหม หรือคุณเคยพูดคุยกับใครสักคนเกี่ยวกับบางสิ่งที่คุณมีประสบการณ์ด้วยหรืออ่าน และบทสนทนาที่อยู่ในความทรงจำของคุณหรือไม่

สิ่งเดิมสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อเราแบ่งปันพระคำของพระเจ้า ในเฉลยธรรมบัญญัติ 6:6-7 กล่าวว่า “และจงให้ถ้อยคำเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้อยู่ในใจของท่าน และท่านจงสอนถ้อยคำเหล่านั้นแก่บุตรหลานของท่าน และจงพูดถึงถ้อยคำเหล่านั้นเมื่อท่านนั่งอยู่ในบ้าน เดินอยู่ตามทาง นอนลงหรือลุกขึ้น” เมื่อเราพูดคุยกันเกี่ยวกับสิ่งที่เราอ่านและได้ยินจากพระคัมภีร์ สิ่งเหล่านี้สามารถอยู่ในใจของเราได้นานขึ้น

เรามีเครื่องมือสื่อสารที่มากมาย เราสามารถเข้าถึงเพื่อนๆ ของเราและแบ่งปันสิ่งที่เราได้รับได้อย่างง่ายๆ เช่น “ฉันเห็น/ได้ยินพระคำหรือถ้อยคำวันนี้ และทำให้ฉันคิดถึง… คุณคิดอย่างไร?” ในขณะที่เราชวนเพื่อนๆ ของเรามาแบ่งปันความคิด เราอาจจะได้ยินมุมมองที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถทำให้เราเข้าใจพระคำของพระเจ้าได้มากขึ้น

5. นำพระคำไปปฏิบัติใช้

นอกเหนือจากการแบ่งปันความคิดและความเข้าใจที่ลึกซึ้ง สิ่งที่มีค่ามากที่สุดคือ เพื่อเราจะพูดคุยเกี่ยวกับว่าเราจะสามารถเปลี่ยนพระคำเป็นการปฏิบัติได้อย่างไรและขอให้เพื่อนๆ ของเราอธิษฐานเผื่อเรา

ตัวอย่างเช่น การรักผู้อื่นจะเป็นอย่างไรในชีวิตแต่วันของเรา? มีใครไหมในการดำเนินชีวิตของเราที่เราไม่สามารถรักได้ และเราจะเริ่มเปลี่ยนไปรักได้อย่างไร? อะไรเป็นขั้นแรกที่เราใช้? โดยการคิดและการแบ่งปันขั้นการปฏิบัติที่เราใช้ เราจะได้รับแรงกระตุ้นที่จะทำในสิ่งที่เราพูดว่าจะทำ

การปฏิบัติมักเป็นส่วนที่ยากที่สุด แม้แต่สาวกก็ยังเรียนรู้ว่าจริงๆ พระเยซูเป็นใครในตอนที่พวกเขาเจอพระเยซู พวกเขาก็ใช้ก้าวแรกในการติดตามการทรงเรียกของพระเจ้า และเข้ามารับพระพร

ในทำนองเดียวกัน เราก็สามารถใช้ขั้นแรกของการเชื่อฟัง ไม่ว่าจะการมีใจกว้างขวางโดยเริ่มจากสิ่งเล็กๆ หรือเลือกที่จะอดทนกับบางคน โดยการหยุดพูดเมื่อรู้สึกหัวเสียและอธิษฐานแทน เพื่อสร้างความเข้มแข็งจากภายใน

พระเจ้าทรงเห็นหัวใจของเรา และพระองค์จะทรงเสริมกำลังเราในการที่เราจะเชื่อฟังพระองค์ เพื่อพระองค์จะพอพระทัยและเพื่อสิ่งดีสำหรับเรา

สดุดีบทที่ 119 บอกกับเราว่า พระเจ้าจะเสริมกำลังเรา ทำสิ่งดีเพื่อเรา ให้ความเข้าใจแก่เรา นำย่างเท้าของเราและปกป้องชีวิตของเรา ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในพระคำของพระเจ้า (ข้อ 25, 28, 65, 133, 169) ขอให้สิ่งนี้หนุนใจเราที่จะยึดพระคำของพระองค์ไว้ใกล้หัวใจของเรา และรู้ว่าพระองค์ประทานถ้อยคำของพระองค์ที่ซื่อตรงเพื่อเติมเต็มในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส (อิสยาห์ 55:11)

YOU MAY ALSO LIKE

กังวลจนไม่หลับไม่นอน

กังวลจนไม่หลับไม่นอน

WRITER: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ฉันนอนไม่หลับทั้งคืน บางคืนเราก็มีอาการนอนไม่หลับ หลับๆ ตื่นๆ พอเช้าตื่นมาก็ไม่สดชื่น อารมณ์ไม่ดี  การนอนไม่หลับส่งผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่เป็นครั้งคราว แต่สําหรับบางคนอาจเจอปัญหานี้เป็นประจำ...

ทำไมเราถึงไม่กล้าปฏิเสธ

ทำไมเราถึงไม่กล้าปฏิเสธ

WRITER: ซาร่า โซ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: สุมิตรา ชามรามดาบานEDITOR: ปวีณา นิลบุตร “ถ้าใช่ก็จงบอกว่าใช่ ถ้าไม่ใช่ก็จงบอกว่าไม่ใช่” (ยากอบ 5:12) ขณะที่ฉันเขียนข้อความนี้ ฉันเพิ่งจะพูดว่า "ไม่" ที่จะฟังความขัดข้องใจของแม่เรื่องคนสนิทในครอบครัว...

พระเจ้าช่วยฉันผ่านประสบการณ์เลวร้าย (ถูกล่วงละเมิดทางเพศ)

พระเจ้าช่วยฉันผ่านประสบการณ์เลวร้าย (ถูกล่วงละเมิดทางเพศ)

WRITER: แคทเธอรีน ฟลินน์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ในปี 2003 ฉันอายุ 24 ปี และอาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษตอนที่ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยเพื่อนร่วมห้องของฉัน...

Share This