
WRITER: มาเดลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: Mustard Seed Team
EDITOR: ธัญธร จันทสุทธิบวร
ฉันมองไปที่ภาพเอ็กซเรย์แมวของฉัน หัวใจของฉันตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ขณะที่ฉันพยายามจับใจความในสิ่งที่สัตวแพทย์กำลังอธิบายให้ฉันฟัง
“อย่างที่คุณเห็น มะเร็งปกคลุมไปทั่วทั้งลำไส้และแพร่กระจายไปที่ปอด” คุณหมอพูดสรุปอย่างจริงจัง ฉันพยักหน้าอย่างไร้ความรู้สึก
“ผมเสียใจด้วยนะ” คุณหมอกล่าวอย่างสุภาพ “แต่ผมคิดว่าเราควรจัดการกับแมวของคุณให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน”
ฉันมองไปที่เจ้าหูเดียวที่นอนอยู่ข้างๆ หมดสติด้วยฤทธิ์ของยาชา น้ำตาอุ่นๆ เริ่มที่จะไหลออกจากตาของฉันและไหลลงมาที่แก้ม ด้วยความเป็นจริงที่บอกลาเพื่อนตัวน้อยที่ซื่อสัตย์ของฉันที่อยู่ด้วยกันมา 19 ปี กลับบ้าน
ไม่ใช่สิ่งนี้ พระเจ้า
หลังจากนั้น ฉันเดินกลับบ้านพร้อมกับถือกระเป๋าใส่แมวที่ว่างเปล่าในมือที่อ่อนเปลี้ย การทดลองต่างๆ และความเจ็บปวดที่ฉันต้องทนตลอดระยะเวลาสิบสองเดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นซึมเศร้า หมดไฟ และเป็นโรคกลัวที่ชุมชน (agoraphobia) ทำให้ฉันรู้สึกแย่จนฉันรู้สึกไม่สามารถก้าวต่อไปได้ นอกจากนี้ ความพยายามของฉันที่จะยกประเด็นความเจ็บปวดทางจิตใจ (mental illness) ในคริสตจักรก็ถูกปฏิเสธ และคนที่ฉันเคยคิดว่าเป็นเพื่อนกันนั้นได้พิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่
และตอนนี้สัตว์เลี้ยงของฉัน เพื่อนที่ซื่อสัตย์ของฉันได้จากไปแล้วเช่นเดียวกัน
ฉันรับสิ่งนี้ไม่ได้พระเจ้า มันมากเกินไป
หลายวันหลังจากที่แมวของฉันจากไป ฉันพยายามเปิดพระคัมภีร์ จนฉันได้พบกับพระธรรม 1 โครินธิ์ 10:13
“ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านทั้งหลาย นอกเหนือการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ พระเจ้าทรงซื่อสัตย์ พระองค์จะไม่ทรงให้พวกท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อถูกทดลอง พระองค์จะทรงให้มีทางออกด้วย เพื่อพวกท่านจะมีกำลังทนได้”
พระธรรมข้อนี้ไม่ได้หนุนใจฉันเลย
ในความเป็นจริง ฉันไม่เชื่อ
ที่ผ่านมาฉันทำอะไรผิดหรอ? พระเจ้าจะให้เราถูกทดลองมากเกินกว่าที่ฉันจะรับมือได้จริงหรือ?
หลังจากที่ฉันได้ใช้เวลากับพระเจ้าและได้แสวงหาพระพักตร์พระองค์ และสิ่งต่อไปนี้ชัดเจนสำหรับฉัน :
เรารู้จักผู้หนึ่งที่มีชัยชนะ
บางครั้ง เราตกเป็นเหยื่อของการตัดสินใจที่ผิดๆ และนิสัยที่ขาดความรับผิดชอบของเรา มีบางเวลาที่ความทุกข์ยากจู่โจมเราและมันไม่ได้เกิดจากการกระทำของเรา เช่น การจากไปของแมวสุดที่รักของฉัน
ในช่วงท้ายของพันธกิจสามปีของพระเยซูนั้น พระองค์ทรงเตือนเหล่าสาวกของพระองค์ว่าพวกเขาก็ไม่อาจรอดพ้นจากการทดลองหรือความยากลำบาก :
“ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก” (ยอห์น 16:33)
อย่างไรก็ตาม พระเยซูทรงยังคงตรัสว่าพระองค์นั้นแข็งแกร่งกว่าทุกการทดลองที่พวกเขาจะต้องเผชิญ :
“แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว” (ยอห์น 16:33)
แทนที่จะถามตัวเองว่าทำไมพระเจ้าถึงยอมให้ฉันถูกทดสอบในทางนี้ ฉันพยายามที่จะนึกให้ได้ว่าพระเจ้านั้นทรงเป็นพระผู้สร้างสวรรค์และโลก ผู้ทรงฤทธิ์อำนาจ ผู้ปกครองทุกสรรพสิ่ง พระองค์ทรงสามารถมีชัยเหนือทุกปัญหาที่ฉันเผชิญได้!
เราไม่จำเป็นที่จะต้องแบกภาระต่างๆ ของเราไว้
พระประสงค์ของพระเจ้าไม่ได้ต้องการให้เราแบกภาระทั้งหมดไว้เอง
พระองค์คืออิมมานูเอล (พระเจ้าสถิตกับเรา) ในความเป็นจริง พระเจ้าทรงตรัสกับเราอย่างเฉพาะเจาะจงในพระธรรม 1 เปโตร 5:7 “จงละความกังวลทุกอย่างของพวกท่านไว้กับพระองค์” ฉันละความกังวลนี้ผ่านการอธิษฐาน โดยยอมวางความอ่อนแอและความเศร้าโศกของฉันไว้ที่พระบาทของพระองค์ และบอกพระองค์ถึงภาระหนักที่อยู่ในใจของฉัน หลังจากนั้น ฉันรู้สึกผ่อนคลายและเบาลงเพราะรู้ว่าพระเจ้าทรงแบกรับภาระของฉันไว้แล้ว
พระเจ้าทรงต้องการให้เรารู้ว่ามันคือหน้าที่ความรับผิดชอบของพระองค์ที่จะทรงแบกรับภาระของเรา แต่อย่างไรก็ตาม มันคือหน้าที่ของเราที่จะเชื่อวางใจพระองค์และยอมให้พระองค์ทรงแบกรับไว้
พระเจ้าทรงจัดเตรียมหนทางผ่านการทดลองเสมอ
เมื่อเปาโลเขียนจดหมายถึงคริสตจักรในเมืองโครินธ์ใน 1 โครินธ์ 10:13 เปาโลไม่ได้แค่เตือนพวกเขาเกี่ยวกับความทุกข์ทรมาน เขาเน้นย้ำถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขาผ่านสิ่งนั้น!
เปาโลกล่าวไว้ว่าพระเจ้าจะทรงจัดเตรียมหนทางที่จะพาเราออกจากสถานการณ์เสมอ พระองค์จะไม่ทรงพาเราหนีปัญหา แต่พระองค์จะทรงอยู่ด้วยกันกับเราและพาเราผ่านทุกปัญหาไปได้
เปาโลเคยผ่านประสบการณ์โดยตรงกับความสัตย์ซื่อของพระเจ้าท่ามกลางการทดลองที่ยากลำบากต่างๆ เขาถูกคุมขัง เรืออับปาง และโดนทุบตี แต่พระเจ้าก็ทรงช่วยเขาทุกครั้ง (2 โครินธ์ 1:10)
สำหรับฉัน การช่วยเหลือมาในรูปแบบของยาซึมเศร้าที่สามารถช่วยให้ฉันรู้สึกถึงเสี้ยวหนึ่งของความหวังที่สวยงาม ท่ามกลางความมืดมิดของความท้อแท้และสิ้นหวัง พระเจ้ายังทรงจัดเตรียมสามีอันเป็นที่รักของฉันผู้ที่คอยสนับสนุนและดูแลฉัน
เราได้รับของขวัญแห่งสันติสุขจากพระเยซู
เพียงเพราะพระเยซูทรงรู้ว่าเราจะต้องเผชิญกับการทดลองที่ทดสอบความเชื่อของเรา พระองค์ทรงทำให้เรามั่นใจว่าพระองค์ทรงเป็นสันติสุขของเราในช่วงเวลานั้น
“เรามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน สันติสุขของเราที่ให้กับท่านนั้น เราไม่ได้ให้อย่างที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์ อย่ากลัวเลย”
การอ่านพระคำข้อนี้ทำให้ฉันสบายใจเสมอ
พระเยซูทรงรู้ว่าเราต้องการสันติสุขในโลกนี้ และพระองค์ก็ทรงจัดเตรียมให้แล้ว
สำหรับฉัน การยอมรับสันติสุขซึ่งเป็นของขวัญจากพระเยซูนั้น คล้ายกับความรู้สึกปลอดภัย เหมือนพระองค์ทรงโอบอุ้มฉันไว้ในพระพัตถ์ของพระองค์ หัวใจของฉันรู้สึกเบาสบายเหมือนได้คลายความกังวล ความเจ็บปวด และความขัดแย้งที่คอยทำให้หนักใจ
เจ้าหูเดียวอาจเป็นแค่แมวสำหรับคนอื่น แต่สำหรับฉัน มันเป็นเพื่อน เป็นที่พักพิง และเป็นกำลังใจที่พระเจ้าทรงมอบให้สำหรับชีวิตของฉัน สองเดือนผ่านไปตั้งแต่มันเสียชีวิต ฉันยังคงมีคำถามว่าสิ่งที่พระเจ้าทดสอบกับฉันมันมากเกินกว่าที่ฉันจะรับไหวหรือเปล่า
ใช่ แต่ฉันก็เชื่อว่าฉันสามารถมอบความเจ็บปวดทั้งหมดไว้กับพระเจ้าได้และยอมรับว่าพระองค์จะทรงช่วยแบ่งเบาภาระของฉัน
สิ่งสำคัญที่สุด ฉันเชื่อว่าพระเจ้าทรงรักฉันและพระองค์จะทรงรักษาฉันในเวลาและตามน้ำพระทัยของพระองค์ เพราะพระองค์คือ “ยาห์เวห์แพทย์ของเจ้า” (อพยพ 15:26)
ไม่ว่าเรากำลังเผชิญปัญหาอะไรที่ทำให้เราหนักใจอยู่ รู้ไว้ว่าพระเจ้าไม่ได้ให้คุณแบกภาระเหล่านั้นเพียงลำพัง ยอมรับในการช่วยเหลือของพระองค์ ยอมให้พระองค์ทรงต่อสู้แทนคุณในสนามรบ ในขณะที่คุณพักสงบและเชื่อวางใจในพระพักตร์พระองค์
YOU MAY ALSO LIKE
3 ความจริงที่จะช่วยให้เรารับมือกับอดีตได้ดีขึ้น
TRANSLATOR: Natty GraceEDITOR: Mustard Seed TeamArtwork by : YMI“ฉะนั้นถ้าใครอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (2 โครินธ์ 5:17) “อดีตก็คืออดีต” อย่างที่เขาพูดกัน...
5 วิธีที่ทำให้เรายังคงหยั่งรากลึกในพระคำของพระเจ้า
WRITER: ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: พันทนิน พัวบัณฑิตกุลEDITOR: MUSTARD SEED TEAM มีหลายสิ่งที่เป็นอุปสรรคในการอ่านพระวจนะของพระเจ้า บ่อยครั้ง เราคิดว่าเราไม่มีเวลา แต่บางทีเหตุผลที่จริงๆ คือ เรารู้สึกเหนื่อยและล้าเกินไปจากการทำงานและเหตุผลส่วนตัว...
งดดู Netflix ในช่วงเทศกาล Lent : การเดินทางเพื่อสัมผัสพระคุณของพระเจ้า
WRITER: เหว่ย (@alifepast25) ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team คุณคงเคยรู้สึกแบบนั้นเมื่อเปิดดูตอนหนึ่งในเน็ตฟลิกซ์แล้วจู่ๆ ก็ผ่านไปสี่ชั่วโมง...