
WRITER: แอนดรูว์ ควอย ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: นารดา ไทรงาม
EDITOR: พักตร์วดี คะนึงไกวัล
คุณนึกถึงอะไรเมื่อคิดถึงการนมัสการ?
หรือถ้าให้เจาะจงคือ คุณคิดยังไงเกี่ยวกับการร้องเพลงในโบสถ์?
สำหรับผม มันมักจะเกี่ยวกับดนตรีที่ดึงอารมณ์ ตาที่ปิดอยู่ และมือที่ชูขึ้น ทุกวันอาทิตย์ ผมจะตั้งตารอช่วงครึ่งชั่วโมงก่อนการเทศนา ตอนที่ไฟในห้องประชุมดับลงและนักดนตรีขึ้นมาบนเวที ส่วนมือกลองก็จะเคาะไม้กลองสามครั้งเพื่อให้วงขึ้นเพลง
ส่วนใหญ่แล้วเซ็ตเพลงจะประกอบด้วยเพลงเร็วสองเพลง เพลงช้าสองเพลง ยกเว้นในช่วงที่สัมผัส “บรรยากาศฝ่ายวิญญาณเป็นพิเศษ” ตอนนั้น ก็อาจจะเป็นเพลงเร็วหนึ่งเพลง เพลงช้าสามเพลง
ถึงแม้เพลงนมัสการจังหวะเร็วจะให้ความสนุกสนาน แต่สำหรับผมแล้ว เพลงช้าคือจุดเด่น มันเป็นช่วงเวลาที่ทุกอย่างสงบลง และผู้นำนมัสการหนุนใจที่ประชุมให้ตัดคนอื่นๆ รอบตัวออกไปเพื่อเราจะจดจ่อกับพระเจ้า
ผมจำหลายอาทิตย์ที่ผมร้องเพลงด้วยสุดหัวใจและหลับตาสนิท ตอนแรกผมเป็นกังวลเกี่ยวกับคนที่อยู่ด้านขวากับด้านซ้ายมาก ว่าพวกเขาจะคิดไหมว่าฉผมแปลกที่อินกับมันเหลือเกิน แต่ผมก็มุ่งไปข้างหน้า พยายามลืมว่าตัวเองอยู่ในที่ประชุมและจินตนาการว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ผมกับพระเจ้าอยู่ด้วยกันสองต่อสองอย่างสนิทสนม
ขณะที่ผมร้องตามท่อนร้องรับของเพลงอย่างช้าๆ แต่แน่วแน่ ความรู้สึกต่างๆ ก็เริ่มผุดขึ้นมา เหมือนกับน้ำในกาที่กำลังเดือดจนถึงขีดสุด ก่อนที่ผมจะรู้ตัวมันก็หลั่งออกมาเป็นน้ำตาไหลบนใบหน้าของผม
ในช่วงเวลานั้น เมื่อการร้องเพลงนำไปสู่การปลดปล่อยทางอารมณ์ มักจะเป็นผลลัพธ์ที่คนคาดหวังจากการนมัสการในที่ประชุม
เมื่อผมมีประสบการณ์กับความรู้สึกเหล่านั้น ผมสามารถบอกได้ว่าผมทำส่วนของผู้มาร่วมนมัสการได้อย่างดีเยี่ยม
หลายปีมานี้ ผมได้ฟังคำอธิบายถึงปรากฏการณ์นี้ในหลากหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสจากพระเจ้า การทรงสถิตที่เทลงมา การเข้าสู่การทรงสถิต หรือการพบกับพระเจ้า นี่เป็นหนึ่งในประโยคที่ศิษยาภิบาลและผู้นำนมัสการใช้บรรยายถึงประสบการณ์นั้น
ปัญหาคือถึงแม้ผมจะจำได้ว่าตัวเองเคยมีประสบการณ์นี้ มันก็มีอีกหลายครั้งที่ผมไม่มีมัน ไม่ว่าผมจะพยายามแค่ไหนผมกลับไม่รู้สึกอะไรเลย ถึงแม้ว่าผมจะหลับตาสนิทหรือร้องตามบทเพลงอย่างกระตือรือร้น ความรู้สึกที่คุกกรุ่นอยู่ภายในก็ไม่เพียงพอที่จะนับว่าเป็นการ “สัมผัสจากพระเจ้า”
ในช่วงเวลาเหล่านั้น การนมัสการของผมรู้สึกเหมือนความล้มเหลว
นี่เป็นท่าทีที่ผมมีต่อการร้องเพลงในที่ประชุม จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมได้เข้าร่วมการประชุมในพันธกิจคริสเตียนของมหาวิทยาลัย ผมเคยเข้าร่วมกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์เล็กๆ ของพวกเขา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมร่วมการประชุมใหญ่ประจำสัปดาห์
มันเป็นสัปดาห์ที่เรียนหนักมากและผมรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน การพบกับพระเจ้าและการทรงสถิตเป็นสิ่งที่ผมต้องการจริงๆ
แต่ผมกลับรู้สึกผิดหวังอย่างที่สุด
อย่างแรกคือ ไฟไม่ดับลงแถมยังเปิดไว้ทั้งหมด นั่นหมายความว่ามันง่ายที่จะมองเห็นว่าไม่มีใครหลับตาขณะที่ร้องเพลงเลย สายตาของพวกเขากลับจับจ้องไปยังเนื้อเพลงที่ฉายบนจอใหญ่ ผมเดาว่ามันจำเป็น เพราะว่าเซ็ตเพลงในคืนนั้นไม่ได้มีเพลงดังๆ ที่ร้องกันในโบสถ์ของผม แทนที่จะร้องเพลงที่จำเนื้อร้องได้อยู่แล้ว เรากลับร้องบทเพลงชีวิตคริสเตียนที่มีเนื้อเพลงเก่าแกพอๆ กับความยาวของเนื้อร้อง ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ไม่มีใครชูมือเลย
แน่นอน…ไม่มีน้ำตาหยดไหลออกจากดวงตาของผมในคืนนั้น และผมไม่ได้มีประสบการณ์ในการพบกับพระเจ้า
สภาวะตกใจของผมต่อการร้องเพลงในที่ประชุมของพวกเขาเพิ่มทวีขึ้น เพราะคนเหล่านี้ดูจะรักพระเยซูเอามากๆ และอุทิศตนติดตามพระองค์ในอีกหลายๆ ด้าน แล้วทำไมมันถึงไม่สะท้อนออกมาผ่านวิธีการที่พวกเขานมัสการล่ะ
คำถามนี้อยู่ในหัวของผมมาหลายสัปดาห์ หลังจากที่มีโอกาสพูดคุยกับอนุศาสก
เมื่อผมเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ท่านได้ชี้แจงด้วยข้อพระคัมภีร์หนึ่ง ซึ่งเปลี่ยนมุมมองที่ผมมีต่อการร้องเพลงในที่ประชุมตั้งแต่นั้นมา
และอย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ จงปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ คือร้องเพลงและสดุดีจากใจของพวกท่านถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า จงขอบพระคุณพระเจ้าคือพระบิดาอยู่เสมอสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ในพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา(เอเฟซัส 5:18-20)
ข้อนี้บอกว่าการร้องเพลงในคริสตจักรไม่ได้เกี่ยวกับข้องตัวเรา แต่เกี่ยวกับพระเจ้า
นั่นอาจไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคุณ
แต่สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจคือการร้องเพลงในโบสถ์ไม่ได้เกี่ยวกับพระเจ้าเท่านั้น แต่มันเกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ ในคริสตจักรเช่นกัน
เปาโลบอกให้เราพูดคุยกันด้วย “เพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงฝ่ายวิญญาณ” (เอเฟซัส 5:19) นั่นหมายความว่าเราไม่ได้แค่ร้องเพลงให้กับพระเจ้า แต่เราจะต้องร้องเพลงให้ซึ่งกันและกันอีกด้วย
เมื่อผมไตร่ตรองสิ่งนี้ ผมคิดได้ว่าเมื่อเราร้องเพลงแห่งความจริงต่อกันและกัน เราก็ได้หนุนใจซึ่งกันและกัน โดยบทเพลงนั้นๆ เรากำลังย้ำเตือนคนข้างๆ ที่อาจจะผ่านสัปดาห์ย่ำแย่มาหรือเจอกับความกดดันอย่างมาก ถึงข่าวประเสริฐว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่แค่ไหน หรือพูดถึงพระคุณล้ำเลิศที่พระองค์ประทานแก่เรา ผมเองมีช่วงเวลาที่เมื่อได้เห็นคนอื่นนมัสการ ผมก็ได้รับการหนุนใจที่จะดำเนินชีวิตโดยที่มีข่าวประเสริฐเป็นศูนย์กลาง
ผมจำได้ว่าตัวเองรู้สึกถูกตำหนิจากถ้อยคำของอาจารย์เปาโลในเอเฟซัส เมื่อผมตระหนักว่าตัวเองทำให้การนมัสการและการร้องเพลงเกี่ยวโยงกับตัวเองไปซะหมด รวมถึงสิ่งที่ผมรู้สึกระหว่างที่ร้องเพลงเหล่านั้น แทนที่จะคิดว่าจะหนุนใจพี่น้องข้างๆ ยังไง เมื่อเราร้องเพลงถึงความดีงามของพระเจ้า
นอกจากนั้น ข้อ 18 ยังบอกเป็นนัยว่าการร้องเพลงให้ซึ่งกันและกันเป็นสัญญาณว่าเราเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พูดอีกแบบคือ การร้องเพลงด้วยจิตวิญญาณในคริสตจักรควรจะเป็นแบบนั้น สำหรับผม มันเป็นการฉีกออกจากสิ่งที่ผมเคยเห็นในการนมัสการด้วยบทเพลงในที่ประชุม ซึ่งที่ผ่านมาเน้นไปที่การปลดปล่อยอารมณ์
เพราะฉะนั้น ในวันนี้ การต้องรู้สึกในฝ่ายวิญญาณไม่ได้เป็นเป้าหมายเมื่อผมนมัสการอีก ตอนผมร้องเพลงในโบสถ์ ผทยังคงร้องอย่างสุดใจเท่าที่จะทำได้ แต่แทนที่จะวิ่งตามความรู้สึกหรือประสบการณ์บางอย่าง ผมมองว่าการร้องเพลงเป็นการมีส่วนร่วมกับครอบครัวของพระเจ้า และทำตามคำสั่งของพระวิญญาณที่ตรัสผ่านอัครทูตเปาโล
YOU MAY ALSO LIKE
3 ความจริงที่จะช่วยให้เรารับมือกับอดีตได้ดีขึ้น
TRANSLATOR: Natty GraceEDITOR: Mustard Seed TeamArtwork by : YMI“ฉะนั้นถ้าใครอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (2 โครินธ์ 5:17) “อดีตก็คืออดีต” อย่างที่เขาพูดกัน...
5 วิธีที่ทำให้เรายังคงหยั่งรากลึกในพระคำของพระเจ้า
WRITER: ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: พันทนิน พัวบัณฑิตกุลEDITOR: MUSTARD SEED TEAM มีหลายสิ่งที่เป็นอุปสรรคในการอ่านพระวจนะของพระเจ้า บ่อยครั้ง เราคิดว่าเราไม่มีเวลา แต่บางทีเหตุผลที่จริงๆ คือ เรารู้สึกเหนื่อยและล้าเกินไปจากการทำงานและเหตุผลส่วนตัว...
งดดู Netflix ในช่วงเทศกาล Lent : การเดินทางเพื่อสัมผัสพระคุณของพระเจ้า
WRITER: เหว่ย (@alifepast25) ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team คุณคงเคยรู้สึกแบบนั้นเมื่อเปิดดูตอนหนึ่งในเน็ตฟลิกซ์แล้วจู่ๆ ก็ผ่านไปสี่ชั่วโมง...