WRITER: โจแอนนา ฮอร์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ปาลีญา ธนาวัฒนเจริญ
EDITOR: นามระพี พีระมาน
ฉันเป็นคริสเตียนมานานแล้วและความจริงที่ฉันได้เรียนรู้ก็คือ การดำเนินชีวิตคริสเตียนไม่ได้ง่ายขึ้นเลย ฉันยังคงเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางและยังเต็มไปด้วยความหยิ่งซึ่งบางครั้งก็มากมายเกินกว่าที่ฉันจะรู้ตัว มีบางวันที่ความจริงข้อนี้เกาะกุมหัวใจของฉันให้รู้สึกผิดและเสียใจ แต่ส่วนใหญ่ฉันจะปลอบใจตัวเองว่า “ฉันไม่ได้แย่ขนาดนั้น”
ฉันไม่อยากยอมรับเลยว่า ฉันต้องดิ้นรนในทุกๆ วันเพื่อที่จะให้พระเจ้ามาก่อนทุกสิ่งในชีวิตของฉัน แม้ฉันจะรู้ดีว่าพระเจ้าทรงรักฉันมากแค่ไหน(โรม 8:31-39) พระองค์ทรงสัตย์ซื่อมากเพียงใด แม้ฉันจะมีความบาป(โฮเชยา 2:14-15) และพระองค์ได้ประทานสิทธิให้ฉันเป็นลูกของพระองค์(ยอห์น 1:12-13)
แน่นอนว่า มีบางครั้งที่ฉันพยายามดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้ามากขึ้นและตามใจตัวเองให้น้อยลง เมื่อฉันได้เรียนพระคัมภีร์และฟังเทศน์ แต่ช่วงเวลาเหล่านั้นมักจะหายไปอย่างรวดเร็ว ฉันก็กลับมายึดที่นั่งของคนขับโดยเอาพระเจ้าไปใส่ไว้ท้ายรถ(ไม่ให้พระองค์นั่งแม้กระทั่งบนเบาะหลัง)
สัญญาณทั้ง 4 ข้อต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่ฉันเรียนรู้จากประสบการณ์ แน่นอนว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ฉันภาคภูมิใจ แต่ฉันอยากให้ทุกคนได้มีโอกาสตรวจสอบตัวเอง ไม่ว่าคุณจะรู้ตัวหรือไม่ คุณอาจเคยทำสิ่งเดียวกับฉันมาแล้ว
1. คุณใส่ใจที่จะทำตามพระคัมภีร์…แต่คุณใส่ใจที่จะทำตามบรรทัดฐานทางสังคมมากกว่า
ในแต่ละวัน เราต้องตัดสินใจเป็นร้อยครั้ง ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ เช่น วันนี้เราจะใส่ชุดไหนดี ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ เช่น เราจะแต่งงานกับใคร แม้ลึกๆ แล้วเรารู้อยู่ว่า เราต้องทำทุกสิ่งเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า(1 โครินธ์ 10:31) แต่เรายอมให้ชีวิตของเราถูกควบคุมโดยวิถีที่ใช้กันในสังคม ถ้าเราเรียนคณะนี้ เราจะได้งานที่ดีไหม? ถ้าเราแต่งงานกับคนนี้ ชีวิตของเราจะมั่นคงทางการเงินไหม? ถ้าเราสนับสนุนคนนี้ จะทำให้เรามีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานมากขึ้นไหม? คำถามเหล่านี้เองที่ทำให้เราเอนเอียงไปสู่การตัดสินใจทุกอย่างโดยคำนึงถึงการเติมเต็มความสมบูรณ์ในชีวิตเหมือนคนอื่นบนโลกนี้
หากเราเข้าใจข่าวประเสริฐของพระเจ้า
อย่างแท้จริง เราจะเห็นอีกภาพที่ต่างไป
โดยสิ้นเชิงว่า สิ่งใดหรือใคร
คือสิ่งที่พระเจ้าให้ความสำคัญ
โลกนี้อาจยกย่องคนรวย คนมีชื่อเสียง ผู้มีอำนาจ ผู้ที่ดูภาคภูมิและผู้มีอภิสิทธิ์ แต่พระเจ้าทรงอวยพระพรคนยากจน ทรงต้อนรับผู้ที่สังคมไม่ยอมรับ ทรงใส่ใจคนอ่อนแอ ทรงยกย่องคนต่ำต้อย และทรงเห็นคุณค่าผู้ด้อยค่า ข่าวประเสริฐตรงกันข้ามกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารู้มา
ถ้าเราเชื่อในอาณาจักรของพระเจ้าที่กลับตาลปัตรจากโลกนี้ การใช้ชีวิตของเราจำเป็นต้องแตกต่างจากคนที่เหลือบนโลก เราจะตัดสินใจตามสิ่งที่พระเจ้าเห็นคุณค่าหรือไม่? เราจะใจกว้างแบ่งปันให้กับคนจน ยื่นมือไปหาคนเล็กน้อย ช่วยผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือและคนป่วย ยกย่องคนต่ำต้อย และรับรองคนด้อยค่าหรือไม่ แม้ว่าเราต้องสูญเสียเงินทอง หรือแรงกายแรงใจของเรา
2. คุณใส่ใจว่าพระเจ้าทรงคิดอย่างไร…แต่ไม่มากเท่ากับที่ว่าคนอื่นๆ จะคิดอย่างไร
ในช่วงปีแรกๆ ของการทำงาน ฉันทำงานอย่างหนักและรู้สึกดีเมื่องานที่ฉันทำได้รับการยอมรับจากหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงาน ฉันไม่เกี่ยงที่ต้องทำงานดึก แต่ถ้างานของฉันไม่ได้รับการยอมรับหรือทำให้หัวหน้างานไม่พอใจ มันจะทำให้ฉันรู้สึกไม่มีความสุข แม้นอกเวลาทำงาน สมองของฉันยังเต็มไปด้วยความหงุดหงิดใจและความไม่มั่นใจในตัวเอง และฉันไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งใดได้เลย
ถึงแม้ตอนนั้นฉันรู้ว่า ฉันควรทำงานถวายพระเจ้า(โคโลสี 3:22-25) แต่ใจของฉันมัวแต่กังวลอยู่กับการได้รับการยอมรับจากเจ้านายบนโลกนี้มากกว่า บางคนอาจไม่ได้กำลังพยายามทำให้หัวหน้างานพอใจ แต่อาจเป็นแฟน คู่ชีวิตหรือเพื่อนๆ ก็เป็นได้ ไม่ว่าเจ้านายของเราบนโลกนี้จะเป็นใคร ให้จำไว้เสมอว่า ความเห็นของพระเจ้าสำคัญที่สุด ไม่ใช่ของใครอื่นบนโลกนี้ จะอย่างไรก็ตามพระองค์ทรงเป็นเจ้าของชีวิตของเราทุกคน พระองค์ทรงสร้างเรามา ทรงรักเรา ทรงไถ่เรา และในที่สุดพระองค์จะทรงตัดสินชีวิตของเรา
ช่วงที่ผ่านมาฉันได้อ่านหนังสือเรื่อง “Not Yet Married” โดย มาร์แชล ซีเกิล นักเขียนและบรรณาธิการบริหารของ DesiringGod.org ซึ่งท้าทายให้ฉันเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการทำงาน คำแนะนำจากหนังสือคือ “ตั้ง 8 เป้าหมายในทุกๆงาน” ประเด็นแรกของเขาคือเราควร “ปรารถนาที่จะทำให้พระเจ้าดูดี” แทนที่จะแสวงหาความรักและการยอมรับจากเจ้านายในโลกนี้ เราควรที่จะใส่ใจเรื่องพระสิริของพระเจ้า
และนั้นหมายถึงให้ลองคิดใหม่เกี่ยวกับการทำงาน(ชีวิตโดยทั่วไป) ว่าอะไรที่ถือว่าเป็นการประสบความสำเร็จ ถ้าเราไม่ได้รับการยอมรับหรือการตอบสนองที่เราต้องการจากการทำงานหนักที่เราลงทุนไป? หากเรามีโอกาสได้นำใครสักคนมาถึงพระคริสต์โดยกิจวัตรประจำวันของเรา พวกเราได้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ยิ่งใหญ่และมีคุณค่านิรันดร์
3. คุณใส่ใจคนอื่นๆ…แต่คุณใส่ใจเวลาและพื้นที่ส่วนตัวของตนมากกว่า
หลังทำงานหนักมาทั้งวัน มีแนวโน้มที่เราจะปกป้องเวลาส่วนตัวของเราอย่างหนัก วันนี้ฉันทำงานหนัก ฉันจึงสมควรจะให้รางวัลตัวเอง สำหรับบางคน อาจเป็นการกระหน่ำดูรายการล่าสุดทาง Netflix หรือการไปฟิตเนสเพื่อดูแลร่างกายให้แข็งแรงไร้ไขมัน หรือการนั่งเล่นสื่อโซเชียลอยู่บนโซฟา
ถึงแม้เราจะรู้ว่า การอ่านพระคัมภีร์เป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เราติดสนิทกับพระเจ้า และพวกเราถูกเรียกมาให้รับใช้ในคริสตจักร และดูแลผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ(มัทธิว 25:31-40) แต่เรายังคอยบอกตัวเองว่า เราค่อยทำสิ่งเหล่านั้น หลังจากที่เราได้จัดการสิ่งที่เราต้องการก่อน เราเศร้าใจไม่ใช่เพราะเห็นความอยุติธรรมทางสังคม แต่เป็นเพราะมีคนละเมิดพื้นที่ส่วนตัวของเราหรือทำให้เราลำบาก
ฉันเคยทำผิดเรื่องการเลื่อนนัดเพื่อนที่กำลังอยู่ในช่วงยากลำบาก เพียงเพราะฉันรู้ว่ามันจะทำให้ฉันเสียเวลาและทำให้ฉันเหนื่อยใจ ตอนนั้นฉันแค่รู้สึกไม่อยากเจอสถานการณ์เช่นนั้น
แต่พระเยซูทรงสำแดงตัวอย่างให้เราเห็น
ผ่านทางการกระทำและคำพูด
ของพระองค์ว่า ชีวิตนี้
เราไม่ควรอยู่เพื่อตัวเราเอง
หลักฐานสำคัญที่บ่งบอกว่าเราเป็นสาวกของพระคริสต์คือ การที่เราปฏิเสธตนเอง แบกกางเขนของพระองค์ และติดตามพระองค์ไป(มัทธิว 16:24-26) เราถูกเรียกให้ดำเนินชีวิตอย่างเสียสละ ถือว่าคนอื่นดีกว่าตนด้วยใจถ่อม ไม่เห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง แต่เห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่น(ฟิลิปปี 2:1-4) ความรักของพระเจ้าทำให้เราสามารถรักคนอื่นได้(1 ยอห์น 4:7) หากเราทุกคนดำเนินชีวิตตามความจริงในข้อนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงความต้องการของเราเองเลย
4. คุณใส่ใจมองเห็นความบาปมากมาย…แต่ไม่ใช่ความบาปของตัวคุณเอง
ตั้งแต่ต้นปีมานี้ ชั้นเรียนพระคัมภีร์ของฉันร่วมกันศึกษาพระธรรมโฮเชยาและได้เรียนรู้ว่า การไม่เชื่อฟังพระเจ้ามีค่าเท่ากับการล่วงประเวณี แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรามักไม่คิดว่า เรา ‘แย่ขนาดนั้น’ จะเป็นไปได้อย่างไรที่ความอยากได้ของคนอื่นจะเลวร้ายเท่าการนอกใจ เป็นไปได้อย่างไรที่การโกหกเพื่อให้คนอื่นสบายใจจะมีค่าเท่ากับการหลับนอนกับสามีภรรยาคนอื่น สิ่งที่อันตรายมากที่สุดในการเป็นคริสเตียนคือ การที่เราคิดว่าเราชอบธรรมหรือคู่ควรกับความรอดมากกว่าคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน
นับครั้งไม่ถ้วนที่ฉันหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะการกระทำของคนอื่น หรือรู้สึกช็อกหรือโกรธเกี่ยวกับอาชญากรรมที่อ่านเจอในหน้าหนังสือพิมพ์ หรือแม้กระทั่งตราหน้าคนอื่นว่า หมดหวังเกินจะเยียวยาแล้ว ในเวลาเหล่านั้น ฉันได้วางตัวเองไว้บนหิ้งบูชาและตัดสินคนอื่นตามมาตรฐานของฉัน ลืมไปว่าฉันเองก็เป็นคนบาปและต้องการพระคุณของพระเจ้าไม่ต่างจากคนอื่น
ฉันได้ลืมไปว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษา
สูงสุดและเราทุกคนจะต้องรับผิดชอบ
ต่อพระองค์โดยตรงถึงการกระทำ
ของเราเอง ไม่ใช่การกระทำของคนอื่น
ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงรู้สึกขอบคุณครอบครัวและเพื่อนสนิทผู้หวังดีที่ชี้ให้ฉันเห็นถึงความลุ่มๆ ดอนๆ และความบาปในชีวิตของฉัน แม้มันจะเจ็บปวด แต่พวกเขาทำให้ฉันรู้ว่าฉันต้องการพระผู้ช่วยให้รอดมากเพียงไร และพระเจ้าทรงเมตตาและเปี่ยมไปด้วยพระคุณที่ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเพื่อคนอย่างฉัน
ทุกข้อที่เขียนมานี้ทำให้ฉันตระหนักว่า วิธีแก้ปัญหาคือไม่พยายามจะเป็นคนที่ดีขึ้นโดยพึ่งพากำลังของตัวเอง ตอนนี้ฉันยิ่งเชื่อมากกว่าเดิมเรื่องความจำเป็นในการอธิษฐานขอพระเจ้าทรงช่วยให้ฉันเติบโตขึ้นในความเข้าใจถึงความงดงาม พระคุณและความจริงของพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ทำให้ฉันมองเห็น(ยอห์น 6:65) และเมื่อฉันได้เห็นพระสิริอันเจิดจ้าของพระองค์ ทุกสิ่งรอบตัวฉันก็จะถูกบดบังรัศมีจนด้อยแสงไป ฉันอธิษฐานเผื่อคุณในเรื่องนี้เช่นกัน
YOU MAY ALSO LIKE
สรรเสริญวันสะบาโตด้วยการวางทุกสิ่งลง
WRITER: จาเนล ไบเทนสไตน์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: สุมิตรา ชามรามดาบานEDITOR: Mustard Seed Team ในฤดูร้อนปี 2016 ครอบครัวของฉันขนข้าวของจากประเทศยูกันดาขึ้นเครื่องบินไปอเมริกาเป็นเวลาหกเดือน ระหว่างจัดกระเป๋าสำหรับวันหยุดยาวนี้ ฉันมีความรู้สึกขัดแย้งบางอย่าง...
การบรรเทาอาการแพนิคของฉัน : นมัสการ
WRITER: ราเชล มอร์แลนด์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: ปาลีญา ธนาวัฒนเจริญEDITOR: ธนากร พูลสินกูล ฉันไม่มีทางลืมครั้งแรกที่ฉันเริ่มมีอาการตื่นตระหนกได้ (ความรู้สึกกลัวหรือไม่สบายใจอย่างมาก) เกิดขึ้นในปีที่ 2...
การฆ่าตัวตาย และ ปีศาจที่เรียกว่าภาวะซึมเศร้า
WRITER: มาร์ค สตอร์เมนเบิร์ก ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: ปาลีญา ธนาวัฒนเจริญEDITOR: สรสิทธิ์ ฑัมมารักขิตานนท์ ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ผมทำบางอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนคือ การที่ผมร้องไห้ให้กับนักแสดง ผมไม่ใช่คนที่คอยตามข่าวดาราหรือหมกมุ่นกับชีวิตของดาราฮอลลี่วู้ด...