fbpx
WRITER: ซามูเอล เฮรีอันโต ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ณัฐฤทัย อาสาประโคน
EDITOR: Mustard Seed Team

ผมเติบโตมาในครอบครัวคริสเตียน ทว่าช่วงมัธยมปลายผมกลับมีคำถามมากมายในเรื่องความเชื่อ คำถามเกี่ยวกับพระเจ้าเริ่มพรั่งพรูออกมาตอนที่ได้เรียนวิชาเคมี ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ แต่ทั้งครูที่โรงเรียน ครูสอนศาสนา หรือแม้แต่ศิษยาภิบาล ไม่มีใครตอบคำถามผมได้อย่างแจ่มแจ้งเลยสักคน

จนที่สุดผมเริ่มหาคำตอบจากคำเทศนาที่อิงจากพระคัมภีร์ปฐมกาลบทที่สาม ที่สอนว่าความบาปส่งผลต่อการมองโลกของมนุษย์อย่างไร ซึ่งหมายรวมถึงเรื่องธรรมชาติและทุกอณูของชีวิตด้วย สิ่งนี้ทำให้ผมมองพระเจ้าในฐานะพระผู้สร้างเพื่อที่จะเข้าใจโลกรอบตัวผมได้ดียิ่งขึ้น

ผมปล้ำสู้กับคำถามเหล่านี้จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัย และใช้เวลาครุ่นคิดและอธิษฐานถึงตัวผมในสองด้านคือการเป็นคริสเตียนและการเป็นนักวิทยาศาสตร์ ความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าอย่างถ่องแท้ช่วยเปลี่ยนชีวิตของผมไปเลย ดังนั้นผมจึงเชื่อว่าการเป็นนักวิทยาศาตร์และคริสเตียนในคราวเดียวกันจะช่วยให้ผมส่งต่อมุมมองด้านวิทยาศาสตร์และความเชื่ออย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้เด็กคนอื่นได้ ผมจะสามารถตอบคำถามของตัวเองที่เคยถามบรรดาศิษยาภิบาลและอาจารย์ได้

หลังจากนั้นพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของผมด้วยการให้ผมไปเรียนต่อที่ไต้หวันแบบทุนเต็มจำนวน ตั้งแต่นั้นมาผมได้ศึกษาเรื่องอณูชีววิทยาและมีที่ปรึกษาเป็นศาสตราจารย์ที่เป็นคริสเตียนด้วย ผมได้ศึกษาการเกิดปฏิสัมพันธ์ของไลโปโปรตีนและเริ่มการวิจัยด้วยตัวเองในห้องแลป 

แค่เพียงเทอมเดียวเท่านั้นแหละที่ทำให้ผมรู้ว่าโลกแห่งวิทยาศาสตร์มันทั้งเครียดและปวดประสาทแค่ไหน

พอเข้าเทอมที่สอง การทดลองของผมล้มเหลวกว่า 70 ครั้ง สุขภาพของผมก็เริ่มแย่ลงรู้สึกเจ็บหน้าอกและวิงเวียนศีรษะ หมอไม่สามารถวินิจฉัยความเจ็บป่วยทางร่างกายของผมได้ มีแต่หมอหัวใจที่ส่งผมไปพบจิตแพทย์เพราะเห็นว่าผมมีภาวะเครียด แล้วผมก็เริ่มตั้งคำถาม “พระเจ้าอยู่ที่ไหนในเวลาที่ผมเครียดแบบนี้?”

ผมมักร้องไห้คนเดียวตอนกลางคืนเพราะผมไม่สามารถแปลงข้อมูลออกมาให้เป็นภาษาที่เข้าใจง่ายในรายงานของตัวเอง ผมไม่เคยรู้สึกเครียดหรือเจ็บปวดแบบนี้มาก่อน และรู้ดีว่าแม้แต่เจ้านายของผมคงไม่สามารถให้คำแนะนำที่ดีเพื่อดึงให้ผมผ่านไปได้  ไม่ง่ายเลยที่จะฝืนยิ้มในขณะที่เส้นผมค่อยๆ ร่วงเพราะความเครียดนี้

จนวันหนึ่งผมไปหาศิษยาภิบาลท่านหนึ่งและระบายทุกอย่างให้เขาฟัง เขาแนะนำให้ผมแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าและพระประสงค์ของพระองค์ผ่านการอ่านพระคัมภีร์แทนที่จะไปจดจ่อกับความเครียด พอผ่านไปสามเดือนหลังเริ่มเรียนพระคัมภีร์ตามคำแนะนำนั้น ผมได้ค้นพบกับคำตอบบางประการดังต่อไปนี้

ในฐานะคริสเตียน ผมจะไม่โอนอ่อนให้กับความเครียด ความกดดัน และการทดลอง

ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐานเพื่อจะไม่ถูกทดลอง จิตวิญญาณพร้อมแล้วก็จริง แต่กายยังอ่อนกำลัง (มัทธิว 26:41)

ก่อนเป็นคริสเตียน ผมเคยต้องจัดการเรื่องต่างๆ ด้วยตัวคนเดียวมาตลอด ซึ่งมันก็โอเคนะ ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีเสมอ แถมผมยังได้ที่หนึ่งของชั้นเรียนตลอด แต่หลังเป็นคริสเตียนแล้ว เหมือนผมจะยังสลัดภาพนั้นไม่หลุด ยังคงติดอยู่ในคำลวงที่ผมต้องทำนู่นนี่คนเดียวโดยไม่สนใจพระเจ้าเลย โดยเฉพาะเรื่องการทำวิจัย ผมคิดว่าผมแกร่งพอที่จะเอาชนะทุกความยากลำบากในเส้นทางนี้ได้ ผมไม่ได้ระวังเรื่องความมั่นใจเกินตัวนี้เลย อย่างกับผมพูดกับพระเจ้าว่า “ผมเอาอยู่หน่า” เพราะแบบนั้นพระเจ้าเลยใช้เรื่องนี้ตีสอนให้ผมได้รู้ว่าที่จริงแล้วผมอ่อนแอและรับมือกับความเครียดและความกดดันได้แย่แค่ไหน

ยิ่งกว่านั้น การทดลองที่ทำให้เกิดความกังวลและดำดิ่งในห้วงของความเครียดนั้นยังคงกัดกินใจผมอยู่วันแล้ววันเล่า แต่ในพระธรรมมัทธิว 26:41 คอยเยียวยาเตือนใจผมให้เฝ้าระวังและอธิษฐานอยู่ตลอดเวลา การละทิ้งความกลัวออกไปผ่านคำอธิษฐานและรู้ว่าพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ช่วยทำให้ผมใจสงบลงมาได้

พระเจ้าใช้ความเครียดเพื่อเรียกให้ผมจดจ่อที่พระองค์

เมื่อข้าพเจ้าทุกข์ใจ ข้าพเจ้าได้ร้องทูลพระยาห์เวห์ และพระองค์ทรงตอบข้าพเจ้า (สดุดี 120:1)

พระเจ้าทรงเห็นว่าผมเริ่มให้ความสำคัญกับความสำเร็จของงานวิจัยมากกว่าให้ความสำคัญกับพระองค์ อธิบายอย่างนี้ว่า ในฐานะนักวิจัย ผมทำตัวเหมือนเป็นผู้สร้าง อย่างน้อยก็เป็นผู้สร้างท้ายแถวที่คอยควบคุมการผลิต ผมวางแผน ออกแบบ และดำเนินการวิจัยตามขั้นตอนที่ผมวางไว้ ผมพยายามควบคุมผลลัพธ์ให้เป็นไปตามที่ตัวเองกำหนด โดยไม่มีพระเจ้ามาเกี่ยวข้องเลย ผมพยายามควบคุมผลการวิจัยตัวเองเพื่อจะได้สรรเสริญงานของตัวเอง และตัดพระเจ้าออกจากสารบบไปเลย

แต่ก็นะ แม้ผมต้องเจอกับความล้มเหลวกว่า 70 ครั้งพร้อมความเครียดที่มากขึ้นตามไปด้วย พระเจ้าใช้ความเครียดนั้นนำให้ผมกลับไปหาพระองค์ ทีนี้ผมเข้าใจแล้วว่าพระประสงค์คือการที่ผมให้ความสำคัญกับพระองค์มากขึ้นในงานวิจัยนี้ เพราะพระองค์คือผู้สร้างโครงข่ายไลโปโปรตีนที่แท้จริง แต่ผมจะมุ่งมั่นทำการวิจัยต่อไป ไม่ใช่เพราะความทะเยอทะยานของตัวเองแต่เพื่อพระเกียรติของพระเจ้า

พระเจ้าทรงประสงค์ให้ผมพึ่งพาพระองค์

จงวางใจในพระยาห์เวห์ด้วยสุดใจของเจ้าและอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้าแล้วพระองค์เองจะทรงทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น (สุภาษิต 3:5-6)

ในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ทุกคนล้วนต้องการค้นพบสิ่งใหม่ และหลายครั้งที่การวิจัยของเรามันเฉพาะด้านเกินไปจนไม่มีใครสามารถช่วยได้แม้แต่ที่ปรึกษาของเราก็เถอะ ช่วงฝึกงานเมื่อปีที่แล้ว ผมผิดหวังกับการพึ่งพาความรู้ความสามารถของตัวเองอยู่หลายครั้ง แต่ระหว่างการฝึกงานหฤโหดนี้พระเจ้าทรงย้ำเตือนว่าพระองค์คือผู้เดียวที่ผมสามารถพึ่งพาได้ 

พอผมยิ่งวิจัยต่อไปเรื่อยๆ ผมถึงได้เข้าใจว่าเบื้องหลังของการเกิดปฏิสัมพันธ์ของไลโปโปรตีนคือพระเจ้าเอง และพระองค์จะค่อยๆ เปิดเผยความลับนี้ในเวลาและโดยพระเกียรติของพระองค์ ในระหว่างนี้ผมจะอดทนและขยันให้มากขึ้น จะสนุกไปกับมันและพึ่งพาพระเจ้าในทุกขั้นตอนการฝึกนี้

พระประสงค์ของพระเจ้าคือให้ผมขอบพระคุณในทุกกรณี

จงชื่นบานอยู่เสมอ จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับพวกท่านในพระเยซูคริสต์ (1 เธสะโลนิกา 5:16-18)

ผมเคยคิดนะว่าพระเจ้าจะทรงประทานแต่ความสุขให้กับลูกของพระองค์ แต่พอพระองค์ให้ผมเจอความเศร้าโศกผมเลยไม่ชอบใจ ผมเคยคิดว่าผมควรจะได้รับแต่สิ่งที่ดีจากพระเจ้าแค่เพราะผมเป็นคริสเตียน โดยลืมไปว่าผมเองก็เป็นคนบาปคนหนึ่งที่เสื่อมจากสิริของพระเจ้าได้เช่นกัน (โรม 3:23) ผมลืมไปด้วยว่าสิ่งดีและพระพรทั้งหลายที่ผมได้รับรวมถึงความรอดที่พระคริสต์ได้ไถ่มาให้นั้นคือพระคุณของพระเจ้าอย่างแท้จริง

ตอนนี้ผมจำได้ขึ้นใจแล้วว่าผมไม่ควรกระหายความสำเร็จหรือคร่ำครวญกับความล้มเหลว เพราะทุกสิ่งล้วนเป็นของขวัญจากพระเจ้าทั้งนั้น ถ้าผมขอบคุณพระเจ้าต่อสิ่งดีที่พระองค์มอบให้ได้ ผมก็ต้องขอบคุณพระองค์ที่อนุญาตให้สิ่งร้ายเกิดขึ้นกับผมด้วย เพราะพระเจ้าทรงสอนให้ผมเป็นคนที่เห็นคุณค่าของทุกสิ่ง

สุดท้ายแล้ว พวกเราในฐานะนักวิทยาศาสตร์จะไม่สามารถค้นพบสิ่งใหม่ในธรรมชาติได้เลยหากปราศจากพระเจ้า พระองค์เป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง และพวกเราควรอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยใจถ่อมให้พระองค์ช่วยเปิดตาใจของเราให้เข้าใจสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้น

พระองค์เป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง และพวกเราควรอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยใจถ่อมให้พระองค์ช่วยเปิดตาใจของเราให้เข้าใจสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้น

อาจารย์ของผมเน้นย้ำผมอยู่บ่อยครั้งว่าพระเจ้าคือเจ้าของความลับของการเกิดปฏิสัมพันธ์ของไลโปโปรตีนและการเกิดปฏิสัมพันธ์อื่นๆ ในธรรมชาติ เพราะฉะนั้นพระองค์จะประทานความรู้นั้นให้แก่คนที่พระองค์มอบหมายไว้เพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์

ผมมั่นใจว่าไม่ว่าทุกคนจะอยู่ในสถานะใด ผมไม่ใช่คนเดียวแน่ที่ตั้งคำว่า “พระเจ้าอยู่ที่ไหนในเวลาที่ผมเครียดแบบนี้?” สองสามเดือนที่ผมค้นหาคำตอบ ผมเรียนรู้ว่าพระเจ้าก็ยังอยู่ตรงนี้กับผม แต่แปลว่าผมจะเครียดน้อยลงไหม? ก็ไม่นะ ก็ยังเครียดอยู่ แต่การตอบสนองของผมต่อความเครียดมันเปลี่ยนไป

ผมรู้ว่าการวิจัยครั้งหน้าผมคงจะล้มเหลวอีกแน่ล่ะ แต่ผมจะยังมุ่งมั่นและจะใช้ชีวิตด้วยความสุขใจต่อไป เพราะพระเจ้าทรงสัญญาไว้แล้วว่าพระองค์จะทรงตอบผมเมื่อผมมีความทุกข์ใจ (สดุดี 120:1)

YOU MAY ALSO LIKE

ช่วยด้วย! ฉันหยุดคิดมากไม่ได้

ช่วยด้วย! ฉันหยุดคิดมากไม่ได้

WRITER: เรเชล มอร์แลนด์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: JoshuaEDITOR: สรสิทธิ์ ฑัมมารักขิตานนท์ ฉันมือสั่นขณะที่ฉันกำลังว้าวุ่นกับการหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตในมือถือว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ไม่กี่วินาทีต่อมา...

ทำไมเราถึงไม่กล้าปฏิเสธ

ทำไมเราถึงไม่กล้าปฏิเสธ

WRITER: ซาร่า โซ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: สุมิตรา ชามรามดาบานEDITOR: ปวีณา นิลบุตร “ถ้าใช่ก็จงบอกว่าใช่ ถ้าไม่ใช่ก็จงบอกว่าไม่ใช่” (ยากอบ 5:12) ขณะที่ฉันเขียนข้อความนี้ ฉันเพิ่งจะพูดว่า "ไม่" ที่จะฟังความขัดข้องใจของแม่เรื่องคนสนิทในครอบครัว...

ความผิดพลาด 3 อย่างที่สอนผมเรื่องพระปัญญาและเวลาของพระเจ้า

ความผิดพลาด 3 อย่างที่สอนผมเรื่องพระปัญญาและเวลาของพระเจ้า

WRITER: ราฟาเอล ชาง ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: กาญจนา​ กาญจนพาทีEDITOR: ปวีณา นิลบุตร เมื่อตอนอายุประมาณ 20 ต้นๆ ผมได้วางแผนชีวิตว่าจะต้องเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เป็นนักดนตรี และเป็นผู้รับใช้ในคริสตจักรก่อนอายุ 25 ปี...

Share This