WRITER: กาเบรียล ลี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: กาญจนา กาญจนพาที
EDITOR: Mustard Seed Team
อินโทรเวิร์ต (Introvert) เป็นคนเงียบ ขี้อายและไม่ชอบพบปะคนอื่น
ส่วนคนเอ็กซ์ทราเวิร์ต (หรือ เอ็กซ์โทรเวิร์ต ใช้ในทางจิตวิทยา (Extravert or Extrovert)) เป็นคนเสียงดัง มองหาความสนใจและรักการพบปะผู้คน
คุณอาจจะเคยได้ยินคำนิยามลักษณะบุคลิกภาพประเภทข้างต้นมาแล้ว หรือคุณอาจจะเคยใช้คำๆ เดียวกันนิยามคนที่มีลักษณะนิสัยแบบข้างต้น หรือแม้แต่ให้คำนิยามตัวคุณเอง
เป็นเรื่องที่เห็นกันได้อย่างชัดเจนแล้วว่า ในปัจจุบันมีแบบประเมินบุคลิกภาพออกมามากมาย บริษัทและองค์กรหลายแห่งต่างพากันใช้เงินเพื่อให้พนักงานของตนได้ผ่านการประเมินนั้นและแบบประเมินหลากหลายชนิดก็เกิดขึ้นมากมายราวกับดอกเห็ด
ความจริงแล้ว แม้แต่ในโรงเรียนก็เริ่มใช้เครื่องมือทดสอบบุคลิกภาพตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อช่วยให้เด็กนักเรียนได้รับรู้ตัวตนของตัวเองดีขึ้น ทั้งนี้ก็อาจจะเนื่องมาจากการตระหนักว่าบุคลิกลักษณะของเรานั้นมีอิทธิพลต่อลักษณะนิสัยและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น รวมไปถึงการตอบสนองต่อผู้คนและสถานการณ์ต่างๆ
หลายปีก่อนที่ฉันเพิ่งใช้แบบทดสอบบุคลิกภาพ ผลลัพธ์ทำให้ฉันค่อนข้างสับสน ฉันเคยคิดและคาดว่าคนอื่นก็มองเห็นฉันเป็นคนเอ็กซ์ทราเวิร์ต (ชอบเข้าสังคม) ดังนั้นฉันจึงพยายามทำตัวให้เป็นเหมือนต้นแบบคนประเภทนั้น มันค่อนข้างรบกวนจิตใจเมื่อความจริงฉันพบว่าตัวเองชอบการเป็นคนอินโทรเวิร์ต(เก็บตัว) มากกว่า
ฉันทำตัวเป็นคนที่มีบุคลิกเอ็กซ์ทราเวิร์ตมาตลอดชีวิต….ฉันจะเป็นคนอินโทรเวิร์ตได้อย่างไร?
บางทีผลที่แสดงออกมาก็สามารถอธิบายเรื่องที่ฉันต้องต่อสู้กับตัวตนของตัวเองมาตลอดเวลาที่ฉันเติบโตขึ้น นับหลายปีที่สังคมกดดันและลักษณะของเพื่อนรอบตัวได้ทำให้ฉันมีความเชื่อว่าการเป็นคนชอบแสดงออกนั้นเป็นลักษณะที่ดี ดังนั้นฉันจึงพยายามเป็นคนเอ็กซ์ทราเวิร์ตแต่ฉันก็ยังได้รับคำเตือนจากคนอื่นว่าตัวฉันนั้นมีลักษณะ “ต่อต้านสังคม” “ห่างเหิน” และ “เย่อหยิ่ง”
ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องมือทดสอบบุคลิกภาพนี้ยังบ่งบอกไปถึงวิธีการตัดสินใจที่แสดงออกมาว่าฉันเป็นคนที่ชอบการคิด (มีตรรกะ การวิเคราะห์ และใช้เหตุผล) มากกว่าใช้ความรู้สึก (มีความสัมพันธ์ เห็นอกเห็นใจ และเมตตา) ซึ่งไม่แปลกเลยที่ในหลายครั้งฉันจะถูกมองว่าเป็นคน “เย็นชา” หรือโดนวิจารณ์ว่าเป็นคนมุ่งแต่เป้าหมาย ใช้การคิดวิเคราะห์ในหลายสถานการณ์ แต่พวกเขาคาดหวังความเห็นอกเห็นใจจากฉัน คนมักจะบอกว่าพวกเขารู้สึกแปลกใจที่ฉันไร้ซึ่งอารมณ์ที่สมควรจะมี
และดังนั้นฉันจึงได้พยายามอย่างหนักที่จะได้รับการยอมรับและหลีกเลี่ยงการโดนปฏิเสธ ฉันแสร้งว่าเป็นคนที่เข้ากับคนอื่น มีมนุษยสัมพันธ์ดีและเป็นที่รักใคร่ แม้ว่าฉันจะรู้สึกว่ามันขัดกับบุคลิกที่เป็นภายใน สิ่งนี้ทำให้ฉันรู้สึกผิดและอัดอั้นใจ ฉันรู้สึกผิดที่”แกล้งทำ” และโกรธคนอื่นที่ไม่ให้โอกาสตัวตนที่ “แท้จริง” ของฉัน หลังจากถูกบั่นทอนจิตใจหลายปี ฉันก็รู้สึกและเชื่อว่าตัวเองไม่สามารถที่จะรักและดูแลคนอื่นได้จริงๆ ฉันรู้สึกผิดและไม่น่ารัก
และสิ่งที่ทำให้มันดูเป็นการเสียดสีมากขึ้นไปอีกก็คือ ฉันทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาองค์กร ซึ่งฉันเองคุ้นเคยกับทฤษฎี การออกแบบจัดการ รวมทั้งการแปลความหมายของผลที่ได้จากแบบสอบถามด้านบุคลิกภาพ แต่ฉันกลับไม่สามารถนำความรู้มาใช้อธิบายความแตกต่างสิ่งที่ฉันรู้และสิ่งที่ฉันเป็นจริงในเรื่องบุคลิกภาพของตัวเอง
แล้วพระเจ้าก็ได้ตรัสกับฉันผ่านคำเทศนา ศาสนาจารย์ใช้พระธรรมเยเรมีย์ 1:5 ซึ่งกล่าวว่า “เราได้รู้จักเจ้าก่อนที่เราได้ก่อร่างตัวเจ้าขึ้นในครรภ์ และก่อนที่เจ้าคลอดจากครรภ์ เราก็ได้กำหนดตัวเจ้าไว้” ข้อพระธรรมตอนนี้ได้บอกเล่าถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่พระเจ้าต้องการมีกับเรา เพราะพระองค์ได้ออกแบบเราไว้และทรงรู้จักผลงานชิ้นโบว์แดงของพระองค์ดีที่สุด ไม่มีข้อด้อย จุดบอด ความแข็งแกร่งหรือความอ่อนแอใดถูกซ่อนไว้จากพระองค์ได้ และพระองค์ได้ทรงกำหนดให้เราได้อยู่ในครอบครัว ประเทศ และชุมชนของเราอย่างเฉพาะเจาะจง เพื่อเป้าหมายที่มีไว้เฉพาะ ในช่วงเวลานั้นฉันได้ยินพระเจ้าตรัสกับฉันว่า
ลูกรักเรามีแผนการสำหรับเจ้าในแบบที่เจ้าเป็น รวมทั้งบุคลิกภาพของเจ้าด้วย เจ้าเป็นดวงใจและที่รักในสายตาของเรา และในที่สุดทุกคนก็จะมองเห็นแบบนั้นด้วย เจ้าไม่มีอะไรต้องหลบซ่อนหรือกลัวเพราะเราได้ปั้นเจ้าให้เป็นอย่างที่เจ้าควรจะเป็น
ฉันได้มุ่งความสนใจและข้อความนั้นก็ทำให้ฉันรู้สึกเปี่ยมล้นจนถามออกไปอย่างแผ่วเบาว่า “นั่นพระองค์หรือ?” ฉันไม่เคยได้ยินพระองค์ตรัสตรงๆ และชัดเจนเช่นนี้มาก่อนและฉันรู้สึกโดนเปิดเผยและรู้สึกอ่อนไหว แต่ไม่มีที่ใดที่ฉันจะหลบได้
ในขณะที่ฉันอธิษฐานและยอมจำนนต่อเวลาหลายปีที่ฉันรู้สึกผิดและปฏิเสธตัวเอง ฉันร้องไห้ออกมาต่อพระเจ้าให้ทรงรักษาบาดแผลทางจิตใจ ฉันรู้สึกท่วมท้นและได้รับการปลดปล่อย
ฉันได้พบตัวเองดีขึ้นในความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็คือพระเยซูทรงรักฉันอย่างไม่มีเงื่อนไข
ฉันไม่ต้องทำอะไรเพื่อที่จะได้รับความรักนั้น และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ลิ้มรสชาติของอิสระที่จะใช้ชีวิตอยู่ในความจริงของพระคำของพระองค์ ฉันไม่จำเป็นต้องรู้สึกอับอายกับตัวตนของตัวเองอีกแล้ว
นักจิตวิทยาคาร์ล ยุง ได้พูดสิ่งที่ถูกต้องอย่างหนึ่งคือ บุคลิกภาพเป็นมาโดยกำเนิด มันติดมาแต่กำเนิดเพราะพระเจ้าทรงประทานให้ พระผู้สร้างได้ทรงพิถีพิถันถักทอด้วยความรักให้เราแต่ละคนมีลักษณะเฉพาะ ขณะที่เราถูกเรียกให้เป็นเหมือนพระคริสต์ ฉันเชื่อว่าเพราะเราได้รับการสร้างให้ไม่เหมือนกันก็เพื่อที่เราจะออกไปประกาศแก่คนที่แตกต่างกันไป
หลังจากที่ฉันฟื้นฟูประสบการณ์ความรักของพระเจ้าใหม่ ฉันรู้สึกมีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์ในชีวิตของฉัน ยกตัวอย่างเช่น แทนที่จะตอบสนองด้วยการ “คิด” ตอนนี้ฉันพยายามให้ตัวเองไปอยู่ในฐานะของอีกฝ่ายหนึ่งก่อน คุณลักษณะบางอย่างสามารถเรียนรู้ได้และจากการฝึกฝนเราก็จะทำได้ดีขึ้น
ไม่ว่าเราจะมีบุคลิกเอ็กซ์ทราเวิร์ตหรืออินโทรเวิร์ต ไม่ว่าเราจะใช้ความคิดหรือความรู้สึก เราทุกคนล้วนสามารถออกไปพบผู้คนและสร้างสัมพันธภาพที่มีความหมายได้ และเหนือสิ่งอื่นใดมันสำคัญที่เราจะจำไว้ว่ามันไม่มีแบบสอบถามบุคลิกภาพอันใดที่จะสามารถนิยามได้หมดถึงลักษณะเฉพาะของเราแต่ละคนที่พระเจ้าทรงออกแบบไว้ได้
YOU MAY ALSO LIKE
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน
WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ สะสางงานต่างๆ ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...
ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?
WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...
เสียงที่ดังพอ
WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...