WRITER: โดรอธี นอร์เบิร์ก ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ศุภิสรา เจริญศรีศิลป์
EDITOR: Mustard Seed Team
“ความจริงจะเปิดเผยออกมาเอง”
เมื่อฉันยังเด็ก คำพูดนี้ฝังความกลัวไว้ในใจของฉัน เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ได้ยินแม่พูดประโยคนี้กับฉัน มันหมายความว่า แม่ไม่มีหลักฐานมากพอมาพิสูจน์ว่าฉันไม่เชื่อฟัง แต่แม่รู้ว่าฉันทำบาปและกำลังละทิ้งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของฉันที่มีต่อพระเจ้า
ประโยคในพระธรรมกันดารวิถี 32:23 ที่โมเสสเตือนชนชาติอิสราเอลว่าพวกเขาได้ทำบาปต่อพระเจ้านั้น ได้แสดงให้เห็นถึงความจริงที่ว่า แม้เราจะฝังหลักฐานการทำบาปของเราและปฏิเสธที่จะสารภาพความจริง เราก็ไม่สามารถหนีความจริงในการทำสิ่งที่ไม่ดีของเราได้
เมื่อฉันอ่านเรื่องราวลึกลับต่างๆ ฉันตั้งตารอคอยฉากที่นักสืบจับผู้ร้ายได้แล้วเสมอ แต่ในชีวิตจริง ฉันชอบที่จะสังเกตผู้ร้ายที่ซ่อนความผิดของตัวเองและกลัวช่วงเวลาที่พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับความจริงและผลที่ตามมา ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าการที่คนอื่นจะรู้ว่าตัวตนในอดีตของฉันนั้นแย่แค่ไหน
เมื่อฉันเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ฉันก็หยุดทำให้แม่ต้องมานั่งเสียเวลา โดยการโกหกเพื่อปกปิดสิ่งที่ฉันทำไปมาแทน แต่ฉันก็ยังทำบาปมากมาย คนที่โบสถ์นึกว่าฉันเป็นคนที่น่ารักอ่อนหวาน แต่เมื่ออยู่ที่บ้าน ฉันมีนิสัยขี้โมโหและไม่น่าเข้าใกล้ เมื่อศิษยาภิบาลในโบสถ์ชมฉันเรื่องความรู้พระคัมภีร์และนิสัยที่ดีของฉัน ฉันพยายามบอกพวกเขาว่าฉันไม่ได้ดีและไม่ได้ติดสนิทกับพระเจ้าในแบบที่พวกเขาคิด แต่เขาก็ยังคงจำแต่เรื่องการอ่อนน้อมถ่อมตนที่ฉันควรจะมี และไม่เข้าใจว่าฉันนั้นแย่แค่ไหน ไม่มีทางเลยที่ฉันจะบอกคนอื่นถึงความไม่สมบูรณ์และสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับตัวฉันเอง โดยที่ไม่ทำให้พวกเขาตกใจหรือออกห่างจากฉันไป ดังนั้น ฉันจึงเลือกที่จะแสดงนิสัยตามความคาดหวังของคนอื่นๆ เวลาที่อยู่ในสังคม และฉันรู้สึกและรู้ตัวว่ามันปลอมจริงๆ
เผชิญหน้ากับตัวตนที่แท้จริงของฉัน
ฉันใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ กับการครุ่นคิดและจมอยู่ในความรู้สึกผิดและความไร้เดียงสาของตัวเองในอดีต ความรู้สึกเหล่านี้ยิ่งฉุดฉันให้จมเข้าไปในโลกของนิยายแนวสืบสวนสอบสวน ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันสนใจมาโดยตลอด ฮันนาห์ แอนเดอร์สัน ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับนิยายแนวสืบสวนสอบสวนได้เขียนไว้ในบทหนึ่งในหนังสือของเธอที่ชื่อว่า All That’s Good: Recovering the Lost Art of Discernment ว่า นิยายแนวนี้ช่วยเธอให้ค้นพบความสำคัญของความจริง ผู้อ่านที่ให้ความสนใจกับหนังสือแนวนี้เพราะอยากจะค้นหา “สิ่งที่หายากที่สุดในชีวิตของคนเรา ซึ่งก็คือ ความแน่นอน ความจริง และการแก้ปัญหา” และนี่คือสิ่งที่ฉันกำลังตามหามาตลอด แต่ก็เป็นสิ่งที่ฉันกลัวที่สุดเช่นกัน
เมื่อฉันกำลังก้าวสู่วัยทำงาน ฉันก็ให้เวลากับการอ่านนิยายของ Agatha Christie ทุกเล่ม ฉันสนุกไปกับการผจญภัยในการสืบสวนคดีกับนักสืบที่โด่งดังอย่าง Hercule Poirot และ Miss Marple รวมถึงนักสืบคนอื่นๆ ในนิยายของ Agatha Christie ด้วย นิยายของ Agatha Christie ถูกตีพิมพ์ระหว่างปี 1920 ถึง 1973 โดยโด่งดังมาจากเนื้อหาที่หักมุมและมีจริยธรรมสอดแทรกเสมอ นักสืบของเธอทุกคนรักความยุติธรรม และสืบหาความจริงโดยไม่สนอำนาจเงินหรือความสัมพันธ์ใดๆ
ฮันนาห์ แอนเดอร์สัน เขียนว่า “การค้นหาความจริงจำเป็นที่จะต้องรู้ว่ามากกว่าว่าข้อเท็จจริงนำไปที่ไหน เราจะต้องใช้ความสัตย์จริงในการค้นหาความจริง ไม่ว่าใครจะดัดแปลงข้อเท็จจริงเท่าไหร่ก็ตาม” เมื่อฉันอ่านนิยายถึงตอนที่ฆาตกรเป็นคนที่เป็นที่รักของทุกคนหรือเป็นคนรักของตัวละครหลักที่ถูกฆ่าเสียเอง ฉันจะบ่นสบถในใจ เพราะว่าฉันไม่อยากให้ฆาตกรเป็นคนนี้เลย!
เหมือนความเสื่อมทรามของมนุษย์
เราพยายามมองด้านไม่ดีของคนที่ไม่น่ารักมากขึ้น และในขณะเดียวกันเราก็พยายามมองข้ามความบาปของคนที่ดูน่าเห็นอกเห็นใจ แต่พวกเราทุกคนต่างก็เป็นคนบาป และความบาปผิดภายในใจของเราไม่ได้แสดงออกมาทางรูปลักษณ์ภายนอกเสมอไป
มันทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดเสมอ เมื่อฉันนึกถึงตัวละครที่ฉันรักต้องติดคุกหรือตายเพราะการกระทำของพวกเขา แต่นั่นก็คือการลงโทษสำหรับการกระทำของพวกเขา และถ้านักสืบไม่ได้ค้นพบความผิดของเขา คนบริสุทธิ์ก็ยังคงถูกสงสัยต่อไป
ความจริงจะปรากฏออกมา แม้ว่ามันจะไม่น่าพอใจก็ตาม และการได้เห็นความจริงที่กำลังทำงานในนิยายก็ช่วยหนุนใจฉันให้มีความกล้ามากขึ้นในการเผชิญหน้ากับความจริงเกี่ยวกับตัวเอง ในขณะเดียวกันที่ฉันอ่านนิยายสืบสวนคดีฆาตกรรมทุกวัน ฉันก็รู้สึกถึงสัญญาณเตือนในชีวิต มันเตือนใจฉันว่าความผิดบาปที่ฉันพยายามจะกลบเกลื่อนและไม่สนใจมัน เพราะว่าความสับสนและคิดว่าคงไม่มีใครช่วยได้ กำลังหยั่งรากลึกลงไปในความคิดและกลายเป็นนิสัยที่ติดตัว
ฉันสามารถเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเองเพื่อลดความตึงเครียดระหว่างปัญหาและอุดมคติของฉัน แต่แทนที่จะมองหาหลักฐานเพื่อยืนยันเรื่องราวส่วนตัวของฉัน ฉันกลับยึดมั่นในความจริงที่มีมาตรฐานสูงส่งที่ได้รับอิทธิพลมาจากการอ่านเรื่องราวลึกลับเหล่านั้น อีกทั้งฉันเต็มใจที่จะจัดการกับความจริงเหล่านั้นด้วยวิธีที่ถูกต้องและเป็นกลางที่สุด
ความจริงที่ทำให้เราเป็นไท
ฉันค้นพบว่าฉันแย่กว่าที่ฉันคิดไว้เยอะ และความรู้สึกผิดในตัวเองของฉันก็เพิ่มมากขึ้น
ในช่วงเวลานี้เอง ฉันสนใจที่จะอธิบายความบาปของฉันน้อยลงเพราะสิ่งที่ฉันต้องการคือการให้อภัย ไม่ใช่การเล่ามันออกมา
ความรู้สึกสิ้นหวังดึงฉันกลับไปสู่ข้อพระคัมภีร์ที่ฉันได้ท่องตอนเด็กๆ นั่นก็คือ “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” (1 ยอห์น 1:9)
ฉันพักพิงในพระสัญญาของพระเจ้าข้อนี้ และรับรู้ว่าถึงแม้มันจะเจ็บปวดมากสำหรับฉันในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตฉันใหม่อีกครั้ง และเผชิญหน้ากับความบาปที่ติดแน่น แต่พระเจ้าจะไม่มีทางปล่อยให้ฉันจมอยู่กับความสิ้นหวังของตัวเองอย่างแน่นอน พระเจ้าสัญญาว่าจะชำระล้างฉันและทำให้ฉันบริสุทธิ์ และสิ่งที่ฉันต้องทำก็มีเพียงการสารภาพบาปและพยายามเข้าหาพระองค์ด้วยความเชื่อเท่านั้น
ฉันเห็นด้วยกับประโยคที่ว่า “ความจริงสำคัญกว่าชื่อเสียงหรือภาพลักษณ์ภายนอก” ฉันเลือกที่จะเปิดเผยความจริง เผชิญหน้ากับมัน และเดินต่อไปด้วยการสารภาพบาป ฉันเรียนรู้ความหมายของการได้รับความรักจากพระเจ้า ผู้ซึ่งรู้จักฉันและรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวฉัน (สดุดี 139:1-5) ผลลัพธ์ของการเปิดเผยความบาปที่แท้จริงที่ฉันเคยกลัว กลายเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญอีกต่อไป เมื่อเทียบกับพระคุณอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า และฉันรู้ว่าพระเมตตาของพระองค์จะมีบริบูรณ์เต็มล้นเสมอ แม้ในวันที่ฉันทำตัวแย่ที่สุดก็ตาม
เหมือนอย่างที่พระธรรมสดุดีได้เขียนไว้ว่า “บุคคลผู้ซึ่งการละเมิดของเขาได้รับอภัยก็เป็นสุข บุคคลซึ่งพระยาห์เวห์มิได้ทรงถือโทษก็เป็นสุข คือผู้ที่ไม่มีการหลอกลวงในจิตใจของเขา” (สดุดี 32:1-2)
ในที่สุดฉันก็มีอิสระที่จะเผชิญหน้ากับความจริง และฉันรู้แล้วว่าความรู้สึกของการถูกชำระล้างจากบาปของตัวเองเป็นยังไง
เมื่อฉันบอกคนอื่นถึงปัญหาที่ฉันกำลังเผชิญ พวกเขากลับตอบสนองด้วยความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจในปัญหาของฉัน แต่ความสบายใจที่สุดของฉันก็คือการที่ฉันได้รับการปลดปล่อยโดยพระคุณของพระเจ้าผ่านทางความเชื่อ เพราะพระเยซูได้สละพระชนม์บนไม้กางเขน ฉันจึงได้รับการชำระล้างจากบาปของตัวเองและได้ถูกปกคลุมด้วยความชอบธรรมของพระองค์ (อิสยาห์ 61:10) และความจริงนี้ได้ปลดโซ่ตรวนแห่งความบาปและความกลัวในการเผชิญหน้ากับความจริงในอดีตของฉัน
ที่ไม้กางเขน ทุกอย่างที่ฉันเป็น และทุกสิ่งที่ฉันเคยทำได้ถูกเปิดเผยออกมาหมดแล้ว แม้ว่ามันจะฟังดูเหมือนเป็นความคิดที่น่ากลัว แต่นี่เป็นหลักประกันได้ว่าฉันจะไม่มีวันต้องพยายามปกป้องภาพลักษณ์ของตัวเองอีกแล้ว ในท้ายที่สุด แม้ว่าความบาปของฉันจะถูกเปิดเผยออกมา แต่พระเมตตาของพระเยซูคริสต์จะเสริมกำลังฉันขึ้นใหม่ เพราะพระเจ้าผู้ที่เป็นผู้เดียวที่รู้และเห็นความจริงทุกอย่างได้เลือกที่จะรักฉันไม่ว่าฉันจะเป็นอย่างไรก็ตาม
YOU MAY ALSO LIKE
เราจะจัดการความคิดต่างบนเฟซบุ๊คได้อย่างไร
WRITER: จัสมิน แพทเทอสัน ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI TRANSLATOR: นฤมล บางทราย EDITOR: ทิพย์สุพร ชาน ช่วงมหาวิทยาลัยฉันได้ช่วยเป็นผู้นำกลุ่มพันธกิจในมหาวิทยาลัยครั้งหนึ่งฉันทะเลาะกับผู้นำคนหนึ่งที่ทำงานร่วมกัน อย่างไรก็ดีฉันจบลงด้วยความใจร้อนและตะคอกเธอไป...