WRITER: แฮนน่า โก ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: Gift Natthanan
EDITOR: Mustard Seed Team
ฉันกำลังนั่งอยู่บนรถในระหว่างทางที่จะไปเจอเพื่อนๆ ที่โบสถ์ แล้วฉันก็คิดถึงคำถามที่ว่า พระเยซูคริสต์เป็นใครสำหรับฉัน กลุ่มของพวกเราที่โบสถ์กำลังอยู่ในบทเรียนตอน “กลับสู่จดเริ่มต้น” และมันทำให้ฉันตระหนักว่าสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้และมีความเชื่อในฐานะคริสเตียนนั้น ทุกสิ่งเริ่มต้นที่พระเยซู แต่ในขณะที่ฉันกำลังคิดว่าพระเยซูคริสต์มีความหมายกับฉันส่วนตัวอย่างไรนั้น ฉันกลับรู้สึกว่างเปล่า
ฉันรู้ว่าถ้าฉันจะตอบตรงๆ ฉันจะพูดง่ายๆ อย่างตรงไปตรงมาว่า พระเยซูคริสต์คือบุตรของพระเจ้า พระองค์คือพระเมสิยาห์ที่พระเจ้าส่งมาเพื่อช่วยเราให้รอดจากบาป แต่สิ่งที่ฉันรับรู้ในหัวนั้นต่างจากสิ่งที่หัวใจของฉันได้สัมผัส
หมายความว่าอะไร พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของฉัน? และเกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตประจำวันของฉัน?
ในฐานะที่ฉันเป็นคนหนึ่งที่เติบโตขึ้นในโรงเรียนพระคัมภีร์ในวันอาทิตย์ บ่อยครั้งที่การมีประสบการณ์กับพระคัมภีร์ทั้งเล่มเป็นเรื่องยากสำหรับฉัน
ฉันคุ้นเคยกับพระคำหลายๆ ตอนและบางข้อก็ท่องจำได้ง่ายขึ้นใจ แต่ประสบการณ์ที่ฉันพบในแต่ละวันก็ไม่เหมือนในพระคัมภีร์เสมอไป
ถึงอย่างนั้น ฉันก็รู้ว่าเหตุผลที่ฉันยังคงมีความเชื่อก็เพราะว่าพระองค์ยังทำกิจในชีวิตของฉันเสมอ เมื่อมองย้อนกลับไปฉันได้ผ่านช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังหลายต่อหลายครั้ง ทั้งช่วงที่ต้องต่อสู้เรื่องการเรียน เรื่องงาน และเรื่องความสัมพันธ์ อีกทั้งความไม่แน่นอนในชีวิตที่เกิดขึ้นเสมอ และฉันรู้อยู่แก่ใจว่าฉันไม่สามารถผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาได้ด้วยตัวฉันเอง ในเวลาที่มีความสงสัยเกิดขึ้นพระคำของพระเจ้าจะเข้ามาแทรกแซง พระองค์มักจะส่งคนมาเตือนฉันเสมอว่าฉันไม่ได้อยู่ลำพังคนเดียวและบอกฉันว่าเรื่องที่เลวร้ายที่สุดนั้นไม่ใช่สิ่งสุดท้ายของชีวิต และพระองค์ยังคงสัตย์ซื่อ ทรงครอบครองอยู่และทรงแสนดี
1. เป็นผู้ดับความกระหายของฉันด้วยน้ำแห่งชีวิตของพระองค์
“ถ้าใครกระหาย ให้คนนั้นมาหาเรา และให้คนที่วางใจในเราดื่ม ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘แม่น้ำที่มีน้ำดำรงชีวิตจะไหลออกมาจากภายในคนนั้น’” (ยอห์น 7:37-38)
“อาจารย์เยซูมีสาวกและให้บัพติศมามากกว่ายอห์น” แต่คนที่ดื่มน้ำที่เราจะให้กับเขานั้น จะไม่มีวันกระหายอีกเลย น้ำที่เราจะให้เขานั้นจะกลายเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 4:14)
ไม่มีอะไรดับกระหายได้ดีเท่ากับน้ำ แต่เรามักจะไม่เลือกเพราะเราถูกชักชวน (หรือถูกทำให้สับสน) ด้วยตัวเลือกอื่นได้ง่ายๆ (ฉันมักจะเลือกกาแฟ!) ซึ่งดูเหมือนจะช่วยดับกระหาย แต่ความจริงไม่สามารถช่วยได้เหมือนน้ำ
แต่มากไปกว่าความหิวกระหายฝ่ายร่างกายของฉัน ฉันตระหนักถึงความกระหายของอารมณ์และจิตวิญญาณ ฉันรู้สึกถึงความต้องการการยืนยัน ความรัก และการควบคุม ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาว่าฉันอยากได้รับการยอมรับว่าฉันทำในสิ่งที่ถูกต้อง และสิ่งต่างๆ จะเป็นปกติสุข ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ฉันพยายามจะทำให้สำเร็จ มักมีความรู้สึกว่าฉันยังทำได้ไม่ดีพอ ฉันมักจะรู้สึกว่าฉันสามารถทำได้ดีมากขึ้นอีกโดยเฉพาะในเวลาที่คนอื่นทำได้ดีมากกว่า
จนกระทั่ง พระเยซูนำฉันกลับมาที่น้ำแห่งชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่าผ่านพระวจนะคำ ผ่านบทเพลง คำอธิษฐาน และคำตักเตือนในถ้อยคำที่ทำให้สบายใจและหนุนใจ พระองค์เตือนฉันว่าความพยายามทั้งหมดของฉันเพื่อที่จะดับกระหายความกังวลเหล่านี้ยังไม่เพียงพอและไม่มีวันที่จะเพียงพอ
และพระองค์ตรัสว่า “อย่าทำงานเพื่อแสวงหาอาหารที่เสื่อมสูญได้ แต่จงแสวงหาอาหารที่คงทนอยู่จนถึงชีวิตนิรันดร์ ซึ่งบุตรมนุษย์จะมอบให้กับพวกท่าน เพราะพระเจ้าคือพระบิดาทรงรับรองท่านผู้นี้แล้ว” (ยอห์น 6:27)
อาหารนี้ก็คือ พระเยซูคริสต์ซึ่งเรารับด้วยความเชื่อโดยการรู้จักพระองค์และเชื่อในพระองค์และเชิญพระองค์เข้ามาควบคุมอยู่เหนือชีวิตของเรา
หลายสิ่งที่ฉันแสวงหาและพยามยามตั้งใจทำนั้นได้กลายเป็นอดีตไป บางครั้งเพื่อนก็กลายเป็นคนรู้จักห่างๆ บนเฟสบุ๊ค เรียนจบด้วยเกียรตินิยมก็กลายเป็นไร้ความหมายหลังจากทำงานไปได้ปีสองปี งานที่เคยได้รับผลตอบแทนสูงก็ไม่แน่ใจว่าจะได้รับอีกหรือไม่ หนังสือที่ฉันช่วยแต่งและตีพิมพ์ตอนนี้ก็ไม่มีขายอีกต่อไปแล้ว
แต่เมื่อมีพระเยซู ความไม่แน่นอนทั้งหลายก็สิ้นสุดลง สิ่งที่พระเจ้าทำเพื่อฉันนั้นจะอยู่ตลอดไป พระองค์ทรงรักษาสัญญา พระองค์ทรงเป็นเหมือนเดิมทั้งเมื่อวานนี้ วันนี้ และตลอดไป
ฉันได้เรียนรู้ว่าการเข้ามาหาพระองค์และวางใจในพระองค์ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียวแต่เป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนทุกวัน ที่จะกลับไปหาพระคำของพระเจ้าซ้ำๆ เพื่อจะอ่านและสอนถ้อยคำเหล่านั้นให้กับตัวฉันเอง ที่จะจดจ่ออยู่กับเนื้อร้องในบทเพลง เช่นที่บอกว่า “เพ่งสายตามองที่พระเยซู” “ไม่ใช่ฉันแต่โดยพระคริสต์ที่อยู่ภายในฉัน” “พระเยซูเพียงผู้เดียว” ดังนั้นฉันจึงหมั่นสร้างชีวิตอยู่บนสิ่งที่สำคัญจริงๆ
2. ผู้ซึ่งเป็นแสงสว่างในความมืดของฉัน
‘พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์ ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด และความมืดไม่อาจเอาชนะความสว่างได้’ (ยอห์น 1:4-5)
‘พระเยซูตรัสกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่งว่า “เราเป็นความสว่างของโลก คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต”’ (ยอห์น 8:12)
ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่มืดมิด โรคระบาดไม่เพียงทำให้เกิดความยากลำบาก มันยังขยายความเหลื่อมล้ำ ความไม่ยุติธรรมออกไปอีก หลายต่อหลายวันที่รู้สึกว่าความมืดนั้นปกคลุม เมื่อสถานการณ์นั้นดูเหมือนว่าจะมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เมื่อไหร่ที่ความทุกข์จะหมดไป? เมื่อไหร่ที่สันติสุขจะกลับมา? สิ่งเหล่านี้คือคำถามที่คอยเกิดขึ้นเสมอในความคิดของเรา ถึงแม้ว่าเราจะก้าวเข้าสู่ปีใหม่และมีความหวังว่าสิ่งต่างๆ จะดีขึ้น
ตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงของชีวิต และฉันก็เผชิญกับเรื่องที่ไม่แน่นอนสองสิ่ง คือไม่รู้ว่างานใหม่ของฉันจะมาเมื่อไหร่ และเมื่อไหร่ที่ฉันจะได้เจอกับครอบครัวอีกครั้ง ในวันเหล่านี้เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันพบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่ในความมืด ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป และกลัวที่จะก้าวต่อไป พระเยซูเข้ามาประทานความสว่างและให้ความหวังแก่ฉัน พระองค์ตอบกลับความกลัวของฉันว่า ‘เรามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน สันติสุขของเราที่ให้กับท่านนั้น เราไม่ได้ให้อย่างที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์ อย่ากลัวเลย’ (ยอห์น 14:27)
เมื่อใจของฉันเริ่มมัวหมอง พระองค์เตือนฉันให้ออกไป และมองดูที่ความงามของสวนและเหล่าต้นไม้ คลื่นทะเลที่สงบ และแสงแดดที่งดงามในเวลาที่พระอาทิตย์ตก ฉันเห็นการทรงสร้างเหล่านี้ของพระเจ้า และฉันก็มีชีวิตโดยฤทธิ์อำนาจที่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งใด อย่างที่ในพระธรรมสดุดี 8:3-4 อธิบายว่า:
‘เมื่อข้าพระองค์มองดูฟ้าสวรรค์อันเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ดวงจันทร์และดวงดาวซึ่งพระองค์ได้ทรงสถาปนาไว้ มนุษย์เป็นผู้ใดเล่า ที่พระองค์ทรงระลึกถึงเขา? และบุตรของมนุษย์เป็นใครเล่า ที่พระองค์ทรงห่วงใยเขา?’
เมื่อพระเจ้าเป็นผู้สร้างและควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งที่ฉันเห็น ดังนั้นฉันจึงสามารถวางใจในความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงดูแลฉัน
3. พระองค์เป็นแหล่งแห่งความหวังและชีวิต
‘ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า พระวาทะทรงเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา เราเห็นพระสิริของพระองค์ คือ พระสิริที่สมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง’ (ยอห์น 1:1,14)
ฉันมีประสบการณ์ว่าพระเจ้าเป็นแม่น้ำแห่งชีวิตและเป็นความสว่างได้อย่างไร? มันคือการที่เรากลับไปดูว่าพระเจ้าทรงเป็นใครในโลกนี้ แน่นอนว่าเราสามารถมีประสบการณ์กับพระเยซูผ่านสถานการณ์ที่เราเผชิญอยู่ หรือผ่านอารมณ์ที่เรารู้สึก หรือผ่านผู้คนที่เราพบเจอ แต่สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลง และหากปราศจากพระวจนะของพระเจ้าที่เป็นเหมือนสมอและการทรงนำให้เรา เราจะเกิดความสับสนและหลงอยู่ในวิกฤตของการเปลี่ยนปลง
ในเวลาที่ฉันพยายามไตร่ตรองถึงพระลักษณะและพระพรของพระเยซู ฉันรู้ว่ามีบางเวลาที่สิ่งที่พระเยซูเป็นนั้นอาจไม่ได้ชัดเจนในใจของฉันเหมือนอย่างในตอนนี้ แต่ฉันรู้ว่าฉันจะมีพระคำของพระเจ้าเสมอเป็นเหมือนตะเกียงส่องนำทาง และฉันมีพระกายของพระองค์คือคริสตจักร ที่จะช่วยให้ฉันเห็นพระองค์ชัดเจนมากยิ่งขึ้นในเวลาที่ความเข้าใจของฉันนั้นผิดพลาดไป และจะอธิษฐานเผื่อฉัน หนุนน้ำใจฉันด้วยถ้อยคำที่จะนำฉันกลับมาที่พระเยซู และฉันต้องการที่จะหยั่งรากลงในสิ่งเหล่านี้เพื่อจะรักษาความเชื่อของฉัน
การรู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นใครสำหรับฉัน ช่วยให้ฉันเข้มแข็งที่จะลุกขึ้นและเผชิญแต่ละวันได้ โดยการรู้ว่าพระองค์ทรงไถ่ฉันแล้ว และยังคงช่วยฉันอยู่เสมอทุกวัน จากความคิดสงสารตัวเอง ความกลัวและความสิ้นหวัง
เมื่อฉันเชื่อสุดใจว่าพระเยซูทรงไถ่ฉันและประทานสันติสุขใหฉัน ฉันสามารถไปต่อและทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งใบสมัครงานอีกรอบ หรือการซักผ้ากองโต ฉันสามารถเลือกที่จะสัตย์ซื่อในสิ่งเล็กน้อย ความรอดและสวัสดิภาพของฉันไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม แต่ขึ้นอยู่กับพระเยซูและสิ่งที่พระองค์พูดถึงฉันว่าฉันเป็นใคร
การรู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นใครสำหรับฉัน ช่วยให้ฉันเข้มแข็งที่จะลุกขึ้นและเผชิญแต่ละวันได้ โดยการรู้ว่าพระองค์ทรงไถ่ฉันแล้ว และยังคงช่วยฉันอยู่เสมอทุกวัน จากความคิดสงสารตัวเอง ความกลัวและความสิ้นหวัง
ถ้าหากคุณต่อสู้เพื่อที่จะได้รู้ว่าพระเยซูนั้นเป็นใครในชีวิตของคุณ นี่คือคำอธิษฐานของฉันสำหรับคุณ
‘ขอให้ตาใจของพวกท่านสว่างขึ้น เพื่อจะได้รู้ว่าพระองค์ประทานความหวังอะไรแก่ท่านในการทรงเรียกพวกท่านนั้น และรู้ว่ามรดกที่มีศักดิ์ศรีของพระองค์สำหรับพวกธรรมิกชนนั้นบริบูรณ์เพียงไร’ (เอเฟซัส 1:18)
YOU MAY ALSO LIKE
กังวลจนไม่หลับไม่นอน
WRITER: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ฉันนอนไม่หลับทั้งคืน บางคืนเราก็มีอาการนอนไม่หลับ หลับๆ ตื่นๆ พอเช้าตื่นมาก็ไม่สดชื่น อารมณ์ไม่ดี การนอนไม่หลับส่งผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่เป็นครั้งคราว แต่สําหรับบางคนอาจเจอปัญหานี้เป็นประจำ...
ทำไมเราถึงไม่กล้าปฏิเสธ
WRITER: ซาร่า โซ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: สุมิตรา ชามรามดาบานEDITOR: ปวีณา นิลบุตร “ถ้าใช่ก็จงบอกว่าใช่ ถ้าไม่ใช่ก็จงบอกว่าไม่ใช่” (ยากอบ 5:12) ขณะที่ฉันเขียนข้อความนี้ ฉันเพิ่งจะพูดว่า "ไม่" ที่จะฟังความขัดข้องใจของแม่เรื่องคนสนิทในครอบครัว...
พระเจ้าช่วยฉันผ่านประสบการณ์เลวร้าย (ถูกล่วงละเมิดทางเพศ)
WRITER: แคทเธอรีน ฟลินน์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ในปี 2003 ฉันอายุ 24 ปี และอาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษตอนที่ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยเพื่อนร่วมห้องของฉัน...