WRITER: แอนนา เชน สเตดิค ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ปาลีญา ธนาวัฒนเจริญ
EDITOR: ธัญธร จันทสุทธิบวร
พวกเขาขมวดคิ้วเมื่อฉันบอกว่าฉันกำลังเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ฉันกำลังทานอาหารกลางวันในงานประชุมของนักเขียนคริสเตียน แต่ไม่รู้ทำไมถึงจบลงด้วยการอธิบายให้ผู้หญิงสองคนฟังว่าฉันกำลังจะเขียนเรื่องราวความเชื่อของฉันเมื่อฉันถูกคุณหมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคไบโพลาร์ ถึงแม้ว่าฉันจะเขียนหนังสือทั้งเล่มเกี่ยวกับมันแต่การที่ได้แบ่งปันเรื่องราวส่วนตัวให้กับคนสองคนที่ฉันแทบไม่เคยพบเจอ ถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับฉัน
“แล้วคุณยังทานยาอยู่รึเปล่า” ผู้หญิงผมแดงถาม
“อืม ใช่” ฉันรู้สึกแปลกใจกับคำถามของเธอ ฉันตัดสินใจไม่ได้ว่าสิ่งนี้มันรบกวนฉันรึเปล่า
“คุณรู้ใช่ไหมว่าโรคนี้มันอาจเกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดของคุณ ฉันรู้จักผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อเขาเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน โรคไบโพลาร์ของเขาก็หายไป
เธอไม่ได้ล้อเล่น แม้ว่าฉันจะอยากให้เธอล้อเล่น
“แต่ดูคุณสิ” เธอพูด แล้วชี้มาที่จานสลัดของฉัน “ฉันไม่รู้ว่านั่นคือน้ำตาลในเลือดรึเปล่า”
“ใช่ ฉันไม่คิดว่านั้นเป็นปัญหาของฉัน” ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีก
ผู้หญิงอีกคนตัดสินใจร่วมวงสนทนา เธอขยับตัวเข้ามาใกล้ฉันเพื่อให้ฉันได้ยินเธอชัดเจนขึ้น “โรคทางจิตเวชสามารถรักษาได้ด้วยพลังของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงรักษาฉัน ฉันมีชีวิตอยู่เป็นการพิสูจน์ถึงพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ เพียงอธิษฐานต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์
ฉันจ้องที่จานอาหารของฉัน และฉันไม่อยากจะรับประทานต่อ ก่อนที่จะขอตัวออกมา พลังของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรอ? ฉันรู้สึกอับอาย ฉันจะเสียใจกับอะไรมากกว่า? การที่ฉันบอกเรื่องราวเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์หรือการที่ฉันไม่ได้โต้เถียงพวกเขา? ฉันอยู่ที่นี่ อยากที่จะประกาศความเชื่อและการเจ็บป่วยทางจิต แต่กลับรู้สึกอับอายและกลัวเกินกว่าจะพูดออกมาเมื่อถึงเวลา
โรคไบโพลาร์ส่งผลต่อฉันอย่างไร
เมื่อไม่นานมานี้ ฉันพยายามที่จะเปิดใจต่อโรคไบโพลาร์ ฉันอยากจะเป็นกระบอกเสียงให้คนที่เป็นโรคทางจิตเวชในคริสตจักร มันเป็นความพยายามที่น่ากลัวโดยเฉพาะเมื่อมีความเข้าใจผิดมากมายเกี่ยวกับโรคจิตเวช
โรคไบโพลาร์เป็นมากกว่าแค่ความรู้สึก “ดีใจ เสียใจ ดีใจ เสียใจ” ในทุกๆ วัน ฉันมีประสบการณ์ “เป็นช่วงๆ” หนึ่งถึงสี่ครั้งต่อปี โดยแต่ละช่วงกินเวลาไม่กี่สัปดาห์จนถึงไม่กี่เดือน ส่วนใหญ่อาการของฉันคือ ซึมเศร้า โรคของฉันจึงคล้ายๆ โรคซึมเศร้า แต่ฉันก็เคยมีภาวะแมเนีย ซึ่งเป็นเวลาที่ฉันอารมณ์ดีผิดปกติ ฉันมักจะรู้สึกตื่นตัว กังวล และตื่นตระหนก ฉันต่อสู้กับการคิดฆ่าตัวตายในตอนที่มีอารมณ์ดีผิดปกติมากพอๆ กับตอนที่มีอาการซึมเศร้า
บางช่วงเวลา มันเป็นเรื่องยากมากที่จะใช้ชีวิตในแต่ละวัน ดังนั้นการไปทำงานแบบคนปกติหรือการรักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ จึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย เช่น ฉันเคยต้องออกจากงานกระทันหันเพราะต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานขึ้น
บางครั้งฉันประสบอาการผสมคือ การที่ฉันมีทั้งภาวะแมเนียและซึมเศร้าในเวลาเดียวกัน นั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับโรคไบโพลาร์ของฉัน ฉันอาจจะไม่มีวัน “หาย” จากโรคนี้ แต่ฉันจัดการกับมันเท่าที่ฉันจะทำได้ด้วยการใช้ยาและรับคำปรึกษา
สิ่งที่ไม่ควรพูด
ปฏิกิริยาที่ฉันได้รับจากผู้หญิงสองคนเป็นเรื่องปกติ เพราะฉะนั้นมันจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนที่เป็นโรคทางจิตเวชจะรู้สึกไม่สบายใจในการอยู่ร่วมกับคนอื่น
น้ำตาลในเลือด? คุณไม่คิดว่าฉันจะเคยคิดเรื่องนี้แล้วหรอ? คุณไม่คิดว่านั่นจะเป็นสิ่งที่จิตแพทย์ของฉันเคยพูดถึงหรอ?
คำอธิษฐานง่ายๆ? คุณรู้ไหมว่ากี่ครั้งที่ฉันอธิษฐานขอให้พระเจ้าเลื่อนถ้วยนี้ออกไป? คุณรู้ไหมว่ากี่ครั้งที่ฉันคุกเข่าขอร้องให้พระเจ้านำภาวะซึมเศร้าออกไปจากฉัน?
แทนที่จะถามฉันเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์ของฉัน แทนที่จะเชิญให้ฉันแบ่งปันเรื่องราวที่ฉันได้เผชิญมามากขึ้น ผู้หญิงเหล่านี้พยายามที่จะใช้พลาสเตอร์แปะบนบางสิ่งที่พวกเขาไม่ได้เข้าใจ พวกเขาไม่รู้จักฉันเลย แต่กลับคิดว่าพวกเขารู้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว จริงๆ แล้วการที่คุณแบ่งปันเรื่องราวการป่วยโรคจิตเวชของคุณอย่างเปิดเผยกับคนที่คุณไม่รู้จัก สิ่งที่สุดท้ายที่คุณอยากได้คือ การที่เขาจะมาบอกวิธีแก้ไขให้กับคุณ
ที่แย่กว่านั้นคือการที่ได้ยินคนอื่นล้อเลียนความผิดปกติของคุณ หลายๆ ครั้งที่ฉันมักได้ยินคนพูดว่า “ทำไมเธอทำตัวแปลกจัง” “คุณเป็นไบโพลาร์หรอ?” หรือ “คุณดูอยู่ไม่เฉยนะ คุณเป็นไบโพลาร์สินะ”
ยังมีความน่าอายเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ทั้งในและนอกคริสตจักร ฉันรู้ว่าโรคไบโพลาร์ฟังดูน่ากลัวและคาดเดาไม่ได้กับอาการ ขึ้นๆ ลงๆ สิ่งนั้นหมายความอย่างไรกัน? โดยเฉพาะ ภาวะอารมณ์ดีผิดปกติ ฟังดูแปลกประหลาด ถูกพูดถึงน้อยไม่เหมือนโรคซึมเศร้าที่ได้ยินทั่วไป และคนส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามี “อาการผสม”
เมื่อฉันมีอาการซึมเศร้า ฉันได้รับการสนับสนุนจากคนรอบข้าง แต่เมื่อฉันอยู่ในภาวะแมเนีย กลับไม่ค่อยได้รับความสนใจ คนอื่นๆ ไม่ค่อยมีข้อมูลเกี่ยวกับภาวะแมเนียมากนัก จึงไม่ค่อยรู้ว่าต้องทำอะไรหรือสนับสนุนฉันอย่างไร
แต่การขาดความเข้าใจไม่ได้หมายความว่าพวกเราควรถูกทำให้อับอายหรือถูกล้อเลียน
หรือคำว่า “ไบโพลาร์” เป็นคำที่ถูกใช้โดยขาดความระมัดระวัง คนที่ฉันไม่เคยพบเจอจะสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของฉันได้
เมื่อใดก็ตามที่ฉันเจอเหตุการณ์เช่นนี้ มันทำให้ฉันอยากจะเข้าไปหลบในที่ที่ไม่มีใคร เอาคำว่า “ไบโพลาร์” ออกจากหัวข้อวิทยานิพนธ์และปิดประตูจากทุกสิ่ง มันทำให้ฉันกลัวที่จะมีบทความเกี่ยวกับหัวข้อ “ไบโพลาร์, ร่างกาย, ความเชื่อ” ที่มีชื่อและรูปภาพของฉันอยู่ บางทีฉันอาจจะไม่กล้าหาญพอสำหรับสิ่งเหล่านี้ บางทีฉันอาจจะไม่ได้ถูกเลือกให้พูดเกี่ยวกับความเชื่อและโรคจิตเวช
แต่ฉันไม่เชื่อว่านั่นคือคำตอบ
วิธีการที่เป็นประโยชน์ในการตอบสนอง
ในทางกลับกัน ฉันคิดว่าเราจำเป็นต้องกล้าที่จะเปิดเผยเกี่ยวกับการต่อสู้กับโรคจิตเวชและช่วยให้ความรู้แก่คนในโบสถ์เกี่ยวกับวิธีการตอบสนองที่ถูกต้อง และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ดี:
อย่าทำเหมือนว่าคุณเข้าใจบางสิ่งทั้งๆ ที่คุณไม่ได้เข้าใจ
อย่าตั้งสมมติฐาน
อ่านสัญญาณ ว่ามีจังหวะให้พูดคุยรึยัง?
ตอบสนองคนที่อ่อนแอด้วยความเข้าใจและการให้เกียรติ
1. เป็นที่ที่ปลอดภัย
มันเป็นสิ่งสำคัญของคนที่เป็นโรคไบโพลาร์ หรือเป็นโรคจิตเวชอื่นๆ จะมีที่ที่ปลอดภัย และหวังว่าที่ที่ปลอดภัยนั้นคือที่คริสตจักร ท้ายที่สุดกลุ่มผู้เชื่อควรเป็นที่ที่ผู้ป่วยโรคทางจิตเวชไม่ต้องอับอาย กลุ่มผู้เชื่อควรเป็นกลุ่มที่คนเป็นโรคไบโพลาร์ได้พูดคุยและแบ่งปัน ได้รับการสนับสนุนและการพูดถึงด้วยความใส่ใจ คริสเตียนได้รับการบอกครั้งแล้วครั้งเล่าในพระคัมภีร์ให้ช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือไม่ใช่หรอ?
ฉันเคยไปหลายๆ โบสถ์และไม่ได้รับการสนับสนุน โรคไบโพลาร์ถูกล้อเลียนในกลุ่มเซลล์เล็กๆ ที่ฉันเข้าร่วม เราตัดสินใจที่จะออกจากโบสถ์นั้นและมันใช้เวลาอย่างยาวนานกว่าที่ฉันจะหาโบสถ์อื่นที่ฉันพร้อมจะเข้าร่วม มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฉันเดินออกห่างจากพระเจ้า โกรธพระองค์เพราะโรคไบโพลาร์ ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้น ฉันกับสามีไม่ได้มีกลุ่มเพื่อนที่จะแบ่งปันถึงสถานการณ์ในชีวิตของเรา
ในที่สุดฉันก็เลิกโกรธพระเจ้า และได้ตอบรับการทรงเรียกจากพระองค์ให้ฉันกลับมาหาพระองค์ ฉันใช้เวลามากมายไปกับพระธรรมสดุดีเกี่ยวกับความโศกเศร้า เมื่อผู้แต่งสดุดีร้องทุกข์และทูลต่อพระเจ้า เพื่อที่จะหยุดความโกรธและความคับข้องใจกับความจริงที่ฉันสามารถพบได้ในศาสนาคริสต์ การกลับมามีความเชื่อไม่ได้ทำให้โรคของฉันง่ายขึ้น
แต่แทนที่ฉันจะซ่อนความโกรธของฉัน ฉันพยายามที่จะผ่านมันไปกับพระเจ้า
ฉันและสามีของฉันพยายามหาโบสถ์ที่เราสามารถเรียกว่าบ้าน และในที่สุดเราก็ได้พบ มันเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ฉันรู้สึกสบายใจมากพอที่จะเปิดเผยสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของฉัน ดังนั้นเมื่อฉันรู้สึกโกรธพระเจ้าท่ามกลางสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ฉันมีคนที่ฉันสามารถพูดคุยด้วยได้ ในที่สุดฉันก็ได้พบกลุ่มผู้เชื่อที่เดินไปกับฉันด้วยความเข้าใจ
2. ฝึกที่จะเห็นอกเห็นใจ
ดังนั้น เราควรจะตอบสนองกับคนที่กำลังต่อสู้กับอาการป่วยทางจิตอย่างไร? มันเป็นเรื่องง่ายที่จะบอกว่าอะไรบ้างที่ “ไม่ควรจะพูด” แต่ฉันมักจะถูกถามว่าแล้วคนอื่นควรจะพูดว่าอะไร มันเป็นคำถามที่ยากจะตอบ และฉันสามารถพูดได้แค่จากประสบการณ์ของฉัน แทนที่จะอ้างข้อพระคัมภีร์หรืออ้างวิธีการรักษาที่เจอจากกูเกิ้ล ลองฝึกที่จะเห็นอกเห็นใจ
“โอ้ มันต้องเป็นเรื่องที่ยากมากแน่ๆ”
“ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคุณกำลังเจอกับอะไร แต่ฉันอยู่ตรงนี้เพื่อคุณถ้าคุณต้องการที่จะระบาย”
“บอกมาว่าฉันสามารถทำอะไรเพื่อคุณได้บ้าง”
3. แค่อยู่ตรงนั้น
แต่ท้ายที่สุดแล้ว การกระทำมีค่ามากที่สุด บางคนเรียกมันว่า “การฝึกที่จะอยู่ตรงนั้น” ฉันรู้สึกว่าเวลาที่บางคนพูดกับฉันมันเป็นประโยชน์น้อยกว่าเวลาที่บางคนฟังฉัน ฉันคิดว่ามันเป็นประโยชน์มากเมื่อบางคนนั่งอยู่ข้างๆ ฉัน เมื่อฉันกำลังเผชิญเวลาที่ยากลำบาก พวกเขาไม่ต้องพูดอะไรเลย
สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือแค่อยู่ตรงนั้น อยู่เป็นเพื่อนฉัน แค่อยู่กับฉัน
สามีของฉันเก่งเรื่องการอยู่ตรงนั้นกับฉัน เขารู้ว่าเขาไม่ใช่จิตแพทย์หรือผู้ให้คำปรึกษา ดังนั้นเขาจะไม่ให้รายการสิ่งที่ต้องทำเพื่อที่จะแก้ไขสิ่งที่ฉันรู้สึก เขาจะไม่พูดอ้างข้อพระคัมภีร์ที่ฉันรู้อยู่แล้ว
สองสามเดือนที่ผ่านมา เมื่อฉันรู้สึกแย่มาก เขายอมให้ฉันร้องไห้บนไหล่ของเขาเป็นชั่วโมงและเป็นสองครั้งต่อสัปดาห์ หลังจากนั้นเราแค่นั่งด้วยกันเงียบๆ บนโซฟา เขาไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเลยแค่อยู่ตรงนั้นก็พอ
“ฝึกที่จะอยู่ตรงนั้น” คือสิ่งที่ควรเรียนรู้ คือการรู้จักพูดกับคนที่เจ็บปวดและรู้จักที่จะไม่พูดอะไรเลย
YOU MAY ALSO LIKE
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน
WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ สะสางงานต่างๆ ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...
ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?
WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...
เสียงที่ดังพอ
WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...