fbpx
WRITER: ซาร่า โซ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: สุมิตรา ชามรามดาบาน
EDITOR: ปวีณา นิลบุตร

“ถ้าใช่ก็จงบอกว่าใช่ ถ้าไม่ใช่ก็จงบอกว่าไม่ใช่” (ยากอบ 5:12)

ขณะที่ฉันเขียนข้อความนี้ ฉันเพิ่งจะพูดว่า “ไม่” ที่จะฟังความขัดข้องใจของแม่เรื่องคนสนิทในครอบครัว ฉันบอกเเม่ว่าจะดีกว่าถ้าพวกเขาพูด แทนที่จะใช้ฉันหรือรับคำแนะนำจากฉันที่อาจไม่เกี่ยวข้องเพราะฉันไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงและรายละเอียดต่างๆ

เมื่อพูดถึงคำว่า “ไม่” ก็ช่วยให้ทบทวนแนวคิดเรื่องขอบเขตอีกครั้ง

ในกรณีของฉัน ฉันรับไม่ได้กับสิ่งที่ควรแก้ไขระหว่างแม่และสมาชิกในครอบครัว การทำเช่นนั้นหมายความว่าฉันต้องรับผิดชอบหน้าที่ของเเม่ ซึ่งจะเกินขอบเขตของฉัน ถ้าฉันทำอย่างนั้น พวกเขาอาจจะชินกับการหลีกเลี่ยงการคุยสิ่งสำคัญและไม่สามารถแก้ไขข้อขัดแย้งในอนาคตได้

ถึงอย่างนั้นก็ยังยากที่จะพูดว่า “ไม่” ประการเเรก ฉันกำลังพูดว่า “ไม่” กับคนที่อายุมากกว่าและมีอำนาจหน้าที่ในชีวิตของฉัน ซึ่งที่จริงแล้ว มีพวกเราสักกี่คนที่พูด “ปฏิเสธ” กับแม่ของเราได้ง่ายๆ

เราพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะพูดว่า “ไม่” ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น: 

  • เราไม่ต้องการให้คนอื่นคิดไม่ดีกับเรา
  • เราไม่ต้องการสร้างความขัดแย้งหรือทำร้ายใคร
  • เราไม่รู้ขีดจำกัดของตัวเอง

แต่ถ้าเราไม่เรียนรู้ที่จะพูด “ปฏิเสธ” และกำหนดขอบเขต เราอาจจบลงด้วยการทำร้ายตนเองและผู้อื่นที่อาจเกี่ยวข้องได้ง่ายดาย

มีอะไรที่คุณอาจต้องปฏิเสธในวันนี้บ้าง บางทีอาจเป็นการปฏิเสธคำเชิญให้ไปรับใช้ในงานอื่น หรือยุติความสัมพันธ์ที่ไปไหนไม่ได้ บางทีอาจเป็นการปฏิเสธคำขอที่ไม่ดีต่อสุขภาพหรือไม่มีเหตุผลจากคนที่แก่กว่าและมีอำนาจเหนือคุณ

จำสถานการณ์ที่ยุ่งยากเหล่านี้ไว้และเหตุผลที่ทำให้เราลังเลใจ 

ต่อไปนี้คือสิ่งที่เราสามารถพิจารณาเพื่อช่วยเราให้พูดคำว่า “ไม่” ได้ง่ายขึ้น:

1. รู้ข้อจำกัดและจัดลำดับความสำคัญ

ขณะที่พระองค์อยู่บนแผ่นดินโลก พระเยซูไม่ได้รักษาผู้ป่วยทุกคนหรือสั่งสอนทุกคนเป็นการส่วนตัว พระองค์ทรงทำงานกับขีดจำกัดของมนุษย์เพื่อมุ่งความสนใจไปที่พันธกิจของพระองค์เพื่อช่วยเราให้รอดโดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเพื่อเรียกสาวกที่จะนำพระวจนะของพระองค์ไปจนสุดปลายแผ่นดินโลก

ถ้าแม้แต่พระเยซูทรงทำงานอย่างจำกัด เราก็ไม่ควรคิดว่าเราจะเอาชนะพระองค์ได้

เรามีเวลา ทรัพยากร และพลังงานที่จะมอบให้กับงานของเราและผู้คนรอบข้าง และด้วยฤดูกาลต่างๆ ในชีวิต การทำเช่นนี้อาจต้องจัดลำดับความสำคัญของเราใหม่และจัดเวลาของเราใหม่

ไม่ใช่ทุกสิ่งที่ดีจะมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องตระหนักว่าสิ่งใดควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก และจัดสรรเวลาและพลังงานให้มากขึ้นเพื่อดูแลสิ่งเหล่านี้ได้ สิ่งนี้ช่วยให้เราพูดว่า “ไม่” โดยไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่อาจดีแต่ไม่สำคัญเท่า

2. ชัดเจนและให้เกียรติ

ในฐานะผู้ติดตามพระเยซู สิ่งเราต้องมี “คือจงถ่อมใจและมีความสุภาพอ่อนโยนอยู่เสมอ จงอดทน จงอดกลั้นต่อกันเเละกันด้วยความรัก จงพยายามรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่มาจากพระวิญญาณนั้น โดยมีสันติภาพเป็นเครื่องผูกพัน” (เอเฟซัส 4:2-3) เรายังได้รับการสอนว่า “ขอให้ความรักมาจากใจจริง จงเกลียดชังสิ่งที่ชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี จงรักกันฉันพี่น้อง จงขวนขวายในการให้เกียรติกันเเละกัน” (โรม 12:9-10)

นี้คือวิธีที่เราสามารถแสดงความเคารพในขณะที่พูด “ปฏิเสธ” ได้

• เลือกเวลาและการเริ่มต้นที่เหมาะสม (เช่น โทรหาหรือส่งข้อความถึงพวกเขาเป็นการส่วนตัวหากเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน)

• ขอบคุณสำหรับเบื้องหลังความตั้งใจ (เช่น “ฉันซาบซึ้งในความคิด/ความตั้งใจของคุณสำหรับสิ่งนี้ แต่ฉันเกรงว่าจะไม่สามารถดำเนินการ/ช่วยเหลือคุณได้”) การทำเช่นนี้สามารถช่วย ชี้แจงว่าคุณกำลังปฏิเสธคำขอ ไม่ใช่ปฏิเสธที่ตัวบุคคล

 • ให้โอกาสพวกเขาตอบสนองต่อสิ่งที่คุณพูด และรับรู้คำตอบของพวกเขาเพื่อให้พวกเขารู้สึกว่าได้ยินในสิ่งที่พูดชัดเจน

บางครั้ง อีกฝ่ายจะพยายามโน้มน้าวให้คุณคิดใหม่อีกครั้ง แต่ถ้าคุณชัดเจนแล้วว่าการพูด “ปฏิเสธ” เป็นสิ่งที่ควรทำ ให้เตือนเขาอย่างสุภาพ หนักแน่นถึงเหตุผลและความตั้งใจของคุณที่จะทำเช่นนั้น

พูดให้ชัดเจน (เช่น พูดว่า คุณไม่แน่ใจว่าจริง ๆ แล้วเมื่อไหร่) หรือถ้าแย่กว่านั้นคือ “ละเลยเขาเหมือนไม่มีตัวตน ซึ่งอาจเป็นวิธีที่ง่าย แต่ก็ไม่ชัดเจนและไม่ให้เกียรติ

การให้คำตอบ “ปลายเปิด” (เช่น “ฉันจะติดต่อกลับหาคุณเมื่อฉันว่าง”) โดยที่คุณไม่ได้ตั้งใจจะทำตามนั้นถือเป็นการไม่สัตย์ซื่อ และสามารถให้ความหวังลมๆ แล้งๆ แก่อีกฝ่ายได้ ซึ่งไม่ถือเป็นการให้เกียรติ และรักในสิ่งที่ทำ

 

3. อย่ายอมให้กับความกลัว

มีเหตุผลอันละเอียดอ่อนมากมายที่ทำให้เรากลัวที่จะพูดว่า “ไม่” ซึ่งอาจจะง่ายพอๆ กับความกลัวว่าจะพลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจุดที่ ที่ทุกคนพูดว่า “ใช่”

หรืออาจเป็นเรื่องยากพอๆ กับการต้องปฏิเสธคนที่มีอำนาจในชีวิตของเรา (เช่น พ่อแม่ เจ้านาย) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดว่า “ปฏิเสธ” อาจดูไม่สุภาพและอาจส่งผลให้พวกเขาไม่พอใจเรา

โปรดจำไว้ว่าเราทุกคนต่างมีลำดับความสำคัญและความสามารถต่างกัน ก่อนตอบกลับ เราสามารถใช้เวลาคิดเกี่ยวกับวิธี บทบาท ความรับผิดชอบ และเวลาของเราด้วยความเคารพ เราสามารถฝึกพูดว่า “ไม่” ด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนแต่เป็นการขอโทษ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเรายังคงเคารพพวกเขาแม้ว่าเราจะไม่สามารถตอบสนองต่อคำขอของพวกเขาได้

การพูด “ตอบรับ” อาจเป็นการทำให้พึงพอใจเพียงเพราะเรากลัวที่จะทำให้ใครบางคนผิดหวัง หรือมองว่าเป็นการหยาบคายหรือใจร้าย แต่เมื่อเราตอบตกลงโดยไม่เต็มใจ แสดงว่าเรากำลังไม่สัตย์ซื่อต่อตนเองและผู้อื่น

ฉันจำได้ว่าต้องปฏิเสธคำเชิญไปออกเดทกับผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อฉันรู้ว่าการออกเดทของเราจะไม่ได้นำเราทั้งคู่ไปสู่การแต่งงาน การทำเช่นนี้ฉันต้องทำให้ชัดเจนว่าฉันต้องการอะไรจากคู่ครอง และอธิบายว่าเหตุผลที่ดีกว่าที่เราไม่เจอกันอีก เพื่อไม่ให้เสียเวลาของกันและกัน

การมีความชัดเจนในสิ่งที่เราต้องการและสิ่งที่สำคัญสามารถช่วยเรายืนยันขอบเขตและเรียนรู้ที่จะพูด “ปฏิเสธ” ได้อย่างดี

ในขณะเดียวกัน เราต้องยอมรับด้วยว่าการปฏิเสธอาจทำให้อีกฝ่ายถอยห่างจากเราได้

แต่ถ้าเราพูดว่า “ไม่” ด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง เราก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด ในทางกลับกันเราสามารถเรียนรู้ที่จะมีน้ำใจในการให้พื้นที่และเวลากับอีกฝ่ายเพื่อรับมือกับการปฏิเสธของเรา

4. หาคำปรึกษาเมื่อไม่แน่ใจ

หากคุณไม่แน่ใจว่าต้องทำอย่างไรหรือกังวลว่าคำตอบของคุณอาจทำร้ายใครซักคน การดำเนินการตามสถานการณ์และการตอบสนองจากเพื่อนหรือพี่เลี้ยงที่คุณไว้ใจก็อาจช่วยได้ วิธีนี้จะช่วยให้แน่ใจว่าคุณได้ประเมินสถานการณ์ของคุณอย่างเหมาะสมและเข้าใจว่าการปฏิเสธนั้นอาจฟังดูเหมือนกับผู้ฟังที่คุณตั้งใจไว้อย่างไร

ฉันจำได้ว่าฉันไปกับเพื่อนของฉัน เพื่อช่วย “ประเมิน” ผู้ชายที่เธอรู้จักในการออกเดท หลังจากวันที่ออกเดทเรายืนยันความรู้สึกที่คล้ายกันว่าผู้ชายคนนี้ไม่เหมาะสมกับเธอ จากนั้นเธอก็ลองพูดปฏิเสธผู้ชายคนนั้นกับฉัน เพื่อช่วยให้แน่ใจว่าคำพูดต่างๆ นั้นใช้ถ้อยคำสุภาพและชัดเจน ก่อนที่เธอจะพบกับผู้ชายคนนั้นอีกครั้งเพื่อยุติเรื่องต่างๆ อย่างเป็นทางการ

เมื่อเราถูกเรียกให้แบกภาระของกันและกัน (กาลาเทีย 6:2) จงช่วยรับภาระของกันและกัน และด้วยการกระทำเช่นนี้ท่านทั้งหลายก็ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระคริสต์

เราสามารถเตือนกันและกันให้นำทุกสิ่งไปหาพระเจ้าด้วยคำอธิษฐาน โดยรู้ว่าพระองค์ทรงฟังเราและจะตอบด้วยวิธีที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย สิ่งนี้ทำให้เราเป็นอิสระจากการพึ่งพาตนเองแล้วสันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจจะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านทั้งหลายไว้ในพระเยซูคริสต์ (ฟีลิปปี 4:6-7)

อาจเป็นเรื่องยากที่จะพูด “ปฏิเสธ” แต่ขอให้กำลังใจว่าสิ่งนี้สามารถทำได้ด้วยความรักและปัญญา ที่จะรักษาความสัมพันธ์ที่สำคัญสำหรับเราและปลดปล่อยเราจากเหตุการณ์และความคาดหวังที่ไม่มีประโยชน์ ขอให้เราพยายามสัตย์ซื่อ ใส่ใจต่อการตอบสนองของเราต่อทุกคนอย่างเสมอ และสะท้อนความรักของพระเจ้า

YOU MAY ALSO LIKE

8 วิธีในการเสริมสร้างมิตรภาพกับพระเจ้า

8 วิธีในการเสริมสร้างมิตรภาพกับพระเจ้า

WRITER: ราฟาเอล แซง ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI TRANSLATOR : เฮจี คิม EDITOR: อาเกียว ฉันรักที่จะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าในฐานะบิดา และสรรเสริญพระองค์ในฐานะกษัตริย์ ฉันอยากที่จะทำตามพระเยซู ผู้เป็นพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด...

สิ่งที่ฉันเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระคุณ

สิ่งที่ฉันเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระคุณ

WRITER: เนล ลิม ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI TRANSLATOR: ปาลีญา ธนาวัฒนเจริญ EDITOR: Mustard Seed Team ตอนที่ฉันอายุยี่สิบต้นๆ ฉันได้นั่งคุยกับพี่เลี้ยงของฉันและขอร้องให้เธอช่วยอธิบายการทำงานของพระคุณพระเจ้าให้ฉันเข้าใจ ในช่วงนั้นชีวิตมันไม่ได้ง่ายเลย...

7 วิธีง่ายๆ เพื่อค้นพบสันติสุขในจิตใจ

7 วิธีง่ายๆ เพื่อค้นพบสันติสุขในจิตใจ

WRITER: YMI TRANSLATOR: Gift Natthanan EDITOR: Mustard Seed Team แค่การไถหน้าจอมือถือ 4-5 ครั้งก็เพียงพอที่จะนำเราให้เกิดคำถามที่สิ้นหวังแบบเดิมๆ ว่า สันติสุขอยู่ที่ไหน? การไม่เกิดผล ความขัดแย้ง คำวิพากษ์วิจารณ์ ความแตกแยก ความวุ่นวาย มีแต่เสียงรบกวนเต็มไปหมด...

Share This