fbpx

เมื่อความตายมาถึงอย่างไม่คาดคิด

วันที่ 4 | พระธรรมประจำวัน

12 ข้าพเจ้าจึงหันมาพิเคราะห์สติปัญญา ความบ้าบอ และความเขลา เพราะคนที่มาภายหลังกษัตริย์จะทำอะไรได้? นอกจากทำสิ่งที่เขาทำกันมานานแล้วนั้น 
13 ข้าพเจ้าเห็นว่าสติปัญญามีประโยชน์กว่าความเขลา เหมือนความสว่างมีประโยชน์กว่าความมืด 
14 คนมีสติปัญญารู้ว่าจะเดินไปทางไหนรู้ว่าจะเดินไปทางไหน ภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า มีตาอยู่ในหัว แต่คนเขลาเดินในความมืด ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ตระหนักว่า เคราะห์อย่างเดียวกันเกิดขึ้นแก่พวกเขาทุกคน 
15 ข้าพเจ้าจึงรำพึงว่า “เคราะห์ที่เกิดแก่คนเขลา ก็จะเกิดกับตัวข้าพเจ้าด้วย ถ้าเช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าจะมีสติปัญญามากมายไปทำไมเล่า?” ข้าพเจ้าจึงรำพึงว่าเรื่องนี้ก็อนิจจังเหมือนกัน 
16 เพราะไม่มีใครจดจำถึงคนมีสติปัญญาและคนเขลาตลอดไป เพราะเมื่อถึงเวลาในอนาคตก็ลืมกันไปหมดแล้ว โถ คนมีสติปัญญาก็ตายเหมือนคนเขลา 
17 ข้าพเจ้าจึงเกลียดชีวิต เพราะว่าการงานที่ทำกันภายใต้ดวงอาทิตย์ก่อความสลดใจให้แก่ข้าพเจ้า เพราะสารพัดก็อนิจจังคือ กินลมกินแล้ง

ฉันแทบไม่เคยร้องไห้ให้กับคนที่ฉันไม่รู้จัก แต่หนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เกิดขึ้นคือเมื่อสองปีที่แล้ว เขาอายุมากกว่าฉันสี่ปี และเพิ่งจะเสียชีวิตไปหลังจากต่อสู้กับมะเร็งกระเพาะอาหารมาปีนึง

ฉันได้ยินชื่อ นาบีล กูเรชี ชายชาวอเมริกันเชื้อสายปากีสถานเป็นครั้งแรกผ่านเพื่อนที่แนะนำหนังสือของเขาให้ฉันอ่าน เขาเป็นมุสลิมที่ได้กลับใจมาเป็นคริสเตียนสองปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เมื่อฉันเริ่มอ่านหนังสือและดูคลิปวิดีโอของเขา ฉันได้รับแรงบันดาลใจอย่างมากจากการยึดมั่นในพระกิตติคุณอย่างแน่วแน่ของเขาไม่ว่าจะต้องสูญเสียอะไรไป ฉันยังได้รับการหนุนใจอย่างมากด้วยที่พระเจ้าทรงยกชูชายผู้ฉลาดหลักแหลม พูดเก่งมีหลักการคนนี้ ในการเข้าหาคนมากมายเพื่อพระองค์ โดยเฉพาะชาวมุสลิม

เมื่อได้ยินข่าวว่าเขาไม่หายจากโรค แต่ได้เสียชีวิตลงขณะที่มีอายุ 30 ต้นๆ ทำให้ฉันเกิดคำถามมากมายในหัว ทำไมต้องเป็นตอนนี้ เขาอายุยังน้อยและเพิ่งเริ่มจะสร้างครอบครัว? ทำไมต้องเป็นตอนนี้ที่พันธกิจของเขากำลังถึงจุดที่ประสบความสำเร็จสูงสุด? แล้วทำไมต้องเป็นเขาด้วย ทั้งๆ ที่เขาเป็นแบบอย่างอันยอดเยี่ยมให้กับคนรุ่นเรา ในเรื่องการทุ่มเทชีวิตเพื่อข่าวประเสริฐอย่างร้อนรนและสัตย์ซื่อ?

บางทีผู้เขียนอาจขบคิดถึงคำถามคล้ายๆ กันนี้ เมื่อเขาได้เห็นว่า คนมีปัญญากับคนเขลานั้นก็ประสบเคราะห์อย่างเดียวกัน (ข้อ 14) และที่ยิ่งแสบสันไปกว่านั้นอีกคือ การที่เขาได้เห็นว่าทุกสิ่งและทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนมีปัญญาหรือคนเขลานั้นจะถูกลืมไปในที่สุด (ข้อ 16) ความจริงอันโหดร้ายเหล่านี้ทำให้ผู้เขียนสรุปว่าเขา “เกลียดชีวิต” (ข้อ 17)

พวกเราส่วนใหญ่น่าจะเคยสัมผัสความผิดหวังในเรื่องนี้มาในชีวิตบ้าง บางทีเราอาจพยายามใช้ชีวิตให้อยู่ในความชอบธรรม แต่กลับพบว่าต้องต่อสู้กับโรคร้าย หรือกำลังพยายามทำใจกับการจากไปอย่างกระทันหันของผู้เชื่อที่ยิ่งใหญ่ หรือบางทีเราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนบางคนที่ใช้ชีวิตอย่างเหลวแหลกไร้แก่นสาร กลับมีชีวิตปกติสุขโดยไม่เจอเหตุร้ายใดๆ เลย

ในสถานการณ์เหล่านี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะสงสัยว่า การแสวงหาปัญญาหรือความดีนั้นมีประโยชน์อะไร เพราะท้ายที่สุดแล้ว เราทุกคนก็จะจากไปและถูกลืมอยู่ดี

ในขณะเดียวกัน ผู้เขียนก็ได้ยอมรับว่า การมีสติปัญญานั้นมีประโยชน์ โดยพูดถึงว่า การมีสติปัญญานั้นดีกว่าการเป็นคนเขลา เช่นเดียวกับที่ความสว่างดีกว่าความมืด (ข้อ 13) เพราะในความสว่างนั้น เราสามารถมองเห็นหนทางที่เราจะไป และสามารถหลีกเลี่ยงอันตรายและหลุมพรางต่างๆ ได้ แต่ในความมืด เราได้แต่สะดุดตรงนั้นตรงนี้โดยไม่ทันระวัง (สุภาษิต 4:18-19)

ให้นึกถึงเวลาที่เราได้หยุดคิดและนำสติปัญญาที่ได้จากพระคัมภีร์มาใช้ เปรียบเทียบกับเวลาที่เราจัดการทรัพยากรต่างๆ และบรรดาความสัมพันธ์ของเราอย่างไม่ระมัดระวัง เราทุกคนคงจะเห็นตรงกันว่า มีความเป็นไปได้ที่การดำเนินชีวิตแบบแรกจะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงผลกระทบอันเลวร้าย และช่วยรับประกันในเรื่องความมั่นคงและปลอดภัยของเรา (สุภาษิต 3:23-25)

แล้วเราจะนำข้อดีของการดำเนินชีวิตอย่างมีปัญญามาประกอบกับบทสรุปอันน่าหดหู่ที่ผู้เขียนค้นพบได้อย่างไร? ซึ่งบทสรุปเหล่านั้นก็คือ เราจะทำไปทำไม? เพราะในที่สุดเราทุกคนก็ตายอยู่ดี (ข้อ 14) ตามที่พระคัมภีร์ส่วนที่เหลือบอกว่าเราควรใส่ใจเพราะความจริงอันเรียบง่ายนี้คือ ชีวิตไม่ได้จบลงแค่เพียงในโลกนี้

นั่นน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้นาบีลเดินหน้าต่อไป แม้จะต้องพบ “ชะตากรรม” แบบนี้ แม้ในความเจ็บปวดที่เขารู้สึกและความโศกเศร้าที่เขาได้แสดงออกมาในเรื่องที่ต้องทิ้งคนที่เขารักไว้เบื้องหลัง แต่ความเชื่ออันเข้มแข็งของเขา ทำให้เขาจดจ่ออยู่กับการประกาศพระนามพระเยซู ผ่านทางวิดีโอบล็อกและช่องยูทูบอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของเขา เพราะเขารู้ว่าบำเหน็จนิรันดร์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นมากกำลังรอเขาอยู่

– โดย โจแอนนา ฮอร์ ประเทศสิงคโปร์

คำถามเพื่อการใคร่ครวญ

1. นึกถึงเวลาที่คุณได้ทำบางสิ่งอย่างดีที่สุด แต่สุดท้ายความพยายามของคุณดูเหมือนไม่มีความหมายใดๆ จากประสบการณ์ของคุณ อะไรเป็นข้อดีของการทำสิ่งต่างๆ ด้วยสติปัญญา ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้รับผลลัพธ์ตามต้องการ?

2. เมื่อคุณรู้สึกสิ้นหวัง หรือรู้สึกว่าการกระทำอย่างดีที่สุดก็ยังไม่เป็นผล ความจริงข้อไหนในพระคัมภีร์ที่ย้ำเตือนคุณถึงความหวังที่เราจำเป็นต้องมีในการดำเนินชีวิต? มีวิธีใดที่คุณจะสามารถนำพระคำข้อนั้นมาใช้ประโยชน์ได้ง่ายขึ้น?

ตอบสนองด้วยบทเพลง

เกี่ยวกับผู้เขียน

โจแอนนาโปรดปรานมันฝรั่ง ของลดราคา และเรื่องราวที่ทำให้เกิดความหวังและความสุข อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรทำให้เธอตื่นเต้นได้มากไปกว่า การได้ยินเรื่องฤทธิ์เดชของพระวจนะของพระเจ้าที่เปลี่ยนแปลงชีวิต

ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI

MUSTARD SEED

Scripture quotations taken from The Holy Bible, Thai Standard Version 2011 ®

Privacy Policy

MUSTARD SEED is a part of
Our Daily Bread Ministries.

ABOUT US

We are a platform for Christian young people to ask questions about life and discover their true purpose. We are a community with different talents but the same desire to make sense of God’s life-changing word in our everyday lives.

® 2019 MUSTARD SEED . ALL RIGHTS RESERVED.

CONNECT WITH US

          

OUR OTHER LANGUAGES SITES
YMI (English)
WarungSaTeKaMu (Bahasa Indonesia)
雅⽶米 (Simplified Chinese)

Share This