fbpx

จะทำไปเพื่ออะไร?

วันที่ 1 | พระธรรมประจำวัน

การใคร่ครวญของปัญญาจารย์
ถ้อยคำของปัญญาจารย์ ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด กษัตริย์ในเยรูซาเล็ม
ปัญญาจารย์กล่าวว่า อนิจจัง อนิจจัง อนิจจัง อนิจจัง สารพัดอนิจจัง
มนุษย์ได้ประโยชน์อะไรจากการตรากตรำทุกอย่างของเขา ซึ่งเขาตรากตรำภายใต้ดวงอาทิตย์นั้น
คนรุ่นหนึ่งจากไป และคนอีกรุ่นหนึ่งก็มา แต่แผ่นดินโลกยังคงเดิมอยู่เป็นนิตย์
ดวงอาทิตย์ขึ้น และดวงอาทิตย์ตก แล้วกระหืดกระหอบไปถึงที่ซึ่งขึ้นมานั้นอีก
ลมพัดไปทางใต้แล้วเวียนกลับไปทางเหนือ ลมพัดเวียนไปเวียนมาแล้วลมพัดกลับตามทางเวียนของมัน
แม่น้ำทุกสายไหลไปสู่ทะเลแต่ทะเลก็ไม่เต็ม แม่น้ำไหลไปสู่ที่ใดก็ไหลไปสู่ที่นั่นอีก
สารพัดก็เหนื่อยอ่อนไปกันหมดแต่ละคนก็พูดไม่ออก นัยน์ตาดูก็ไม่อิ่มหรือหูฟังเท่าไรไม่เคยพอใจกับสิ่งที่ได้ยิน
สิ่งใดที่มีอยู่แล้ว ก็จะมีขึ้นอีก สิ่งที่ทำกันแล้ว คือสิ่งที่จะต้องทำกันอีก ไม่มีสิ่งใดใหม่ภายใต้ดวงอาทิตย์
10 มีสักสิ่งหนึ่งหรือที่ใครจะพูดได้ว่า “ดูซี สิ่งนี้ใหม่”? แต่สิ่งนั้นมีอยู่แล้ว ในสมัยก่อนเราทั้งหลาย
11 ไม่มีการจดจำถึงคนสมัยก่อน และไม่มีการจดจำถึงคนสมัยหลังที่จะเกิดมา โดยคนรุ่นต่อมา

เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ขณะที่ผมขับรถมากับเพื่อนบนทางด่วนเอ็ม 1 หลังเลิกเรียนจากชั้นศาสนศาสตร์ ซึ่งเรากำลังยิงมุกใส่กันและคุยถึงสิ่งที่เราเพิ่งได้เรียนรู้มา แต่ในหัวผมก็คอยนึกถึงแต่เรื่องการตีสควอชที่ได้เล่นเมื่อช่วงค่ำ

ทันใดนั้นเอง ความคิดเราก็กระเจิง เมื่อรถบรรทุกที่อยู่ตรงหน้าเราส่ายไปชนรถยนต์คันหนึ่ง และอัดรถคันนั้นจนไปติดกับที่กั้นข้างทาง เราชะลอความเร็วเพื่อหยุดรถ แล้วรีบวิ่งไปเพื่อช่วยรถที่ถูกชนคันนั้น

ท้ายที่สุดแล้วผู้โดยสารไม่เป็นอะไร เพราะรถถูกออกแบบมาอย่างดีเยี่ยม แต่เรารู้สึกช็อกไปเลย ไม่ใช่เพราะเจอเหตุการณ์รถชนกัน แต่เป็นเพราะเราได้เฉียดความตายมาก เราเห็นแล้วว่าทุกสิ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เร็วมากในชั่วพริบตา

ประโยคแรกของผู้เขียนปัญญาจารย์ ทำให้ผมหวนนึกถึงเหตุการณ์รถชนในวันนั้น มันเป็นสิ่งย้ำเตือนสำหรับคนที่พึงพอใจในความสุขสบายของชีวิตให้ระลึกว่า ชีวิตเป็นสิ่งเปราะบางและไม่ยั่งยืน

ความคิดนี้ทำให้นึกถึงคำว่า “เฮเบล” ในภาษาฮีบรู ซึ่งพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษฉบับเอ็นไอวีแปลว่า “อนิจจัง” และในฉบับอีเอสวีแปลว่า “เปล่าประโยชน์” คำนี้ช่วยให้เราเห็นว่า ชีวิตเป็นเหมือนหมอก งดงามแต่เปราะบาง อยู่เพียงชั่วครู่และไม่มีแก่นสาร ข้อความนี้เป็นสิ่งที่อยู่ในพระธรรมปัญญาจารย์ตลอดทั้งเล่ม ดังที่บรรทัดแรกเขียนไว้ว่า

“ปัญญาจารย์กล่าวไว้ว่า อนิจจัง อนิจจัง
อนิจจัง อนิจจัง
สารพัดอนิจจัง”
(ปัญญาจารย์ 1:2)

ผู้เขียนเขียนในฐานะอาจารย์ฝ่ายวิญญาณ เป็นผู้ที่มีโอกาสได้สัมผัสความสุขทุกอย่างที่ชีวิตนี้สามารถมีได้ และยังมีสติปัญญามากพอที่จะเข้าใจประสบการณ์เหล่านั้นด้วย

การสืบเสาะหาความจริงนำพาให้เขาถามว่า

“มนุษย์ได้ประโยชน์อะไรจากการตรากตรำทุกอย่างของเขา
ซึ่งเขาตรากตรำภายใต้ดวงอาทิตย์นั้น”
(ปัญญาจารย์ 1:3)

นี่เป็นคำถามที่ตรงประเด็นสำหรับศตวรรษที่ 21 ที่พวกเราหลายคนตรากตรำทำงาน และเสียสละทุกสิ่งเพื่อบูชาอาชีพการงานและความมีชื่อเสียง คำว่า “ตรากตรำ” ไม่ได้หมายถึงแค่การทำงานเพื่อให้ได้เงินมาเท่านั้น การสร้างครอบครัว การพัฒนาทักษะ และการเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ ล้วนแล้วแต่ต้องทำงานหนักตรากตรำเพื่อให้ได้มันมาทั้งนั้น

แต่ผู้เขียนเห็นว่าชีวิตของเราเป็นสิ่งไม่แน่นอน โลกนี้มองไม่เห็นเรา (ข้อ 4-7) ประสาทสัมผัสไม่สามารถทำให้เราพอใจได้ (ข้อ 8) ไม่มีอะไรใหม่ที่ทำให้เราแปลกใจได้ (ข้อ 9-10) และผู้คนรุ่นต่อมาก็จะไม่จดจำเรา (ข้อ 11) ไม่ว่าจะตรากตรำขนาดไหนก็เปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ไม่ได้

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลย ทำไมมันถึงมาอยู่ในพระคัมภีร์ล่ะ

ในฐานะวรรณกรรมด้านสติปัญญา พระธรรมปัญญาจารย์ช่วยให้เราถ่อมตัวลงเชื่อฟังและยำเกรงพระเจ้า โดยการแสดงให้เราเห็นว่าพระเจ้าไม่มีความจำกัด แต่ตัวเรามีความจำกัด

การรู้ว่าสิ่งต่างๆ ที่เราแสวงหาในชีวิตนี้ เช่น ชื่อเสียง ความสุข ความมั่งคั่งไม่คงอยู่ตลอดไป การรู้ว่าชีวิตเราสามารถจบลงได้ในเสี้ยววินาที อย่างเช่นเหตุการณ์รถชนที่เกิดขึ้น เป็นการท้าทายให้ผมไม่จริงจังกับชีวิตจนเกินไป แต่จริงจังอย่างมากกับการพิพากษาของพระเจ้า ทำให้ผมไม่ฉวยสิ่งต่างๆ ในชีวิตอย่างเห็นแก่ตัว แต่เห็นคุณค่าสิ่งเหล่านั้นในฐานะที่เป็นของขวัญที่ได้รับมา ตรงนี้ยังทำให้ผมเห็นถึงความเขลาของการวางแผนรายละเอียดทุกอย่างของชีวิตมากเกินไป และรู้ว่าชีวิตจะต้องเจอเรื่องน่าตกใจบ้างในบางครั้ง

แต่โดยหลักแล้ว พระธรรมปัญญาจารย์จะช่วยให้เราปรารถนาสิ่งสำคัญที่พระเยซูประทานให้กับเรา โดยการทำให้เราได้เห็นว่าชีวิตของพวกเรานั้นอนิจจัง

แม้ว่าชีวิตเราเป็นเหมือนหมอก แต่พระคำของพระเจ้าก็มีถ้อยคำที่หนุนใจสำหรับเราด้วย เราได้เห็นพระเจ้าผู้ซึ่งดูเหมือนสร้างสิ่งต่างๆ โดยไม่สนใจ ผู้ทรงทำให้เรามีศักดิ์ศรี ทรงรักเรามากพอที่จะสิ้นพระชนม์แล้วทรงกลับเป็นขึ้นมาเพื่อเรา เพื่อรับประกันว่าเรามีอนาคตนิรันดร์อยู่กับพระองค์ เมื่อเราวางใจฝากชีวิตที่ไม่ยั่งยืนนี้ไว้กับพระองค์ พระองค์ได้ประทานอนาคตและเป้าหมายที่ไม่มีวันเสื่อมสูญให้แก่เรา (มาระโก 8:35)

– โดย เจมส์ บันยัน ประเทศอังกฤษ

คำถามเพื่อการใคร่ครวญ

1. ทำไมเราจึงมักลืมว่าชีวิตเป็นเหมือนหมอก? เรามักที่จะจดจำความจริงข้อนี้ได้ตอนไหน?

2. ปกติแล้ว คุณเห็นว่าความจริงเหล่านี้ทำให้คุณรู้สึกหดหู่ หรือว่าทำให้คุณรู้สึกเป็นอิสระ? ทำไมถึง
เป็นเช่นนั้น?

ตอบสนองด้วยบทเพลง

เกี่ยวกับผู้เขียน

เจมส์ทำงานและอาศัยอยู่ที่ลอนดอน เขาช่วยให้นักศึกษามหาวิทยาลัยได้พบกับพระเยซูผ่านพระคัมภีร์ งานนี้ไม่ใช่งานยากเพราะพระคัมภีร์นั้นยอดเยี่ยม
ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI

MUSTARD SEED

Scripture quotations taken from The Holy Bible, Thai Standard Version 2011 ®

Privacy Policy

MUSTARD SEED is a part of
Our Daily Bread Ministries.

ABOUT US

We are a platform for Christian young people to ask questions about life and discover their true purpose. We are a community with different talents but the same desire to make sense of God’s life-changing word in our everyday lives.

® 2019 MUSTARD SEED . ALL RIGHTS RESERVED.

CONNECT WITH US

          

OUR OTHER LANGUAGES SITES
YMI (English)
WarungSaTeKaMu (Bahasa Indonesia)
雅⽶米 (Simplified Chinese)

Share This