fbpx
WRITER: ฟิลิป โรอา ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: กาญจนา​ กาญจนพาที
EDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์

ในโลกยุคดิจิทัลปัจจุบัน ได้เปลี่ยนพวกเราให้อยู่รอดเพื่อทำงานแทนที่จะทำงานเพื่ออยู่รอด บทความจากสมาคมจิตเวชแห่งสหรัฐอเมริกาปี 2022 ได้เปิดเผยข้อมูลของอาการภาวะหมดไฟ และภาวะเครียดระดับสูงของผู้คนที่ทำงานในกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งหมดโดยศึกษาจากตัวอย่างคนทำงาน 1500 คน พบว่า

  • :ประมาณ 19%  ขาดความใส่ใจทุ่มเทในการทำงาน 
  • :ประมาณ 26% มีประสบการณ์ขาดพลังในการทำงาน 
  • :เกือบ 40% มีภาวะความเหนื่อยล้าทางการรู้คิด
  • :มากกว่า 30% กำลังเผชิญกับความเหนื่อยล้าทางอารมณ์
  • :44% มีอาการเหนื่อยล้าทางร่างกาย ซึ่งเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นถึง 40% จากปี 2019 

ประสิทธิผลในการทำงาน ความอ่อนล้า และภาวะหมดไฟในการทำงาน พวกเรามักเจอและใช้คำศัพท์จำพวกนี้ค่อนข้างบ่อย ทำให้ผมคิดว่าน่าจะเป็นเวลาที่ต้องค้นหาดูความจริงเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ในพระคัมภีร์ ที่น่าจะช่วยพวกเราได้ และนี่ก็คือตัวอย่างบุคคลในพระคัมภีร์ 3 คนที่สามารถทำงานของพวกเขาอย่างมีประสิทธิผล และรักษาสันติสุขภายในใจพวกเขาระหว่างทำงานเหล่านั้นได้ด้วย 

โมเสส:  เรียนรู้เรื่องการกระจายงาน/ขอความช่วยเหลือ

ถ้าคุณรู้สึกเหนื่อยล้ากับการเข้าประชุมผ่านระบบ Zoom (ที่มีคนเข้าร่วมเพียง 10คน) ลองจินตนาการถึงความเหนื่อยล้าที่โมเสสพบเจอ เมื่อต้องพูดคุยกับคนเป็นร้อยเป็นพันทุกวัน เพราะจากเรื่องของโมเสสที่เรารู้นั้น จำนวนประชากรคนอิสราเอลที่อพยพออกมาสามารถคำนวณได้ถึงประมาณ 2 ล้านคน และโมเสสเป็นคนเดียวที่ต้องจัดการเรื่องราวร้องทุกข์มากมายระหว่างคนพวกนั้น (อพยพ 18:14

เยโธร พ่อตาของโมเสสได้มองเห็นถึงความอ่อนล้าของโมเสส (ข้อ17-18) ดังนั้น ท่านจึงแนะนำให้โมเสสคัดเลือกผู้นำบางคนขึ้นมา เพื่อที่กระจายงานบางอย่างให้พวกเขารับผิดชอบ และโมเสสจะได้มุ่งมั่นทำงานของผู้นำ และผู้วินิจฉัยของอิสราเอลได้อย่างเต็มที่

ตัวผมเองก็ต้องจัดกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ ที่มีสมาชิก 8 คน และพบว่าคำแนะนำของเยโธรนั้น สามารถช่วยได้มากทีเดียว

ตัวผมเองก็ต้องจัดกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ ที่มีสมาชิก 8 คน และพบว่าคำแนะนำของเยโธรนั้น สามารถช่วยได้มากทีเดียว

ผมเคยต้องนำการประชุมแค่คนเดียว และประสานงานทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้ผมแบ่งงานบางอย่างให้กับคนที่ผมพยายามจะฝึกให้เขาเติบโตขึ้นเป็นผู้นำได้ทำ  การกระจายงานออกไป ไม่เพียงแต่ทำให้เราเครียดน้อยลง มันยังเสริมสร้างให้กลุ่มของเราเติบโต ตอนนี้เรามีสาวก 2 คนที่สามารถนำทีมศึกษาพระคัมภีร์ด้วยตัวเอง และยังมีอีก 2 คนที่กำลังจะเริ่มต้นกลุ่มของตัวเองอีกด้วย 

คำชี้แนะของเยโธรนั้น สามารถใช้ในการบริหารจัดการกลุ่มสร้างสาวก และยังสามารถใช้กับชีวิตการทำงานประจำวันอีกด้วย หากคุณกำลังรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างท่วมท้น ผมอยากแนะนำให้ลองทำบางอย่างในข้อความด้านล่างนี้ เพื่อขอความช่วยเหลือ

  • ปรึกษากับหัวหน้าของคุณ เกี่ยวกับปริมาณและเนื้องานที่กำลังอยู่ในมือ เสนอแนะวิธีทำงานให้ได้ผลดีขึ้นกว่าเดิม และเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังของงาน (แทนที่คุณต้องตาลีตาเหลือกรีบทำไปทุกสิ่งให้เสร็จในเวลาเดียวกัน)  
  • หากมีโอกาสเหมาะ ลองถามหัวหน้าถึงความเป็นไปได้ที่จะแบ่งกระจายงานบางส่วนของคุณให้คนอื่นช่วยกันทำด้วย
  • ถ้าคุณกำลังจมอยู่กับกองงานใหญ่ ลองปรึกษาหาคำแนะนำจากทีมงานคนอื่นที่มีประสบการณ์ หรือเคยทำงานนี้มาก่อน 

โปรดจำไว้ว่าการขอความช่วยเหลือนั้นไม่ใช่เครื่องหมายของความอ่อนแอ (ปัญญาจารย์ 4:9-10)

เปาโล: ทูลบอกเล่าความวิตกกังวลที่มีกับพระเยซู

ความวิตกกังวลเกี่ยวพันกับความไม่รู้เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของเรา ความกังวลว่าเราจะทำงานและหาเงินได้มากพอหรือเปล่า? หรือเราจะสามารถรักษาตำแหน่งงานนี้ของเราไว้ได้หรือไม่? เพราะแบบนี้ ในพระวจนะของพระเจ้าถึงได้บอกให้เราอย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน (ฟีลิปปี 4: 6-7

ในช่วงเวลาหนึ่ง ผมได้อธิษฐานกับพระเจ้าให้ทรงจัดเตรียมด้านการเงิน เพื่อที่ผมกับคู่หมั้นจะจัดงานแต่งงานได้โดยไม่ต้องรบกวนขอความช่วยเหลือจากครอบครัว ในช่วงของเศรษฐกิจเงินเฟ้อและค่าใช้จ่ายครองชีพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผมต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า ให้ผมสามารถจัดการกับความวิตกกังวลเรื่องความขัดสนเงินทองสำหรับงานแต่งงาน (และครอบครัวในอนาคตของผมด้วย)

ขอบคุณพระเจ้าที่คำอธิษฐานของผมได้รับคำตอบ ผมได้เลื่อนตำแหน่งและปรับเงินเดือนหลังจากได้บรรจุเข้าเป็นพนักงานประจำในบริษัทแล้วหนึ่งเดือน เรื่องนี้เตือนใจผมเสมอว่าพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของผู้ที่ได้เชื่อวางใจอย่างสุดใจที่จะให้พระองค์ทรงดูแล

เรามักจะอ่านผ่านๆ ข้อพระคัมภีร์ที่คุ้นเคยอย่างพระธรรมฟีลิปปี 4:6-7 แต่หากเราได้อ่านอย่างช้าๆ และตั้งใจ (ทั้งบท) ซ้ำอีก ก็จะทำเราตระหนักว่าพระธรรมตอนนี้ ชี้ให้เห็นถึงสันติสุขที่มาจากพระเจ้าที่ “ปกป้องความคิดจิตใจของท่าน” (ข้อ 7)

สันติสุขในพระเยซูคริสต์จะคุ้มกันเราจากความคิดวิตกกังวล และเมื่อเรารู้ว่าพระบิดาทรงรักและห่วงใยเรา มันก็ทำให้เราวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตน้อยลง ในทางเดียวกันเราก็มีแนวโน้มที่จะไม่ทำงานมากเกินตัว และดูแลตัวเองมากขึ้น 

สันติสุขในพระเยซูคริสต์ จะคุ้มกันเราจากความคิดวิตกกังวล

พระเยซู: รู้ว่าเมื่อไหร่ควรพักหรือหยุด

คุณรู้หรือไม่ แม้แต่พระเยซูเองก็มีแนวปฏิบัติในการทำงานที่ดี คือการทรงพักไม่พบปะผู้คนหลังจากการทำงานเป็นเวลายาวนาน (มัทธิว 14:22-23) สิ่งเหล่านี้ทำเพื่อให้ตัวพระองค์เองและเหล่าสาวกของพระองค์ได้พักหรอ? ถูกต้อง ถึงพระองค์จะทรงเป็นพระเจ้าแต่ก็ทรงเป็นมนุษย์ด้วย พระองค์มีประสบการณ์ในความยากลำบากเหมือนกันกับพวกเรา ทั้งการหิวกระหายหรือความเมื่อย เหนื่อย อ่อนล้า

จนกว่าเราจะเรียนรู้จักการพักผ่อน เราจะไม่สามารถทำงานได้อย่างเกิดประสิทธิผล นั่นหมายความว่าการพักผ่อนในแบบที่ดี เป็นหนทางที่จะให้เราพักจากความรับผิดชอบงานของเราไว้สักครู่ เพื่อทำกิจกรรมสันทนาการ เพื่อสุขภาพส่วนตัวที่ดีอย่างอื่น การนอนและการใช้เวลากับพระเจ้า เป็นกิจกรรมที่เกิดประสิทธิผลดีด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว

จนกว่าเราจะเรียนรู้จักการพักผ่อน เราจะไม่สามารถทำงานได้อย่างเกิดประสิทธิผล 

 

เราต้องจัดลำดับชั่วโมงการทำงานของเราในแต่ละวัน โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้ทำงานในออฟฟิศ ที่จะรู้ว่าเมื่อไหร่คือเวลาเลิกงาน คนที่ดำรงตำแหน่งสูงเป็นหัวหน้า ต้องพยายามสร้างนิสัยและค่านิยมในการทำงานที่ถูกต้อง โดยเป็นแบบอย่างของการตรงต่อเวลาในการเข้าและเลิกงาน เพื่อให้ลูกทีมทำตาม (และไม่รู้สึกผิดที่จะเลิกงานตรงเวลา) รวมถึงงานการรับใช้ด้วย เราก็ต้องมีเวลาหยุดพักบ้างเช่นเดือนละครั้ง เพื่อที่เราจะใช้เวลาจัดการกับธุระส่วนตัว หรือแม้กระทั่งการเข้าร่วมนมัสการเหมือนคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมรู้คือ ถ้ามันไม่ได้เป็นงานด่วนมาก เกือบทุกงานที่จดไว้ในรายการสิ่งต้องทำของผม ทุกอย่างสามารถรอได้จนถึงวันรุ่งขึ้น หลายปีในการทำงานทำให้ผมสามารถจัดเวลา และวางแผนการได้ดีมากขึ้น มันทำให้ผมไม่ต้องตื่นตระหนก หรือพยายามทำงานให้ทันเส้นตายในนาทีสุดท้าย  

เมื่อเราทำงานถวายพระเจ้า เราก็ต้องทำให้มันเกิดประสิทธิผล โดยแสดงออกถึงความเชื่อ ความศรัทธาในการรับใช้ ในการใช้ของประทาน เวลาและทรัพยากรที่มีในตัวเรา และต้องรู้จักที่จะพักผ่อน และสามารถชื่นชมกับผลงานของเราได้ เหมือนผู้มีปัญญาได้กล่าวในพระธรรมปัญญาจารย์ 3:13  คนเราทุกคนควรกิน ดื่ม และหาความอิ่มใจในการตรากตรำทำงานทั้งสิ้น  ซึ่งไม่ใช่แค่การมอบเวลาทั้งหมดของเราไปกับงานเท่านั้น แต่คือการทำงานนั้นอย่างมีความสุขอิ่มใจ ซึ่งเป็นเหมือนของขวัญจากพระเจ้า ที่เราควรจะเต็มใจรับมันไว้ และใช้มันเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงในการทำงานให้เกิดประสิทธิผลของเรา

YOU MAY ALSO LIKE

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน

WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ  สะสางงานต่างๆ  ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...

เสียงที่ดังพอ

เสียงที่ดังพอ

WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...

Share This