WRITER: แจ็คเกอรีน โซ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: Natty Grace
EDITOR: ใจทิพย์ อยู่มั่น
เย็นวันหนึ่งในช่วงเกริ่นนำก่อนเข้าบทเรียนของชั้นเรียนศึกษาพระคัมภีร์ที่ฉันเข้าร่วม ผู้นำที่มีความสุขกับชีวิตแต่งงานท่านหนึ่งได้ตั้งคำถามกับกลุ่มคนโสดว่า “เหตุใดเราจึงยังโสดอยู่” คำตอบที่พรั่งพรูออกมาโดยส่วนใหญ่นั้นก็คือ “ฉันยังไม่เจอคนที่ใช่” และ “ฉันกำลังรอเวลาที่ใช่สำหรับพระเจ้า”
เมื่อถึงตาฉัน ฉันบอกว่า เป็นเพราะว่าฉันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องทำในตอนนี้ และก็อยากที่จะทำในช่วงเวลาของการเป็นโสด ฉันอยากสัมผัสประสบการณ์การอยู่คนเดียวในต่างประเทศ ฉันต้องการเดินทางไปทั่วโลกโดยไม่ต้องคำนึงถึงตารางเวลาของใคร
การแต่งงานไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับฉัน
ฉันคิดว่าเมื่อเทียบคำตอบของฉันกับเพื่อนๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเห็นได้ว่าพวกเขา “กำลังมองหาคู่พระพรอยู่” ความคิดเห็นของฉันเลยดูเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด และจากสิ่งที่ฉันสังเกตเห็นก็คือ ถ้าจะมีบทเรียนหนึ่งที่บอกว่าผู้หญิงควรเรียนรู้ในช่วงต้นของชีวิต บทเรียนนั่นก็คือ เราไม่ควรและไม่สามารถอยู่คนเดียว
นี่เป็นข้อความที่ฉันได้รับมาโดยตลอด จากครอบครัวและวัฒนธรรมที่ฉันเติบโตมา ไปจนถึงหนังสือที่ฉันอ่านและรายการที่ฉันดู แน่นอน ผู้หญิงนั้นสามารถแข็งแกร่งและพึ่งพาตัวเองได้ แต่เราก็จะเห็นได้ว่าสื่อต่างๆ มักลงความเห็นเป็นหลักอย่างที่ภาพยนตร์เรื่อง Enchanted กล่าวไว้ว่า “ผู้หญิงต่างก็มี ‘ความฝันที่จะได้จุมพิตจากรักแท้’ ” ไม่ว่าชายนั้นจะเป็นผู้กอบกู้ที่ห้าวหาญหรือผู้สนับสนุนที่ซื่อสัตย์ ความโรแมนติกที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่จะทำให้ผู้หญิงได้รับการเติมเต็มอย่างสมบูรณ์
เมื่อผู้นำของเราปิดท้ายบทเรียนด้วยการอธิษฐานเผื่อคนโสดทั้งหมด (ซึ่งรวมถึงตัวฉันด้วย) ว่าขอให้ได้พบกับคนที่ใช่ (Mr. Right) มันตอกย้ำความรู้สึกของฉันว่า “แม้ในคริสตจักร หลายคนก็ยังมองว่าการเป็นโสดเป็นสิ่งที่ผู้หญิงต้องรอ ต้องเผชิญ และอดทน”
ปีนี้ฉันอายุ 33ปี ทั้งยังถูกตราหน้าว่าเป็นคนโสดตั้งแต่เกิด ฉันเคยตกหลุมรักอยู่ 2ครั้งใหญ่ๆ ซึ่งก็เป็นรักข้างเดียวทั้งคู่ และก็เคยไปเดทครั้งเดียวเท่านั้น ในช่วงที่ฉันอายุเข้าปีที่ 25 ฉันเกิดความคิดที่ว่า ความโสดเป็นทางเลือกสำหรับคนที่ไม่มีเสน่ห์ดึงดูดใจใคร สำหรับคนที่มีอย่างใดอย่างหนึ่งมากจนเกินไป หรือสำหรับคนที่ไม่เป็นที่พึงพอใจของผู้ชาย แม้ฉันจะเห็นด้วยกับความคิดที่ว่าการทานข้าวคนเดียว ดูหนังคนเดียว การออกไปเผชิญโลกภายนอกเพียงลำพังมันช่างน่าเศร้าก็ตาม
ในฐานะที่เป็นผู้หญิงที่ไม่มีเสน่ห์ดึงดูดใจใครเลย การใช้ชีวิตภายใต้ความเชื่อนี้ทำให้ฉันไม่มั่นใจและไม่แน่ใจว่า “ตัวฉันเองเป็นใคร” ฉันไม่ต้องการที่จะปักหลักอยู่กับใครก็ได้ เพราะฉันไม่ต้องการคู่ครองที่ฉันไม่สามารถให้เกียรติหรือซื่อสัตย์ด้วยได้ แต่ฉันก็ยังรู้สึกกดดันอยู่ดี เพราะฉันอยากจะเป็นเหมือนผู้หญิงบางคนที่น่าสนใจในสายตาของผู้ชายเสมอ แม้นั่นจะหมายถึงการลดตัวตนของฉันและความสนใจของฉันลงให้เหลือน้อยที่สุด เพียงเพื่อจะกำจัดสถานะ “โสด”
หนังสือคริสเตียนที่กล่าวถึงเรื่องราวของความรักที่ฉันอ่านมากที่สุดตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นคือ หนังสือของ Eric และ Leslie Ludy เรื่อง เทพนิยายเป็นจริง : When God Writes Your Love Story ซึ่งนำเสนอแนวคิดที่ติดอยู่กับฉันมาตลอดจนถึงตอนเป็นผู้ใหญ่ หนังสือเล่มนี้ได้เปรียบเทียบสองวิธีในการจัดการกับการรอคอยและความปรารถนา หนึ่งคือ พยายามต่อสู้กับมันภายใต้อำนาจของคุณเอง แม้ในขณะที่คุณร้องไห้และวิงวอนที่จะได้พบกับความปรารถนานั้น กับอีกประการหนึ่งคือ การฟัง “บทเพลงที่ไพเราะกว่า”—เพื่อจะพบเจอบางสิ่งบางอย่างที่งดงามและน่าปรารถนายิ่งกว่าสิ่งเดิมที่คุณปรารถนา
กับอีกประการหนึ่งคือ การฟัง “บทเพลงที่ไพเราะกว่า”—เพื่อจะพบเจอบางสิ่งบางอย่างที่งดงามและน่าปรารถนายิ่งกว่าสิ่งเดิมที่คุณปรารถนา
ฉันไม่เคยเข้าใจเรื่องนี้เลย จนกระทั่งพระเจ้าเริ่มบรรเลงบทเพลงที่ไพเราะกว่าแก่ฉัน ฉันเริ่มได้รับการดูแลให้เป็นคนร่าเริงโรแมนติกผู้ซึ่งสอนให้ไม่พอใจในความเดียวดายของตัวเอง แต่ความโดดเดี่ยวนี่แหละเป็นสิ่งที่ฉันต้องการอย่างแน่นอน
หากต้องการเรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียว ฉันต้องอยู่คนเดียว
ของประทาน ไม่ใช่คำสาปแช่ง
วิถีของโลก—หรือแม้แต่ในคริสตจักรทุกวันนี้—มุมมองเกี่ยวกับความเป็นโสดนั้นแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดกับแนวคิดของเปาโลที่ระบุไว้ในพระธรรม 1โครินธ์บทที่7 เมื่อพูดถึงการแต่งงานและการเป็นโสด อัครสาวกผู้เป็นโสดกล่าวว่า “แต่ว่าแต่ละคนก็ได้รับของประทานของตัวเองจากพระเจ้า คนหนึ่งได้รับอย่างนี้ และอีกคนหนึ่งได้รับอย่างนั้น” (1โครินธ์ 7:7) สถานะทั้งสองเป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่ว่าการแต่งงานเป็นพระพรและความโสดเป็นคำแช่งสาปหรือภาระ
เริ่มแรกพระเจ้าได้ท้าทายความปรารถนาที่จะแต่งงานของฉัน ระหว่างที่กำลังนั่งเครื่องบิน 16 ชั่วโมง ซึ่งเป็นขากลับจากทริปเดินทางไปลอนดอนกับคุณพ่อของฉัน ที่นั่นเป็นเมืองในฝันของฉัน เป็นสถานที่ที่ฉัน “จอง” ไว้ให้เป็นที่สำหรับฮันนีมูนในอนาคตของฉันเสมอมา แต่หลังจากที่ได้มีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมในฐานะคนโสด พระเจ้าทรงเคลื่อนฉันให้ไตร่ตรองอีกครั้งว่า ทำไมในตอนแรกฉันจึงต้องการจองทริปนั้นไว้เพื่อการแต่งงาน จริงๆ แล้วการแต่งงานหมายถึงอะไรสำหรับฉันกันแน่ ฉันต้องการที่จะแต่งงานด้วยเหตุผลที่ไม่ถูกต้องหรือไม่?
และแล้วแสงวาบขนาดใหญ่สาดส่องมาที่ฉันเมื่อฉันหวังว่าจะได้แต่งงานนับล้านครั้งเพื่อที่จะได้มีบ้านเป็นของตัวเอง (ขนบธรรมเนียมของครอบครัวฉัน การแต่งงานเป็นเหตุผลเดียวที่ครอบครัวจะยอมรับได้สำหรับลูกสาวที่จะย้ายออกจากบ้านของพ่อแม่) ฉันตกใจมากที่พระเจ้าทรงตอบรับคำวิงวอนของฉัน โดยการตรัสถามฉันว่า “หลังจากที่เจ้าหาที่อยู่ได้แล้ว เจ้าจะทำยังไงกับสามีของเจ้ากัน?”
คำถามของพระองค์ ทำให้ฉันตระหนักได้ว่าสิ่งที่ฉันต้องการจริงๆ คือ “อิสรภาพ”
ฉันเคยมองว่าการแต่งงานเป็นหนทางไปสู่จุดจบ เป็นหนทางที่จะออกไปและเริ่มใช้ชีวิตในวัยผู้ใหญ่อย่าง “แท้จริง” ของฉัน
ลึกๆ แล้ว ฉันต้องการให้ใครคนนั้นเป็นแค่คนที่จะมาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับฉัน ไม่ใช่เพราะฉันเตรียมพร้อม (หรือเต็มใจ) ที่จะเผชิญหน้ากับความยุ่งยากหรือยากลำบากในการใช้ชีวิตร่วมกับเขาจริงๆ (1 โครินธ์ 7:28) สำหรับฉันแล้ว เมื่อสิ่งนี้ชัดเจนขึ้น ฉันก็ค่อยๆ หมดไฟที่จะหาคู่ครอง เนื่องจากฉันรู้ว่าการไล่คว้าสิ่งนี้ จะไม่ได้นำความทุกข์มาให้ตัวฉันเองเท่านั้น แต่ยังกระทบไปยังผู้อื่นด้วย
แทนที่จะจดจ่อกับการแต่งงาน ฉันจึงยอมให้พระเจ้าเข้ามาเติมความฝันและความปรารถนาใหม่ๆ ภายในใจของฉัน พระองค์ทรงนำฉันไปสู่อาชีพที่ฉันรัก (แต่ฉันไม่ได้แต่งกับงาน) และเปิดตาของฉันให้มองเห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของฉันที่นำความชื่นชมยินดีและการเติมเต็มมาให้ฉัน โดยที่ฉันไม่ต้องแต่งงานกับใคร
อุทิศตนโดยปราศจากการสองฝักสองฝ่าย
“แซมที่รัก นายไม่สามารถแยกตัวออกไปสองฝ่ายได้ตลอดเวลา นายจะต้องอยู่คนเดียวและอยู่อย่างพร้อมบริบูรณ์เป็นเวลาหลายปี นายมีอะไรให้เพลิดเพลิน ให้เป็น และให้ทำอีกมากมาย เรื่องราวในส่วนของนายจะยังดำเนินต่อไป” – โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ ลอร์ดออฟเดอะริงส์: มหาสงครามชิงพิภพ
ในพระธรรม 1 โครินธ์ 7:32-35 เปาโลชี้ให้เห็นว่าคนโสด “ก็ห่วงใยในสิ่งที่เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า” โดยมี “การอุทิศตนเพื่อพระเจ้าโดยปราศจากการสองฝักสองฝ่าย” ผ่านไปถึง 8 ปี ฉันจึงได้เรียนรู้ว่าเปาโลต้องการจะสื่อว่าอย่างไร
งานอดิเรกอย่างหนึ่งของฉันตั้งแต่สมัยเรียนวิทยาลัยคือ การเข้าร่วมฟอรัมออนไลน์ในฐานะแฟนคลับของกลุ่มต่างๆ ที่ฉันชอบ ซึ่ง ณ ตอนนี้ งานอดิเรกนี้ได้กลายเป็นพันธกิจที่คาดไม่ถึงเลยว่า ฉันจะได้เริ่มพูดถึงพระเจ้ากับผู้คนที่ฉันสนทนาด้วย และแม้กระทั่งเป็นผู้ให้คำปรึกษาและดูแลเหล่าหญิงสาวที่อายุน้อยกว่าฉันที่พบใน Tumblr และ Discord
เมื่อต้นปีนี้ ฉันก็ได้ร่วมฉลองจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายของวัยรุ่นออสเตรเลียคนหนึ่งซึ่งฉันเคยให้คำปรึกษาและได้ถูกเรียกว่า “แม่” อยู่ 4ปี และฉันยังได้รับคำอวยพรวันแม่เป็นครั้งแรกอีกด้วย
การเดินทางคนเดียวครั้งแรกในต่างประเทศของฉัน ฉันได้เจอตัวจริงของเพื่อนออนไลน์สองคนที่ฉันคุยด้วยมาเป็นเวลาห้าปีเป็นครั้งแรก และเราก็ใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ในการสานสัมพันธ์ออนไลน์ของเราให้เป็นมิตรภาพที่ยั่งยืน
เนื่องจากฉันไม่ได้สัญญาว่าจะใช้เวลาและให้ความสนใจแต่กับใครคนนั้น ฉันจึงสามารถมอบสิ่งเหล่านี้ให้กับผู้ที่พระเจ้าประทานแก่ฉัน แม้จะอยู่ในเขตเวลาที่แตกต่างกัน ขณะที่ฉันออกเดินทางคนเดียว พระเจ้าก็ทรงกำลังพาคนอื่นๆ ไปด้วยกับฉัน พระองค์ทรงสำแดงให้ฉันเห็นว่าถึงแม้ฉันจะอยู่คนเดียว ฉันก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกโดดเดี่ยว
สิ่งที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากการเป็นโสดคือ การได้ฝึกฝนที่จะอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้า ไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ใด ฉันสามารถหันไปหาพระองค์ได้เสมอยามที่ฉันรู้สึกเหงา
ครั้งหนึ่ง ฉันหลงทางหลังจากเดินวนในสวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์กในแมนฮัตตัน เมื่อความมืดเริ่มปกคลุมท้องฟ้า ความกลัวในใจฉันก็ผุดขึ้นมามากขึ้น มากขึ้น เนื่องจากที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ของคนติดยาและโจรล้วงกระเป๋าในยามค่ำคืน สิ่งที่ทำให้ฉันผ่านพ้นไปได้จนกระทั่งเจอทางออก นั้นคือ การอธิษฐานอย่างต่อเนื่อง ฉันรู้สึกเหมือนมีใครบางคนอยู่กับฉันจริงๆ ไม่เพียงแต่ปกป้องฉันเท่านั้น แต่ยังแสดงให้ฉันเห็นความงดงามของสภาพแวดล้อมรอบตัว ซึ่งพระเจ้าทรงเป็นผู้สร้าง
แปดปีแล้วที่ฉันยอมรับของประทานในการเป็นโสด ฉันมักจะนั่งอย่างเอื่อยเฉื่อยที่โต๊ะสำหรับหนึ่งที่ในร้านอาหาร ใช้เวลาของมื้ออาหารกับหนังสือดีๆ สักเล่มหนึ่ง ในช่วงสุดสัปดาห์การเปิดตัวของภาพยนตร์ Avengers: Endgame ฉันไปโรงภาพยนตร์คนเดียว และร้องไห้ไปกับฉาก “รักนะ 3000” ฉันเดินเล่นคนเดียวในสวนสาธารณะของสิงคโปร์ ที่บัวโนสไอเรส และแมนฮัตตัน … ฉันไปกับฉันคนเดียวเท่านั้น
ในสายตาของใครหลายคน ฉันเป็นคน “โสด” และ “โดดเดี่ยว” แน่นอนว่ามีบางครั้งที่ฉันคิดว่า “อาจจะมีแฟนก็ได้นะ” และในช่วงเวลานั้นเอง ฉันก็มักขอให้พี่น้องคริสเตียนที่ฉันวางใจอธิษฐานเผื่อฉันในเรื่องนั้น แต่ท้ายที่สุดแล้ว ฉันมักจะกลับมาที่ความจริงที่ว่า การเดินทางตลอดชีวิตของฉันคือ เพื่อค้นพบพระเจ้าในฐานะเพื่อนและคู่ชีวิตของฉัน ไม่ว่าฉันจะเป็นโสดตลอดชีวิตหรือแต่งงานในสักวันหนึ่ง ฉันจะยังคงแสวงหาพระเจ้าผู้เติมเต็มชีวิตให้ฉันอย่างครบถ้วนและบริบูรณ์
YOU MAY ALSO LIKE
ความบาป 5 ประการที่แฝงอยู่และทำให้เรารู้สึกผิด
WRITER: จัสมิน ออง ชคูลฟีลด์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: ปาลีญา ธนาวัฒนเจริญEDITOR: Mustard Seed Team ในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดโควิด-19 เราได้เห็นว่าการเลือกของแต่ละคนสามารถช่วยหยุดการแพร่ระบาดของโรคหรือทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคไปทั้งชุมชนได้...
เมื่อฉันมีความวิตกกังวลแล้ว ฉันยังวางใจพระเจ้าได้ไหม?
WRITER: แมเดลีน เกรซ ชคูลฟีลด์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: ปาลีญา ธนาวัฒนเจริญEDITOR: ธนากร พูลสินกูล ฉันรู้สึกราวกับว่ามีผ้าห่มผืนใหญ่ทับอยู่บนอกของฉัน เมื่อฉันลองหายใจลึกๆ เข้าไปในปอดและพยายามไอออกมาด้วยความรู้สึกแสบ...
ชีวิตที่ถูกซ่อนไว้จากความจริง
TRANSLATOR: เจ.ที.เอ็ม.EDITOR: Mustard Seed Team คุณเคยทำตัวเองหล่นหายไหม รู้สึกโกรธตัวเองและต่อว่าตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีกจากความผิดพลาดในชีวิตบ้างไหม หรือถามตัวเองว่าฉันเกิดมาทำไม หรือรู้สึกว่าโลกนี้มันไม่ได้มีที่ยืนสำหรับฉันเลย ความเจ็บปวดหรือความรู้สึกไร้ค่าเหล่านี้...