จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน
WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุ
EDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์
มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ สะสางงานต่างๆ ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ ของฉันเข้านอน หลังจากทานอาหารเย็นและทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดฉันก็ได้มีเวลาให้กับตัวเองซักที
ดังนั้น… ฉันควรที่จะอธิษฐาน หรือว่าอ่านพระคัมภีร์ใช่ไหม ฉันรู้ตัวเองว่าฉันละเลยสิ่งเหล่านี้
แต่ในที่สุดเมื่อฉันมีเวลา ฉันก็แค่อยากจะนอนบนเตียงและไถโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ เท่านั้น
หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็รู้สึกว่ามันดึกแล้ว และฉันก็เริ่มที่จะง่วง
ฉันเลยอธิษฐานอย่างรวดเร็วในหัว และนั่นคือการอธิษฐานสำหรับตลอดวันที่ผ่านมา
เช้าวันต่อมา มันก็เป็นแบบเดิมอีกครั้ง
คุณมีเวลาที่จะเล่นโทรศัพท์ แต่กลับไม่มีเวลาที่จะอ่านพระคัมภีร์อย่างนั้นหรือ เอาล่ะ
ก็ชัดแล้วนะว่าคุณไม่ได้รักพระเจ้าเลย
เธอจะรับใช้อย่างถูกต้องได้ยังไงถ้าชีวิตฝ่ายวิญญาณของเธอยังไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดี เพราะเธอไม่แม้แต่จะอธิษฐานอย่างจริงจังด้วยซ้ำ
ไม่นานนัก เสียงเหล่านี้ก็ปรากฏขึ้น และเนื่องจากมันเป็นความจริง ฉันจึงเสียใจมากเพราะรู้สึกละอาย ฉันแย่มากเลยใช่ไหมล่ะ ฉันไม่ได้ให้พระเจ้ามาก่อน แค่คิดว่าฉันกำลังทำงานรับใช้ในคริสตจักร และเราเป็นผู้นำกลุ่มเล็กๆ ที่บ้านด้วย… ฉันช่างเป็นผู้เชื่อที่แย่มากจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ฉันคิดว่าการรู้สึกตระหนักในเรื่องนี้จะช่วยให้ฉันกลับใจได้ ฉันเริ่มอ่านพระคัมภีร์และอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะได้มีชีวิตที่ดี แต่หลังจากที่เวลาผ่านไป ฉันก็สังเกตเห็นว่าไม่ใช่เพียงแค่ฉันขาดแรงจูงใจเท่านั้น
หัวใจของฉันก็ค่อยๆ แข็งกระด้างขึ้นด้วย สุดท้าย มันเหมือนกับว่าฉันได้ยอมแพ้อย่างสิ้นเชิงแล้ว สิ่งของในโลกเริ่มกลายเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจฉันมากขึ้น ฉันหมกมุ่นกับมันและปล่อยให้เวลาผ่านไป เมื่อความรู้สึกผิดและการตำหนิตัวเองของฉันเสื่อมถอยลง กลายเป็นว่าฉันมีแนวโน้มที่จะอ่านพระคัมภีร์และอธิษฐานน้อยลงเรื่อยๆ
อยู่มาวันหนึ่ง พี่น้องในกลุ่มเซลล์ก็บอกกับฉันว่าพวกเขาก็เจอปัญหาแบบเดียวกัน ตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักได้ว่ามีพี่น้องในพระคริสต์กี่คนที่เจอปัญหานี้ (ฉันสงสัยว่าพวกผู้ชายก็เป็นแบบนี้ไหม?) เราต่างก็ตกสู่อันเลวร้ายอยู่บ่อยครั้ง ตำหนิตัวเราเองในด้านหนึ่ง แต่ก็ยังเดินต่อไปในเส้นทางอันตรายอีกด้านหนึ่ง
เราต่างก็ตกสู่วงจรอันเลวร้ายอยู่บ่อยครั้ง ตำหนิตัวเราเองในด้านหนึ่ง แต่ก็ยังเดินต่อไปในเส้นทางอันตรายอีกด้านหนึ่ง
ในเวลาเช่นนี้ เราจะสามารถหาความเข้มแข็งที่จะเอาชนะได้อย่างไร
ถ้าเสียงประณามที่อยู่ภายในทำให้เราดำดิ่งลงไปและห่างไกลขึ้น เราควรจะฟังมันหรือไม่?
การแยกแยะเสียงในใจของเรา
เมื่อฉันเริ่มตรวจสอบเสียงตำหนิ เมื่อนั้นฉันจึงจะสามารถมุ่งหน้าไปตามทางแห่งการสร้างใหม่และฟื้นฟูได้ ฉันเคยคิดมาโดยตลอดว่านั่นเป็นการตักเตือนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ในกรณีนี้เป็นเช่นนั้นจริงหรือ? มันอาจจะเป็นข้อกล่าวหาของซาตานแทนก็ได้?
หากว่านั่นเป็นการตักเตือนของพระวิญญาณบริสุทธิ์
มันควรทำให้ฉันกลับใจและหันกลับไปหาพระเจ้าไม่ใช่หรือ? กระนั้นแล้วฉันก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในบาปต่อไป คำเตือนของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่นำสันติสุขมาสู่ใจของฉันหรือ? กระนั้นแล้วใจของฉันก็เต็มไปด้วยความละอาย ไม่ยอมเชื่อฟัง ไม่ยอมกลับใจ เสียงนี้ทำให้ฉันหันหน้าหนีไปจากแสงสว่างและซ่อนตัวอยู่ในความมืด เช่นเดียวกับที่เรารู้จักต้นไม้ได้จากผลของมัน ผลแห่งการตักเตือนจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะต้องทำให้ฉันหันหน้าไปหาพระเจ้า แต่ซาตานแสวงหาทุกวิถีทางเพื่อดึงฉันให้ออกห่างจากพระเจ้า
จากเรื่องนี้ ฉันได้เรียนรู้ว่าความคิดของเรามักจะถูกซาตานหลอกใช้ มันไม่เพียงแต่ล่อลวงให้เราทำบาปเท่านั้น แต่เมื่อเราทำบาป มันก็ยังกล่าวหาเราอีกด้วย
การกล่าวหานี้อาจจะดูเหมือนการตกกะกอนความคิดของตัวเราหรือแม้กระทั่งปลอมตัวเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์มาตักเตือนเรา แต่ในความเป็นจริง มันพยายามจะนำเราไปสู่ความตาย เพื่อที่จะทำให้เราไม่มีโอกาสได้กลับใจ
เมื่อฉันคิดเรื่องนี้ เมื่อใดก็ตามที่ฉันตำหนิตัวเอง
ทั้งหมดคือการประณาม สิ่งที่อยู่เบื้องหลังถ้อยคำเหล่านั้นคือคำกล่าวหา สิ่งเหล่านี้ดึงฉันให้ออกห่างจากพระคุณ จากคำสอนของพระเยซูคริสต์ และจากพระเจ้า
ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องแยกแยะเสียงเหล่านี้ ในพระธรรม 1 โครินธ์ 4:3 เปาโลกล่าวว่า สำหรับข้าพเจ้า การที่ท่านหรือมนุษย์ผู้ใดจะไต่สวนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยที่สุด ถึงแม้ข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้ไต่สวนตัวเอง
การกลับใจที่พระเจ้าปรารถนา
พระเจ้าปรารถนาให้เรากลับใจ แต่การกลับใจที่พระเจ้าปรารถนาคือการให้เราหันกลับไปหาพระองค์ เพื่อเราจะได้รับการสร้างใหม่โดยพระองค์ พระองค์ไม่ปรารถนาให้เราใช้ชีวิตอยู่ในความรู้สึกผิดและประณามตนเอง
ยูดาสเป็นตัวอย่างที่ดีทีเดียว เมื่อเขาเห็นพระเยซูถูกทำให้อับอายและถูกเฆี่ยนตี เขาก็ได้ตระหนักถึงความบาปของเขา ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกที่จะยอมให้ความบาปนั้นกัดกินเขา และในที่สุดเขาก็เลือกที่จะฆ่าตัวตาย มันอาจจะดูเหมือนว่า เขาได้ชดใช้บาปของเขาแล้ว แต่เขาก็สูญเสียโอกาสในการกลับใจไปตลอดกาล พระเจ้าให้พระคุณแก่เขา ถึงอย่างนั้นแล้วเขาก็ยังคงประณามตัวเอง
พระเจ้าปรารถนาที่จะให้เราเข้ามาอยู่ต่อหน้าพระองค์อย่างที่เราเป็น และรับกำลังจากพระองค์ เพื่อที่เราจะได้เป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่และเข้มแข็งขึ้น
ถึงอย่างนั้น ฉันก็พบว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการกับเสียงในหัว ฉันยอมรับข้อกล่าวหาจนกลายเป็นนิสัย ฉันมักจะประณามตัวเองโดยอัตโนมัติเมื่อฉันทำในสิ่งที่ไม่ดี ดังนั้นฉันจึงจำเป็นจะต้องตื่นตัวต่อนิสัยแบบนี้มากขึ้น เมื่อใดก็ตามที่ฉันคิดกล่าวโทษหรือประณาม ฉันเรียนรู้ที่จะกล่าวคำอธิษฐานในทันที ขอให้พระเจ้าช่วยฉันจากความอ่อนแอ และใจที่แข็งกระด้างของฉัน เพื่อที่ฉันจะสามารถรับพระคุณของพระองค์ได้ในทันที มันน่าสนใจที่หลังจากอธิษฐานเช่นนี้แล้ว ฉันพบว่าฉันสามารถทำในสิ่งที่ฉันจำเป็นต้องทำได้มากขึ้น
ย้อนกลับไปที่วงจรอันเลวร้ายนั้น บางครั้งเราก็ไม่ต้องการที่จะอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน และไม่มีความละอายที่ได้รับรู้สิ่งนี้ การอ่านพระคัมภีร์และการอธิษฐานไม่ใช่สิ่งที่พิสูจน์ความรอดของเรา (นั่นคือมันไม่ใช่ว่าเราจะสูญเสียความรอดของเราถ้าเราไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน) ความรอดไม่ใช่สิ่งที่จะนำออกไปได้ กลับกันเป็นช่วงเวลาที่เราจะต้องพูดคุยกับพระเจ้าอย่างใกล้ชิด
พระองค์ทรงมองที่จิตใจไม่ใช่สิ่งภายนอกของเรา
ดังนั้น เมื่อเราจะรู้สึกเหนื่อยและหมดแรง เราก็ยังสามารถกลับมาหาพระองค์อย่างที่เราเป็น และบอกเล่าความรู้สึกของเราให้พระบิดาในสวรรค์ฟังอย่างสัตย์ซื่อ นอกจากนี้ เราก็ควรจะนอนเมื่อมันถึงเวลานอน และพักผ่อนเมื่อถึงเวลาพักผ่อน พระเจ้าทรงมีพระสัญญาว่า “พระองค์ทรงประทานกำลังแก่คนอ่อนเปลี้ย และผู้ไม่มีพลังนั้นพระองค์ทรงให้มีเรี่ยวแรงมาก” (อิสยาห์ 40:29) และบอกแก่เราว่า “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก” (มัทธิว 11:28)
พระองค์จะทรงประทานกำลังและจุดประกายแรงใจในการอ่านพระคัมภีร์และการอธิษฐานขึ้นมาอีกครั้ง
มาเถิด ให้เรากลับเข้าไปอยู่ในการทรงสถิตของพระองค์อย่างที่เราเป็น
YOU MAY ALSO LIKE