
WRITER: ลิลลี่ ลิน ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI (ได้รับอนุญาตให้ดัดแปลงบทความ)
TRANSLATOR: Mustard Seed Team
EDITOR: Mustard Seed Team
ตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2020 องค์กรอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคระบาดทั่วโลก เราได้เห็นว่าบางประเทศมีข้อจำกัดทางสังคมที่เข้มงวดมากขึ้น หลังจากที่การแพร่ระบาดนั้นกลับมาระบาดหนักอีกครั้ง นั่นแปลว่าเราอาจจะต้องใช้ชีวิตกับโควิด-19 นี้ไปอีกนานเลยก็ว่าได้ และเราจำเป็นที่จะต้องเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้อันยาวนานนี้
แค่คุณต้องคิดถึงสิ่งเหล่านี้ คุณอาจจะรู้สึกวิตกกังวลและสงสัยว่าเมื่อไหร่โรคระบาดนี้จะจบลง หรือมันจะส่งผลอย่างไรต่อชีวิตของเรา ถ้าคุณคิดอย่างนั้น นี่คือคำแนะนำที่จะช่วยให้เรายังคงมีสุขภาพจิตที่ดีในขณะที่เราเฝ้าติดตามผลของโควิด-19 ว่าเมื่อไรมันจะหายไปจริงๆ เสียที

จดจ่อไปที่พื้นที่ปลอดภัยของชีวิต – พระสัญญาของพระเจ้า
หลายประเทศที่กำลังจะล็อกดาวน์ หนึ่งในสิ่งที่เรากลัวที่สุดระหว่างนี้ คือความน่าจะเป็นที่เราหรือคนที่เรารักจะติดเชื้อไวรัสนี้
เมื่อฉันกลับมาฮ่องกงจากประเทศจีนเมื่อปลายเดือนมกราคม ฉันมีไข้อ่อนๆ ตามแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขของฮ่องกงนั้นมี ฉันเลยไม่จำเป็นที่จะต้องตรวจโรค ฉันสามารถพักอยู่ที่บ้านและเฝ้าดูอาการของตัวเองได้ ในวันแรกๆ ฉันกังวลมากว่าฉันติดเชื้อไวรัส ฉันใช้เวลาเป็นชั่วโมงอ่านข่าวจากเว็บไซต์ของรัฐบาลและสื่อต่างๆ ความกลัวนี้ทำให้ฉันไม่ได้หลับไม่ได้นอน
ตอนนั้นฉันกลัวอะไร? เมื่อฉันไตร่ตรองความกลัวเหล่านั้น พระธรรมสดุดี 23:1-2 ก็เข้ามาในใจ
พระยาห์เวห์ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ
จริงที่สุด พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงดูฉัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะเป็นหรือจะตาย พระองค์ทรงอยู่กับฉันเสมอ เมื่อสิ่งนี้เตือนใจฉัน ฉันเริ่มรู้สึกสบายใจขึ้น
แล้วฉันก็ได้รู้ว่ามีหลายคนที่มีอาการป่วยเหมือนกันกับฉันแต่ไม่ได้เป็นโควิด-19 เชื้อไวรัสแพร่ระบาดไปทั่วโลกและไม่สามารถคาดการณ์ได้เลย เมื่อไรก็ตามที่คนรอบข้างเราและเราเองมีอาการ เราก็จะกลัวอย่างปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเราอาจจะติดเชื้อแล้ว
เมื่อต้องเผชิญกับเชื้อไวรัสที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อสูง มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะรู้สึกกลัว วิตกกังวล และเครียด หากเราไม่มีสัญชาตญาณเหล่านี้ เราก็จะไม่ปฏิบัติตามข้อควรระวังต่างๆ หลังจากนี้ การใส่หน้ากากอนามัย ออกไปข้างนอกน้อยลง และลดการรวมตัวกันอาจทำให้ชีวิตประจำวันของเราวุ่นวาย
อย่างไรก็ตาม ฉันชื่นชมประสบการณ์การเป็นนักบินมิชชันนารีของ เบอร์นี่ เมย์ เขาเขียนไว้ว่า :
บทเรียนที่ยากที่สุดในการสอนนักบินใหม่เกี่ยวกับการลงจอดในพื้นที่ระยะสั้น คือทางวิ่งของเครื่องบินที่อันตราย มันคือการที่ตาของพวกเขาต้องจดจ่ออยู่ที่ส่วนดีของทางวิ่งเครื่องบินไม่ใช่ความอันตราย
ในทำนองเดียวกัน เราก็ตื่นตระหนกถ้าเรามัวแต่จดจ่อที่ไวรัสและความอันตรายของมัน หรือรับเอาแต่ข่าวร้ายจากสื่อและเรื่องราวต่างๆ รอบตัวเรา อารมณ์ความรู้สึกของเราจะครอบงำเราก่อนที่ร่างกายของเราจะติดเชื้อจริงๆ เสียอีก
ดังนั้น ให้เราจดจ่ออยู่กับพื้นที่ปลอดภัยนั่นก็คือพระสัญญาของพระเจ้า โดยย้ำเตือนเราเองว่าพระคัมภีร์ได้ตรัสสอนอะไรบ้าง เหมือนกับที่เปาโลเขียนไว้ในพระธรรมโรม 8:38-39
เพราะข้าพเจ้าแน่ใจว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆ อื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถทำให้เราขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้
แม้ว่าไวรัสจะรุนแรงแค่ไหน ความรักของพระเจ้าสำหรับเราไม่เปลี่ยนแปลง

จดจ่อกับสิ่งที่คุณสามารถเปลี่ยนแปลงได้
เหมือนกับฉัน คุณอาจคิดว่าโรคระบาดนี้จะอยู่ไม่นาน ฉันเคยคาดการณ์ว่าจนถึงตอนนี้เราอาจจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติได้แล้ว แต่ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว การแพร่ระบาดไม่น่าจะจบลงในเร็วๆ นี้ เราจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันไปอีกนาน
แล้วเราควรจะวางแผนชีวิตของเราในเดือนต่อไปอย่างไร? หรือแม้แต่ปีหรือสองปีข้างหน้าอย่างไร?
ถ้าเรามัวแต่รอให้การแพร่ระบาดจบลง หรือคิดถึงสิ่งที่เราจะทำหลังจากนี้ เราก็จะหมดความอดทน สุขภาพจิตและอารมณ์ความรู้สึกของเราจะถูกบั่นทอนในการรอคอยนี้ ท้ายที่สุด ความไม่แน่นอนที่ยืดเยื้อคือการทนทุกข์ทรมาน
ศาสตราจารย์หยวนได้ให้คำแนะนำที่หนุนใจเกี่ยวกับสิ่งนี้ ถึงแม้ว่าการแพร่ระบาดจะอยู่กับเราไปอีกนาน เราควรยืนหยัดต่อสู้ในการปฏิบัติตามข้อควรระวังอย่างเคร่งครัด เช่น ใส่หน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อยๆ แม้แต่ตอนที่เรากำลังจะกลับมาใช้ชีวิตปกติก็เช่นกัน หรือเราจำเป็นที่จะรวมเอามาตรการป้องกันต่างๆ เหล่านี้มาไว้ในชีวิตประจำวันของเรา
ฉันจึงตัดสินใจที่จะไม่รอด้วยความวิตกกังวลที่จะกลับมาชีวิตตามปกติ แต่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เชื้อไวรัสนั้นได้นำมาในชีวิตของฉัน
สิ่งแรก ฉันเรียนรู้ที่จะทำตามมาตรการป้องกันต่างๆ เช่น อยู่บ้านให้มากที่สุดและทำอาหารทานเองทุกครั้งที่มีโอกาสเพื่อสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น และรู้สึกขอบคุณสำหรับหลายสิ่ง เช่น ฉันสามารถกอดสามีของฉันซึ่งที่ผ่านมาไม่ค่อยได้กอด
ในขณะที่เราอยู่ห่างจากคนที่เรารัก ฉันใช้เทคโนโลยีในการสื่อสารเพื่อที่จะติดต่อกับครอบครัวและเพื่อนๆ และอธิษฐานเผื่อพวกเขามากกว่าที่ผ่านมา
ยิ่งไปกว่านั้น ฉันยอมที่จะทำตามคำแนะนำของหมอ วางใจในพระเจ้าสำหรับการรักษาทั้งหมด
สุดท้ายนี้ ฉันสมัครเรียนออนไลน์เพื่อพัฒนาทักษะต่างๆ และได้กลับไปเรียนตามแผนที่เคยวางเอาไว้ก่อนที่โรคระบาดนี้จะเข้ามาเลยทำให้ต้องหยุด
หลังจากทำสิ่งเหล่านี้ ความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดไม่มีผลทำให้ฉันวิตกกังวลอีกต่อไป
ฉันกลับคิดได้ว่าชีวิตยังสามารถดำเนินไปได้และฉันก็ได้รับประสบการณ์ความรักจากพระเจ้าและพระคุณ ในรูปแบบที่ง่ายยิ่งกว่าตอนที่ยังไม่มีโรคระบาดเสียอีก
ฉันมีความอดทนมากขึ้นและปรารถนาที่จะรอคอยพระเจ้า จดจ่อกับการเปลี่ยนแปลงที่ดีมากมายที่ฉันสามารถทำได้ และเชื่อว่าพระเจ้าทรงทำงานในหัวใจของฉันในขณะที่ฉันอธิษฐาน
นักศาสนศาสตร์คริสเตียนและนักเขียน ริชชาร์ด เจ ฟอสเตอร์ เขียนในหนังสือ “Prayer : Finding the Heart’s True Home ว่า:
เราค้นพบพระเจ้าในการรอคอยของเรา… ในการรอคอยเราเริ่มที่จะรับรู้ถึงจังหวะชีวิตของเรา ความนิ่งและการกระทำ ได้ยินและตัดสินใจ พวกมันคือจังหวะของพระเจ้า มันอยู่ในชีวิตประจำวันและทุกที่ที่เราเรียนรู้จักความอดทน การยอมรับ และความพึงพอใจ
ในขณะที่เรารอให้การแพร่ระบาดนั้นจบลง เราน่าจะจดจ่อที่พระสัญญาของพระเจ้าและยอมรับการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่การแพร่ระบาดนี้มีต่อชีวิตของเรา ไม่มองสิ่งเหล่านั้นเป็นปัญหา แต่มองมันเป็นโอกาสที่จะทำให้เราเข้าใกล้พระเจ้าและเติบโตในพระคริสต์ เมื่อเราทำอย่างนี้แล้ว เราสามารถมีจิตใจที่รู้สึกปลอดภัยและสงบได้ และมีความเข้มแข็งฝ่ายจิตวิญญาณในขณะที่เราต่อสู้กับโควิด-19
YOU MAY ALSO LIKE
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน
WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ สะสางงานต่างๆ ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...
ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?
WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...
เสียงที่ดังพอ
WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...