WRITER: ลิน แลมเบิร์ต ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: Pornsura Lowachirahut
EDITOR: Mustard Seed Team
มันเป็นคืนที่เลวร้ายที่สุดคืนหนึ่ง เมื่อฉันได้รับแจ้งทางโทรศัพท์ว่าแม่ของฉันอยู่ในคุก และฉันต้องไปประกันตัวเธอออกมา เรื่องเกิดขึ้นเนื่องจากมีการโต้เถียงที่รุนแรงระหว่างแม่และสามีของเธอ ลึกๆ แล้วฉันรู้ว่าแม่อาจจะเป็นต้นเหตุ ความทรงจำในวัยเด็กเกือบทั้งหมดของฉันคือแม่มักจะตะโกน ไม่ว่าจะเป็นการตะโกนใส่พ่อของฉันหรือพ่อเลี้ยงของฉัน
ดังนั้น เมื่อฉันได้รับแจ้งทางโทรศัพท์เกี่ยวกับการทะเลาะวิวาทในครั้งนี้ ซึ่งเป็นสาเหตุให้แม่ถูกจับ ฉันก็พอจะรู้ว่าเธออาจจะไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์
ในระหว่างการเดินทางกลับบ้าน แม่ก็ต่อว่าฉัน “ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด แกควรปกป้องฉันนะ!” แม่ทำราวกับว่าการที่ฉันไปประกันตัวแม่และยอมให้มาพักกับฉันมันไม่เพียงพอ ฉันจำเป็นต้องเลือกข้างด้วย แต่เอาจริงๆ มันก็ไม่เคยมีอะไรเพียงพอสำหรับแม่หรอก
ฉันไม่รู้ว่าจะแสดงความรักต่อแม่อย่างไร ฉันไม่รู้แม้กระทั่งว่าควรจะต้องปกป้องเธอด้วยความห่วงใยในขณะที่ฉันไปประกันตัวแม่และพาเธอมาพักกับฉันที่บ้าน
ฉันไม่เคยรู้สึกถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดแบบแม่ลูกเลย ฉันมีแต่ความกลัว ทำให้ความรู้สึกไม่พอใจและความขมขื่นใจมันมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่วัยเด็กเป็นต้นมา อย่างไรก็ตามฉันรู้สึกว่าฉันต้องช่วยแม่เพราะเธอเป็นแม่ของฉัน
ความรักไม่มีความกลัว
“นี่ฉันพูดจริงๆนะ! เหลือเชื่อกับเธอไหมละ? ฉันเล่าให้สามีของฉันฟังหลังจากที่ถูกแม่ต่อว่าระหว่างทางกลับบ้าน ฉันเชื่ออย่างแท้จริงว่าพระเจ้ากำลังพูดกับฉันผ่านทางสามีของฉันว่า “ดีกับแม่เถอะนะ ที่รัก ตอนนี้เธอกำลังต้องการพวกเรา”
ตอนแรกคำพูดเหล่านั้นทำให้ฉันโกรธ แต่เมื่อมองย้อนกลับไป การที่สามีของฉันพูดแบบนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว เพราะถ้าสามีเข้าข้างฉันในช่วงเวลาที่ฉันกำลังโกรธแม่ ก็มีแต่จะทวีคูณความคิดในแง่ลบของฉัน เขาเป็นคนที่สามารถมองสถานการณ์ด้วยความรักที่เหนือธรรมชาติ ซึ่งเป็นความรักที่มาจากพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว
นี่คือจุดเริ่มต้น พระเจ้าทรงใส่เมล็ดพันธุ์แห่งความปรารถนาในตัวฉันที่อยากจะรักบางคน ซึ่งเป็นคนที่ฉันคิดว่าไม่สามารถจะรักได้ ในพระธรรม 1 ยอห์น 4:19 กล่าวไว้ว่า “เรารัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน’’
ไม่นาน แม่ของฉันกลับไปที่บ้านของเธอ และฉันพยายามที่จะสร้างความสัมพันธ์กับเธอในทุกวิถีทางที่ฉันพอจะคิดได้ แต่ในช่วงเวลานั้น ส่วนนึงของฉันก็เรียกร้องว่าฉันต้องการได้รับการปฏิบัติจากแม่แบบปกติธรรมดาเหมือนคนทั่วๆ ไป และฉันกลัวว่าถ้าหากฉันไม่ได้ให้ของขวัญวันแม่ที่ดีพอหรือไม่สามารถเติมเต็มความคาดหวังอื่นๆ ของเธอได้ เธอจะโทรหาฉันกลางดึกและตะโกนใส่ฉันว่าไม่ใส่ใจเธอมากพอ ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันต้องพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี
แต่พระเจ้าทรงเริ่มสำแดงให้ฉันเห็นว่านั่นไม่ใช่ความรัก ความรักไม่ใช่การคาดหวังว่าจะได้รับอะไรตอบแทน แต่ความรักนั้นย่อมให้ไปเปล่าๆ เช่นเดียวกันกับการที่พระเจ้าทรงได้ประทานความรักและความรอดให้แก่เราโดยไม่คิดมูลค่า ทั้งๆ ที่เราไม่สมควรได้รับ (เอเฟซัส 2:8)
ถึงแม้จะไม่เคยมีคำขอโทษหรือการพูดคุยถึงวิธีแก้ปัญหาใดๆ และถึงแม้ว่าฉันยังคงหวาดผวาต่อเสียงโทรศัพท์กลางดึกจากแม่ แต่ฉันรู้ว่าฉันจำเป็นต้องอธิษฐานเผื่อแม่และหาวิธีที่จะรักเธอแทนที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้เธอยอมรับฉัน
ฉันเริ่มต้นอธิษฐานต่อพระเจ้าขอพระองค์ทรงโปรดทำการในชีวิตของแม่และช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยทางจิตของเธอ โรคพิษสุราเรื้อรัง รวมไปถึงความรุนแรงในอดีตที่เธอเคยพบเจอมา ฉันขอบคุณพระเจ้าสำหรับความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่และทูลขอให้พระองค์ทรงช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ของเราให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
เมื่อเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์ของเราเริ่มดีขึ้น ฉันเริ่มรู้สึกเป็นธรรมชาติมากขึ้นในการที่จะให้การ์ดวันแม่และการฉลองวันหยุดร่วมกัน แม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกชายของฉัน และนั่นได้ช่วยให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น
ในขณะที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงให้ฉันเห็นว่าฉันกำลังปล่อยให้ความกลัวเป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ของฉันกับแม่อย่างไร พระองค์ก็ทรงเริ่มเปิดเผยพระวจนะคำเกี่ยวกับการเอาชนะความกลัวให้แก่ฉัน
ฉันพบว่าจริงๆ แล้วตัวฉันเองใส่ใจเรื่องของแม่ในระดับที่ลึกลงกว่าเดิม เพื่อที่จะช่วยเยียวยาเธอและเพื่อที่จะสามารถช่วยเธอไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็ตามแต่พระประสงค์ของพระเจ้า ดังที่ในพระธรรม 1 ยอห์น 4:18 ตรัสสอนเราว่า “ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ขับไล่ความกลัวออกไปเสีย…’’ พระเจ้าสอนฉันถึงการที่จะเอาชนะความกลัวที่ฉันเคยมี ซึ่งมันทำให้เกิดระยะห่างระหว่างฉันกับผู้อื่นรวมถึงคนที่ฉันรัก
ความรักกับระยะห่างที่พอดี
ดูเหมือนโชคชะตาจะไม่เข้าข้างฉัน เพราะหลังจากที่ทุกอย่างกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี (อย่างน้อยก็ในความคิดของฉัน) ก็เกิดเหตุการณ์ทะเลาะกันอย่างรุนแรงขึ้นอีกครั้งระหว่างแม่กับฉัน
วันต่อมา ฉันพยายามพูดคุยกับแม่อย่างใจเย็น เพื่อหาข้อยุติเกี่ยวกับการทะเลาะที่รุนแรงทางโทรศัพท์เมื่อวันก่อน แต่ความพยายามของฉันก็ไม่เป็นผล และก็เป็นอีกครั้งที่สามีของฉันแสดงท่าทีที่สงบพร้อมกับแนะนำอย่างสุภาพว่า “พยายามต่อไปนะ ที่รัก ผมบอกกับคุณได้เท่านี้แหละ”
ฉันรู้ว่าสามีของฉันพูดถูก ในสัปดาห์ถัดมา ฉันเผชิญกับความหวาดกลัวและความวิตกกังวล สารพัดความรู้สึกถาโถมเข้ามาใส่ฉัน ฉันเห็นตัวเองร้องไห้ในการสนทนาที่ธรรมดาๆ กับแม่เพียงเพราะลักษณะของแม่ที่เป็นคนเจ้าอารมณ์ ในเวลานั้นเองฉันตระหนักได้ว่านี่มันไม่โอเค
มุมมองของฉันที่มีต่อปฏิกริยาของแม่ไม่ดีเอาเสียเลย และมันทำให้ความสัมพันธ์ในปัจจุบันระหว่างฉันกับผู้อื่นเป็นพิษไปด้วย
โดยเรี่ยวแรงกำลังที่มาจากพระเจ้า ฉันได้เสนอทางออกที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ก็ยอมรับว่าตัวฉันเองไม่สามารถควบคุมการตอบสนองของแม่ที่มีต่อข้อเสนอนั้นได้
บางครั้งความรักของพระเจ้าก็ดูแปลกอยู่บ้าง แม้แต่พระเยซูเองก็ได้บอกเหล่าสาวกให้ “สะบัดผงคลี” (มัทธิว 10:14) เมื่อพวกเขาถูกปฏิเสธหรือไม่ได้รับการต้อนรับในระหว่างประกาศข่าวประเสริฐ ในทำนองเดียวกัน ถ้าฉันทุ่มเทพลังงานทั้งหมดของฉันไปกับบางคนที่เอาแต่รุนแรงใส่ฉัน ฉันก็มีแต่จะยิ่งหมดแรงและมันจะทำให้ฉันยอมแพ้ คงเหลือไว้แต่เพียงความเหนื่อยล้าเกินกว่าที่จะมอบความรักให้กับใครที่เข้ามาในชีวิตของฉันได้อีก
ความรักของฉันสำหรับแม่ยังคงมีอยู่ เพียงแต่จะปรากฏอยู่เบื้องหลังของระยะห่างที่ฉันกำหนดขึ้นมา เช่น การติดต่อสื่อสารของเราจะจำกัดอยู่เฉพาะเรื่องที่เธอจะมาเยี่ยมลูกชายของฉัน และฉันได้กำหนดระยะห่างเอาไว้ล่วงหน้าให้การติดต่อสื่อสารจำกัดมากขึ้นไปอีก ถ้าการสนทนาของเรามีความรุนแรงขึ้น วิธีนี้ช่วยให้ฉันมีเวลาเยียวยารักษาความรู้สึกของตัวเอง หลังจากที่ต้องอยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็นพิษมาตลอดทั้งชีวิต ความวิตกกังวลของฉันที่่เกิดขึ้นเนื่องจากความสัมพันธ์ที่เป็นพิษระหว่างฉันกับแม่ค่อยๆ ลดลง ฉันสามารถโฟกัสไปยังความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างฉันกับสามีและลูกได้มากขึ้น
ในเวลานี้ความรักของฉันที่มีต่อแม่เปลี่ยนไป ฉันเลือกที่จะแสดงออกน้อยลงแต่มีคุณภาพมากขึ้นแทนการเข้าหาอย่างไม่บันยะบันยังแบบเมื่อก่อน วิธีนี้รักษาสันติสุขให้กับเราเพราะเหตุที่ไม่ต้องใช้คำพูดที่รุนแรงใส่กันซึ่งมีแต่จะทวีความโกรธให้มากขึ้น (สุภาษิต 15:1)
ฉันมักจะบอกรักแม่ผ่านการอธิษฐานกับพระเจ้า และขอให้พระองค์ทำงานในจิตใจของแม่ แทนที่ฉันจะพูดกับเธอตรงๆ เหมือนดังที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เรามีอิสระในการตัดสินใจ เราไม่สามารถควบคุมการปฏิบัติของผู้อื่นที่มีต่อความรักที่เรามอบให้แก่พวกเขาได้ แต่เรายังคงสามารถคาดหวังความช่วยเหลือจากพระองค์ที่จะสอนให้เราเรียนรู้วิธีที่จะรักโดยปราศจากความกลัว
ให้เราอธิษฐานขอสติปัญญาจากพระเจ้าที่จะรักเป็นในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน และในท้ายที่สุดนี้ เราหวังว่าการที่ได้มอบความรักให้แก่ผู้คนที่ต้องการมันที่สุด เขาเหล่านั้นจะมองเห็นความรักของพระเยซูคริสต์ผ่านทางเรา และจะหันเข้าหาพระองค์เพื่อรับการเยียวยา
YOU MAY ALSO LIKE
ความผิดพลาด 3 อย่างที่สอนผมเรื่องพระปัญญาและเวลาของพระเจ้า
WRITER: ราฟาเอล ชาง ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: กาญจนา กาญจนพาทีEDITOR: ปวีณา นิลบุตร เมื่อตอนอายุประมาณ 20 ต้นๆ ผมได้วางแผนชีวิตว่าจะต้องเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เป็นนักดนตรี และเป็นผู้รับใช้ในคริสตจักรก่อนอายุ 25 ปี...
จากโรคบูลิเมียสู่โรคซึมเศร้า: พระเยซูทรงจับฉันไว้แน่นท่ามกลางความเจ็บป่วยทางจิตใจ
WRITER: เชวอง ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: ปาลีญา ธนาวัฒนเจริญEDITOR: สรสิทธิ์ ฑัมมารักขิตานนท์ เมื่อฉันมาเป็นคริสเตียนตอนอายุ 16 ไม่นานฉันก็ตระหนักได้ว่าชีวิตมันตรงข้ามกับคำสอนหลายๆ อย่างของเหล่าศิษยาภิบาล ชีวิตมันไม่ได้ง่ายเลย ความจริง...
พระเจ้าช่วยฉันผ่านประสบการณ์เลวร้าย (ถูกล่วงละเมิดทางเพศ)
WRITER: แคทเธอรีน ฟลินน์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ในปี 2003 ฉันอายุ 24 ปี และอาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษตอนที่ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยเพื่อนร่วมห้องของฉัน...